หลังจากได้เห็น ไรอัน กอสลิง ยืนคู่ เอมิลี บลันท์ บนเวทีงานประกาศรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 96 เมื่อวันที่ 10 มี.ค.ที่ผ่านมา
ทั้งคู่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายและสมทบหญิง โดย บลันท์ มาจาก Oppenheimer ส่วน กอสลิง มาจาก Barbie ซึ่งเป็น 2 ภาพยนตร์ระดับปรากฏการณ์ปี 2566
แน่นอนว่าคอหนังได้รับรู้ว่า กอสลิง และ บลันท์ ได้โคจรมาเจอกันในภาพยนตร์แอ็คชัน-คอมีดี ของค่ายยูนิเวอร์แซล ในเรื่อง The Fall Guy งานกำกับของ เดวิด ลิทช์ ที่เคยฝากฝีมือกำกับสุดไฉไลใน Bullet Train, Deadpool 2, Atomic Blonde, Fast & Furious Presents: Hobbs & Shaw และเป็นผู้อำนวยการสร้างของภาพยนตร์ John Wick, Nobody และ Violent Night
เห็นชื่อของ เดวิด ลิทช์ ก็เชื่อขนมกินได้ว่าสนุกสุดมันแน่นอน ยิ่ง The Fall Guy ว่าด้วยเรื่องของ “สตันท์แมน” หนึ่งในอาชีพคนเบื้องหลังในวงการบันเทิง ที่ต้องเล่นแบบตัวตายแทบถวายชีวิตแทน “ดารา” ที่ไม่เล่นบทผาดโผนเสี่ยงตาย
ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเป็นงานถูกทำออกมาอย่างสุดฝีมือของผู้กำกับสายบู๊คนนี้ด้วย
นั่นก็เพราะว่า เดวิด ลิทช์ เคยเป็นสตันท์แมนมาก่อน โดยเป็นนักแสดงผาดโผนให้กับ แบรด พิตต์ 5 ครั้ง และแสดงให้กับ แมทท์ เดมอน อีกหลายครั้งรวมถึงใน The Bourne Ultimatum
ดังนั้น การเลือกทำหนังที่หยิบเอาเรื่องราวของชาวสตันท์ ก็ถือเป็นงานที่ตัวผู้กำกับเอง เข้าใจอย่างลึกซึ้ง และทำงานแบบเข้ามือ
The Fall Guyได้แรงบันดาลใจมาจากทีวีซีรีส์สุดฮิตในอเมริกาช่วงทศวรรษ 1980 เป็นเรื่องของตัวละครชื่อ โคลต์ ซีฟเวอร์ สตันท์แมนหนุ่มที่นอกจากจะทำงานในวงการบันเทิงฮอลลีวูด ยังสวมบทนักล่าเงินรางวัลโดยใช้ความสามารถทางการต่อสู้มาปราบปรามเหล่าอาชญากร
แต่ใน The Fall Guy ฉบับภาพยนตร์ที่กำลังฉายอยู่ในโรง โคลต์ ซีฟเวอร์ รับบทโดย ไรอัน กอสลิง เป็นสตันท์แมนให้กับ ทอม ไรเดอร์ (แอรอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน) ดาราชายชื่อดัง ซึ่ง โคลต์ เป็นสตันท์แมนที่ต้องแสดงฉากเสี่ยงตายให้กับ ทอม ทุกเรื่อง
แม้จะถูกดาราหนุ่มจู้จี้จุกจิกกับเขาอยู่เนือง ๆ แต่ โคลต์ ก็ทำงานอย่างสุขใจ เพราะมี โจดี โมเรโน ที่สมบทโดย เอมิลี บลันท์ ตากล้องสาวในกองถ่ายเป็นหวานใจ
ทว่าเหตุการณ์ที่ทำให้ โคลต์ ต้องยุติอาชีพสตันท์แมนไปนานปี ก็เนื่องจากเกิดอุบัติเหตุในระหว่างถ่ายทำภาพยนตร์ ชายหนุ่มเลือกหลีกเร้นตัวเองและเงียบหายไม่ติดต่อกับสาวคนรัก
https://www.youtube.com/watch?v=qm61LXN2uUw
แต่แล้ววันหนึ่ง เกล เมเยอร์ (ฮันนาห์ แวดดิงแฮม) ผู้อำนวยการผลิตภาพยนตร์ ได้ติดต่อ โคลต์ รับงานเป็นสตันท์แมนให้กับ ทอม อีกครั้ง ในภาพยนตร์ที่ โจดี้ มาเป็นผู้กำกับเต็มตัว โดยเปิดกล้องในออสเตรเลีย
เมื่อ โคลต์ มาถึงถิ่นจิงโจ้ ก็ได้รื้อฟื้นความหลังกับ โจดี้ และคิดว่าอะไร ๆ ก็กำลังราบรื่น ทว่าก็มีงานเข้า เมื่อ เกล สั่งให้เขาตามหา ทอม ที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ยิ่งสืบว่าดาราหนุ่มหายไปไหน ก็ทำให้ โคลต์ พบความไม่ชอบมาพากลขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกันนั้นเขาก็ต้องใช้ฝีไม้ลายมือการต่อสู้ในวิชาสตันท์แมนมาต่อกรกับกลุ่มคนร้าย โดยหนังผูกเรื่องราวไว้อย่างลึกลับซับซ้อน
The Fall Guy นอกจากจะนำเสนอเรื่องราวของคนที่ต้องเล่นบทเสี่ยงแทนดาราดัง ๆ หนังยังใช้โอกาสจิกกัดเย้ยหยันถึงนิสัยผู้คนหรือเบื้องหลังการทำงาน รวมถึงวิพากษ์การใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ อย่าง Deepfake ที่เอาหน้าบุคคลหนึ่งมาใส่แทนที่อีกคนหนึ่ง เอไอพวกนี้ก็เป็นหนึ่งในจุดสำคัญของปมปัญหาในเรื่อง
ถือว่า The Fall Guy ยังคงฉายชัดฝีมือการทำหนังอันเป็นเอกลักษณ์ของ เดวิด ลิทช์ ชัดเจน โดยเฉพาะการผสมรวมแอ็คชันกับความขำฮาได้อย่างกลมกล่อม แสดงการคารวะถึงงานต้นฉบับและชักชวนให้หวนคิดถึงซีรีส์ดัง ๆ ในยุค 80s ของอเมริกา
ส่วนดาราที่อยู่ระดับเอ-ลิสต์ของฮอลลีวูดที่ต้องมารับบทสตันท์แมนก็นับว่าเป็นงานที่ท้าทายอย่างมาก…เอาเป็นว่าดูจบเรื่องแล้ว อย่าเพิ่งลุกตอนเครดิตคนทำงานไล่เรียงขึ้นจอละกัน!
Blue Bird27/4/67