ถ้าจะมีภาพยนตร์เรื่องไหนที่รู้สึกว่า “คุ้มค่า” ต่อการรอคอย
ต้องมี “Dune” หรือ “ดูน” งานกำกับของ เดอนีส์ วีลเนิฟว์ ผู้กำกับชาวแคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศส “ยืนเด่น” อยู่ในลิสต์แล้วหนึ่งเรื่อง!
“Dune” ดัดแปลงสร้างจากนิยายวิทยาศาสตร์-แฟนตาซีหรือที่เรียกว่า “นิยายไซ-ไฟ” ในชื่อเดียวกัน ผลงานประพันธ์ของ แฟรงก์ เฮอร์เบิร์ต นักเขียนขาวอเมริกันผู้ล่วงลับ นิยายเรื่องนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็น “นิยายไซ-ไฟคลาสสิกของโลกตลอดกาล”
ตีพิมพ์ครั้งแรกในปีพ.ศ.2508 การันตีความดีงามด้วย “รางวัลฮิวโก อวอร์ด” (Hugo Award) เป็นรางวัลเก่าแก่ของเวทีนิยายไซ-ไฟ รวมถึง “รางวัลเนบิวลา อวอร์ด” (Nebula Awards) ที่จะมอบให้แก่นิยายนิยายไซ-ไฟยอดเยี่ยม
ภาคแรกของ “Dune” ปรากฏแก่สายตาผู้ชมไปเมื่อปี 2564 ทิ้งเวลาเกือบ 3 ปีถึงจะกลับมาให้ชม “ภาค 2” ซึ่งเป็นความคืบหน้าของภาค 1
ถ้าถามว่า การจะดูภาค 2 ให้ “รู้เรื่อง” และ “เข้าใจ” อย่างถ่องแท้นั้น ควรกลับไปดู “ภาคแรก” ไหม ก็ตอบได้เลยว่า “ควรอย่างยิ่ง”
เรื่องราวอย่างย่นย่อของ “Dune : Part 1” ก็คือ “พอล อะเทรดีส”รับบทโดย ทิโมธี ชาลาเมต์ ดาราลูกครึ่งอเมริกัน-ฝรั่งเศส ได้ติดตาม “ดยุค เลโต อะเทรดีส” สวมบทโดย ออสการ์ ไอแซค ผู้ปกครองดวงดาว “คาลาแดน” และเป็นบิดาของพอล เดินทางมายัง “ดาวอาร์ราคิส” ที่เป็นดินแดนทะเลทราย มี “หนอนยักษ์” สุดอันตรายชอนไชอยู่ใต้ผืนทราย
ความสำคัญของ “ดาวอาร์ราคิส” ก็คือเป็นแหล่งผลิต “สไปซ์” (Spice) ทรัพยากรที่เป็นพลังงานสำคัญต่อการเดินทางในอวกาศ
เดิมทีตระกูล “ฮาร์คอนเนน” ภายใต้การนำของ “บารอน ฮาร์คอนเนน” รับบทโดย สเตแลน สการ์สการ์ด เป็นผู้ดูแลการผลิต “สไปซ์” แต่“จักรพรรดิพาดิชา ชาดดัมที่ 4” รับบทโดย คริสโตเฟอร์ วอลเคน ได้บัญชาให้ “ฮาร์คอนเนน” ถอนตัว และให้ตระกูล “อะเทรดีส” รับหน้าที่แทน
https://www.youtube.com/watch?v=4N-Z2PxbvIw
นอกจากผู้ชมรับรู้ถึงการเป็นอริกันระหว่าง 2 ตระกูล และยังได้เห็นว่าพวก “ฮาร์คอนเนน” ที่รูปลักษณ์ร่างกายมีสีขาว ศีรษะล้านเตียนไร้เส้นผม เป็นชนเผ่าที่โหดเหี้ยมไร้ความเมตตาปรานี ความบาดหมางนำไปสู่การฆ่าล้างตระกูล “อะเทรดีส”
แน่นอนว่าพระเอกของเราย่อมไม่ม้วยมรณาไปด้วย เพราะ พอลและมารดาคือ “เจสสิกา” ที่รับบทโดย รีเบคกา เฟอร์กูสัน สตรีที่มีพลังจิตพิเศษซึ่งเธอเป็นสมาชิกกลุ่มสตรีมีมนตราที่เรียกว่า “เบเนเจสเซริต”ได้พากันหนีเอาชีวิตรอดมาอยู่ในทะเลทราย โดยการช่วยเหลือจากกลุ่มนักรบ “เฟรเมน” ชาวทะเลทรายผู้ถูกกดขี่จาก “ฮาร์คอนเนน” และนักรบเฟรเมนพวกนี้ ได้ซ่องสุมกำลังเพื่อปลดแอกชาวเฟรเมนให้เป็นอิสระ
สัญญาณจากภาคแรกก็คือชาว “เฟรเมน” ต่างมองเห็นว่า “พอล อะเทรดีส” จะเป็นผู้นำในการปลดแอกในอนาคตตาม “คำทำนาย”
“Dune : Part 2” จึงโฟกัสไปที่การเติบโตและพัฒนาการของ “พอล อะเทรดีส” ทั้งความคิดในระดับปัจเจก หรือการเฝ้ามองจับจ้องจากผู้คนรอบข้าง
ภาคนี้ก็เหมือนเป็น “สนามฝึกซ้อม” และเป็น “เวทีปั้น” ให้ พอล เฉิดฉายต่อการบรรลุเป็น “ผู้ปลดแอก” ที่ชาวเฟรเมน รอคอยมานานแสนนาน เพื่อเดินหน้าเข้าสู่การ “สะสางแค้น” และก้าวขึ้นสู่ “ความเป็นใหญ่”เหนือใคร!
หนังยังนำเสนอทิศทางความเป็นไปของชีวิต “เจสสิกา” ที่ขยับบทบาทอย่างเข้มข้น เธอไม่ได้หอบหิ้วแค่ตัวเองกับลูกชาย “หนีตาย” จากการฆ่าล้างตระกูล แต่ยังมี “ทารกในครรภ์” ที่จะเป็นตัวละครสำคัญใน “Dune 3”
ขณะอีกตัวละครที่ร่วมหัวจมท้ายมาตั้งแต่ภาคแรกอย่าง “ชานี” สวมบทโดยเซนเดย์อา นักรบสาวเฟรเมน ผู้กลายมาเป็นคนรักของ พอล ในภาค 2 ก็จะต้องเข้าสู่ทางเลือกของ “หัวใจ” เมื่อมีตัวแปรที่สำคัญเข้ามาอย่าง “เจ้าหญิงอิรูลาน” รับบทโดย ฟลอเรนซ์ พิว ซึ่งในภาค 3 ที่ไม่แน่ว่าจะมาเมื่อไหร่…
ผู้ชมอาจได้เห็นทั้ง “สังเวียนรบ” และ “สังเวียนรัก” ของชีวิต “พอล อะเทรดีส” ก็เป็นได้
“Dune” จัดเป็นงานที่ “สมราคา” กับการเป็น “ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์” ที่จะดูเอาสนุกก็ได้ครบรส หรือจะมองหาสาระในแง่มุม “การเมืองการปกครอง ศาสนา ความเชื่อ” ก็ทำออกมาได้อย่างแยบยลคมคาย
เหนืออื่นใดคือฉากอันตระการตาของ “ทะเลทราย” อันกว้างใหญ่ไพศาล รวมถึงนำเสนอ “ภาพ” และ “ศักยภาพความสามารถ” ของ “หนอนยักษ์” ได้สุดตื่นตะลึง ซึ่งคงไม่เกินเลยนักที่จะบอกว่าหากดูในจอ IMAX ก็จะยิ่งเต็มอิ่มแบบเน้น ๆ เนื้อ ๆ
ถือเป็นภาพยนตร์ที่ดูจบแล้ว ก็อยากดูซ้ำทันทีอีกรอบ และยิ่งทิ้งปมให้รอภาค 3 ก็ยิ่งชวนให้ “กระหาย” ใคร่รู้ว่างานที่กำลังจะเข้าสู่การเป็น “มหากาพย์ไตรภาค” เรื่องราวจะทวีความ “เข้มข้น” มากแค่ไหน!
Blue Bird2/3/67