การเปลี่ยนการ์ตูนเทพนิยายให้กลายเป็นภาพยนตร์ที่ใช้คนแสดงจริงหรือที่เรียกว่า “ไลฟ์–แอ็คชั่น” ( live-action) ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรในโลกบันเทิง
อย่าแปลกใจถ้าในอีกไม่กี่ปีหลังจากนี้จะมีงานทำนองนี้ผุดขึ้นอีก
เพราะอดีตที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าจะเป็น Cinderella (ซินเดอเรลล่า), Sleeping Beauty (เจ้าหญิงนิทรา), Beauty and the Beast ( โฉมงามกับเจ้าชายอสูร), Aladdin (อะลาดิน), The Little Mermaid (เงือกน้อยผจญภัย) ฯลฯ
และปีนี้ค่ายใหญ่เก่าแก่อย่าง “วอลต์ ดิสนีย์” ก็ได้ส่ง Snow Whiteเทพนิยายพื้นบ้านอมตะของยุโรป ที่ถูกรวบรวมและตีพิมพ์โดยพี่น้องตระกูลกริมม์ ออกมาเป็นงาน “ไลฟ์–แอ็คชั่น” กำกับโดย “มาร์ค เว็บบ์” ที่เคยฝากฝีมือกับภาพยนตร์ที่เป็นที่จดจำอย่าง The Amazing Spider-Man และ 500 Days of Summer
การมาของ Snow White เวอร์ชั่นใหม่ กลายเป็นกระแสอยู่พอสมควร เมื่อดิสนีย์ประกาศว่าผู้ที่จะรับบท “สโนไวท์ สาวงามที่มีความงามดั่งหิมะขาว” ตกเป็นของ “เรเชล เซกเลอร์” นักแสดงสาวเล็กเชื้อสายละติน ที่ความสามารถด้านการแสดงและร้องเพลงอยู่ในระดับมหัศจรรย์
ประจักษ์ด้วยผลงานมิวสิคัล โรแมนติค-ดราม่าเรื่อง West Side Story และรับบทนำใน The Hunger Games : The Ballad of Songbirds & Snakes รวมถึง Shazam! Fury of the Gods ภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่จากค่ายดีซี
กระแสดราม่าก็คือ “เรเชล เซกเลอร์” ไม่ได้มีผิวขาวผ่องดังหิมะ ต่างจากภาพลักษณ์ที่เป็นที่จดจำเกี่ยวกับเจ้าหญิงสโนไวท์ แถมเธอก็ฝีปากไม่เบา
โดยเฉพาะการพูดถึงเรื่องราวของ Snow White โดยมักย้ำถึงความเท่าเทียม ความยุติธรรม โดยไม่ใช่เรื่องของรูปลักษณ์ภายนอกหรือสีผิว
https://www.youtube.com/watch?v=zRmrilP4XxA
อย่างไรก็ตาม เมื่อ Snow White ฉบับไลฟ์-แอ็คชั่นที่ชูโรงด้วย “เรเชล เซกเลอร์” และ “กัล กาด็อท” ดาราสาวชาวอิสราเอล เจ้าของบท “Wonder Woman” ซึ่งมารับบทราชินีผู้เป็นแม่เลี้ยงใจร้ายของ “สโนไวท์”
ก็ต้องบอกว่า “เรเชล เซกเลอร์” ทำหน้าที่ของเธอได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะเพลงที่เธอขับขานออกมานั้นมีเสน่ห์สะกดใจอย่างตราตรึง
ขณะที่ “กัล กาด็อท” ไม่ได้ออกแรงมากกับบท “ราชินีปีศาจ” เพราะบทไม่มีอะไรซับซ้อนให้ต้องมาตีความว่า ราชินีผู้คนมีปมปัญหาใดในชีวิตที่ผลักดันให้ต้องร้ายกาจ เหมือนอย่างที่คนดูเคยเห็นใน Snow White and the Huntsman ที่ “ชาร์ลิซ เธอรอน” รับบท “ราชินีราเวนนา” แม่เลี้ยงของ “สโนไวท์”
โดย “ราชินีราเวนนา” เป็นตัวตัวละครที่ไม่ได้มีมิติเดียว แต่มีแรงกดจากสังคมที่กดดันให้ผู้หญิงต้องสวยเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจและสถานะอันแข็งแกร่ง เพื่อยืนหยัดอยู่ได้ในโลกที่ผู้ชายเป็นใหญ่
“กัล กาด็อท” คือราชินีที่มีความชั่วร้ายแบบหมดจด ไม่เจือสีขาว ไม่เป็นสีเทา มาแบบดำจัด ๆ ตามแบบฉบับของเทพนิยาย
เธอใฝ่หาอำนาจ ทำเพื่อตัวเองเพียงหนึ่งเดียว และห่วงอยู่แต่กับ “กระจกวิเศษ” ที่ให้คำปรึกษาที่เป็นประโยชน์ไม่ได้ ป้อยอได้เพียงอย่างเดียวว่า “ใครงามเลิศในปฐพี”
แต่มุมที่ไม่ต่างกันของราชินีปีศาจใน Snow White ปี 2568 กับ Snow White and the Huntsman นั่นก็คือสตรีที่สุดแสนจะร้ายกาจผู้นี้ยึดติดกับอำนาจและความงาม พร้อมทำลายล้างทุกคนที่ขวางทางและมีความงามที่เหนือกว่า
Snow White ปี 2568 ได้ยกเอาภาพยนตร์แอนิเมชันเมื่อปี 2480มาตีความใหม่ คงไว้ซึ่งความแฟนตาซีอย่างอลังการ องค์ประกอบอันคลาสสิก ทั้งตัวละครและสัญลักษณ์ของเรื่อง ถูกจัดใส่มาครบครัน
ทั้ง เจ้าหญิงสโนไวท์ที่มีจิตใจงดงาม พระราชาและราชินีผู้ทรงธรรม ราชินีแม่เลี้ยงใจร้ายที่มีของคู่ใจคือกระจกวิเศษ ผลแอปเปิลอาบยาพิษ คนแคระทั้ง 7 พร้อมบ้านเล็กในป่าใหญ่ สิงสาราสัตว์นานาชนิดที่ถูกออกแบบมาได้อย่างน่ารัก
เว้นก็แต่บทพระเอก ซึ่งตามที่คุ้นเคยก็คือ “เจ้าชายหนุ่ม” จากต่างเมืองที่ควบม้ามาเจอ “สโนไวท์” สิ้นชีพอยู่โลงแก้วท่ามกลางความเศร้าโศกของ 7 คนแคระ จากนั้นไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เจ้าชายจุมพิตไปที่พระโอษฐ์ของเจ้าหญิง และเจ้าหญิงก็ฟื้นขึ้นมาได้
ทว่าใน Snow White เวอร์ชั่นล่าสุด ที่ “เอริน เครสซิด้า วิลสัน” ผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Secretary และ The Girl on the Train มารับหน้าที่เขียนบท ผู้ชายที่ใช้จูบเดียวจนคืนชีพให้เจ้าหญิงสโนไวท์ กลับไม่ใช่เจ้าชาย
แต่กลายเป็นโจรเจ้าเล่ห์นามว่า “โจนาธาน” รับบทโดย “แอนดรูว์ เบอร์แนป”ซึ่งทั้งคู่ไม่ใช่คนแปลกหน้า เพราะโจรหนุ่มเคยแอบเข้าไปขโมยมันฝรั่งจากห้องครัวในปราสาท และ “สโนไวท์” จับได้
ส่วนช่วงที่มาสร้างสัมพันธ์กันแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ก็ตอนที่เจ้าหญิงถูกพรานที่เป็นสมุนของราชินี ลวงออกไปนอกวังหมายจะเด็ดชีพ แล้วนายพรานกันทำไม่ลง เลยปล่อยให้เจ้าหญิงหนีเข้าป่าไปเผชิญชะตากรรมเอาดาบหน้า
ที่น่าสนใจคือเรื่องของ Snow White ไม่ได้เทน้ำหนักไปที่ความรักของหนุ่ม-สาว แต่สื่อถึงความปรารถนาของ “สโนว์ไวท์” ในการผดุงความยุติธรรมปกป้องปวงประชา ดำเนินรอยตามพระราชาและราชินีผู้ให้กำเนิด
ผู้ชมจะเห็นในช่วงต้น ๆ ของภาพยนตร์ว่า ราชาและราชินีผู้ทรงธรรมได้ปลูกฝังเจ้าหญิงสโนไวท์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ให้เป็นคนที่ยุติธรรม มีจิตใจโอบอ้อมอารีและเข้มแข็งเสมอ ซึ่งเป็นหลักคิด หลักปฏิบัติที่ผู้นำที่ดีควรเป็นและคุณสมบัติเหล่านี้ บวกกับความกล้าหาญ อดทน ก็ทำให้เจ้าหญิงยืนหยัดเพื่อต่อสู้กับราชินีผู้ชั่วร้ายได้
ด้วยความเป็นมิวสิคัล เรื่องของบทเพลงก็เป็นจุดขายที่สำคัญ Snow White นำเพลงหลัก ๆ ของ “สโนว์ไวท์” ต้นฉบับกลับมาทั้ง “Heigh-Ho”เพลง “Whistle While You Work”
เพิ่มเติมเพลงใหม่คือ “Waiting on a Wish” เขียนโดย “เบนจ์ พาเซก” และ “จัสติน พอล” เคยกวาดรางวัลระดับEGOT ที่คว้ารางวัลมาทุกสนามคือ เอมมี่, แกรมมี่, ออสการ์ และโทนี่ อวอร์ดส์ เพลงเดี่ยวเพลงนี้ “สโนว์ไวท์”
ร้องสื่อถึงความรู้สึกรอคอย ความปรารถนา การตั้งคำถาม ถึงความแตกต่างระหว่างความฝันที่มีกับความเป็นจริงที่เธอเผชิญ และแน่นอนว่าขึ้นแท่นเป็นสุดคลาสสิกของดิสนีย์ไปโดยปริยาย!
Blue Bird22/3/68