”บิ๊กต่าย“ เรียกประขุมคณะทำงานคดีดิ ไอคอนกรุ๊ป ก่อนพูดคุยกับผู้เสียหายเอง ยืนยันถ้าผลสอบสวนออกมาพบความผิดข้อหาใด ดำเนินคดีทุกคนไม่มีละเว้น เบื้องต้นพร้อมประสานปปง.อายัดทรัพย์ตัวหลักก่อน
วันที่ 10 ต.ค. 67 เวลา 13.00 น.ณ บก.ปคบ. ถ.พหลโยธิน แขวงจอมพล เขตจัตุจักร กทม.
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร.เดินทางมาเป็นประธานเปิดศูนย์รับแจ้งเหตุการหลอกลงทุนและติดตามความคืบหน้าในคดีบริษัท เคทูเอ็น โกลด์ จำกัด , คดีหลอกขายทองห้างเพชรทอง ธาดา โกลด์ และคดีบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป ซึ่งเป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจและมีผู้เสียหายจำนวนมาก
มีพล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร.(ปป 4)(สส 2)
พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดชผบช.ก. พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม
รอง ผบช.ก.พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์รอง ผบช.ก. พล.ต.ต. มนตรี เทศขันผบก.ป. พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก. ปคบ พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รอง โฆษก ตร.และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม
ในการประชุมในครั้งนี้ เป็นการติดตามผลและรายงานความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับบริษัท เคทูเอ็น โกลด์ จำกัด , คดีหลอกขายทองห้างเพชรทอง ธาดา โกลด์ และคดีบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป ซึ่งมีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะคดีบริษัท เคทูเอ็น โกลด์ ที่มีการติดตามยึดทรัพย์ของกลุ่มผู้ต้องหากว่า 100 ล้านบาท
และในคดีบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป ได้มีการเปิดศูนย์รับแจ้งเหตุหลอกลวงออนไลน์ไว้ที่อาคาร บก.ป. ชั้น 2 ห้องรังสิพราหมณกุล ทั้งนี้ได้จัดพนักงานสอบสวน บก.ปคบ. และ บก.อื่นๆ สนับสนุน รวม 55 นาย
โดยในวันนี้ได้รับแจ้งความและสอบปากคำผู้เสียหาย รวมทั้งสิ้น 92 ราย รวมความเสียหายประมาณ 34 ล้านบาท เป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจและคาดหวังในการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจเป็นอย่างมาก
ได้กำชับให้ บช.ก. ในฐานะหน่วยรับผิดชอบดำเนินการ ทั้งในเรื่องของการสืบสวนสอบสวน , การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข่าวสารให้สังคมได้รับรู้ , ตลอดจนการประสานหน่วยงานราชการอื่นให้เข้ามามีส่วนร่วมในการบูรณาการอาทิเช่น มาตรการทางด้านภาษี ฯลฯ ทั้งนี้ เพื่อให้ครอบคลุมในทุกมิติต่อไป
หลังประชุมพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพชร์ รรทผบ.ตร.พร้อมคณะได้เข้าไปพูดคุยกับผู้เสียหายกว่า 80 ราย ที่กำลังให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน ที่ บช.ก.ระดมมารับแจ้งความความในคดีเกี่ยวกับบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป (The iCon Group) ประมาณ 20 นาที
จากนั้นเวลา 15.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เปิดเผยถึงกรณีดังกล่าวว่าคดีของบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป ได้สั่งให้ บชก.จัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนไว้ ในวันนี้ได้เดินทางมาเพื่อดูว่ามีผู้เสียหายจำนวนมากน้อยแค่ไหน
ได้สั่งให้ บช.ก. ระดมกำลังพนักงานสอบสวนทั้งหมดให้มาสอบปากคำผู้เสียหายในเรื่องนี้ด้วย เบื้องต้นสอบปากคำผู้เสียหายไปแล้วกว่า 80 ปาก ทราบว่าส่วนใหญ่ถูกชักชวนให้ร่วมทำธุรกิจ และเป็นตัวแทนของบริษัทมีการให้เข้าอบรมซึ่งมีค่าใช้จ่ายเล็กน้อย จากนั้นเข้าสู่กระบวนการเปิดเครดิต และอัพเกรดเป็นขั้นบันไดเริ่มจาก 2,500- 25,000 จนถึง 250,000 บาท
มีความเป็นไปได้ว่าจะเข้าข่ายความผิดที่เกี่ยวกับเรื่องของธุรกิจการขายตรง แชร์ลูกโซ่ หรือการหลอกร่วมลงทุน เบื้องต้นมีการรวบรวมมูลค่าความเสียหายจากการสอบสวนผู้เสียหายทั้ง 80 กว่าคนอยู่ที่ 31 ล้านบาท
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวต่อถึงกรณีดาราที่ปรากฏตามสื่อว่าเป็นผู้บริหาร หรือเป็นพรีเซ็นเตอร์นั้น ว่า หากพบมีการสนับสนุนความผิดและเป็นตัวการความผิด จะดำเนินการตามกฏหมายไม่มีละเว้นใครทั้งสิ้น ดังนั้นหากดาราหรือศิลปินที่มาไลฟ์สด หรือช่วยโฆษณาสินค้า จะต้องดูข้อเท็จจริงก่อนว่าเข้าข่ายความผิดใดข้าง และอยู่ในระดับที่ตำรวจจะพิจารณาความผิดนั้นได้มากน้อยแค่ไหน
แต่สิ่งแรกที่ต้องทำตอนนี้คือการสอบสวนผู้เสียหาย เพื่อรวบรวมข้อมูลพยานหลักฐานก่อน จะใช้เวลาให้เร็วที่สุดประมาณ 2-3 วัน จะสามารถพิสูจน์ให้ได้ข้อเท็จจริง หลังจากนั้นจะนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาข้อเท็จจริงตามข้อกฎหมาย คาดว่าไม่น่าเกินสัปดาห์หน้า น่าจะพบว่ามีความผิดในฐานใดบ้าง
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวอีกว่า หลังจากพบความความผิดแล้วจะนำเข้าสู่ขั้นตอนการออกหมายเรียก หากไม่มาจะออกหมายจับต่อไป โดยขณะนี้ตนให้ความสำคัญกับเรื่องจำนวนเงินและทรัพย์สินอื่นเป็นหลักด้วย
ทั้งนี้ตำรวจยังไม่มีอำนาจไปยึดทรัพย์ ดังนั้นต้องประสานไปที่ ปปง.ใช้อำนาจอายัดทรัพย์ทั้งหมดไว้ก่อน โดยมุ่งเป้าไปที่ตัวเจ้าของบริษัท อย่างไรก็ตามฝั่งผู้ถูกกล่าวหาก็สามารถชี้แจงได้ว่าทรัพย์สินทั้งหมดได้มาจากการกระทำความผิดหรือไม่ แต่หากพบว่าได้มาจากการกระทำความผิด จะนำเข้าสู่การฟ้องร้องจากนั้นถึงจะมีการเฉลี่ยทรัพย์คืนผู้เสียหายได้
ส่วนดาราที่ได้รับเงินเดือนจากบริษัทดังกล่าวจะถูกอายัดทรัพย์สินด้วยหรือไม่ ต้องดูว่ามีส่วนร่วมกระทำความผิดหรือเป็นตัวการในการกระทำความผิดร่วมกันหรือไม่ ถ้าข้อเท็จจริงปรากฏยืนยันไก้ว่าร่วมด้วย จะโดนอายัดทรัพย์ทุกรายไม่มีละเว้น