จเรตำรวจแห่งชาติพร้อมรองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ผลักดันส่งตัวผู้ต้องหาสัญชาติเกาหลีรับโทษประเทศต้นทาง หลังตำรวจท่องเที่ยวทลายเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ
วันที่ 20-23 กันยายน 2568 พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว, พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รองผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และคณะ เดินทางไปราชการต่างประเทศ ณ สาธารณรัฐเกาหลี พร้อมกันนี้ได้ทำการผลักดันส่งตัวผู้ต้องหาสัญชาติเกาหลีใต้ 2 ราย กลับไปรับโทษยังสาธารณรัฐเกาหลี
ผู้ต้องหาชาวเกาหลีใต้จำนวน 2 รายดังกล่าว จากผู้ต้องหาทั้งหมด 19 รายที่ถูกตำรวจท่องเที่ยว สถานีตำรวจท่องเที่ยว 4 กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 1 จับกุมและทลายเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์เกาหลีใต้ในพื้นที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 20 กันยายน ที่ผ่านมา
นายคิมดูซง กงสุลตำรวจสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย พร้อมด้วยฝ่ายภูมิภาค 2 กองการต่างประเทศ ร่วมผลักดันผู้ต้องหากลับไปยังสาธารณรัฐเกาหลี มีเจ้าหน้าที่ตำรวจสาธารณรัฐเกาหลีที่เกี่ยวข้องมารับตัวไปดำเนินคดีต่อไป
โดยผู้ต้องหาสัญชาติเกาหลีอีก 17 คนนั้น ได้ถูกผลักดันส่งตัวกลับไปดำเนินคดียังสาธารณรัฐเกาหลีไปก่อนหน้านี้แล้ว
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 เวลา 02.00 น. ได้รับการประสานจาก คุณลี ยองกุน กงสุลตำรวจ สถานทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย เพื่อขอความช่วยเหลือชายสัญชาติเกาหลี อายุ 31 ปี หลังบิดาในประเทศเกาหลีใต้แจ้งว่า บุตรชายถูกบังคับให้ทำงานและถูกทำร้ายร่างกาย พร้อมเตรียมถูกเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่ไม่ทราบแน่ชัด
เจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวรับคำสั่งให้ลงพื้นที่ตรวจสอบตามข้อมูลเบื้องต้น บริเวณซอยชุมชนชายทะเล ต.นาจอมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี จนช่วยเหลือผู้เสียหายได้ที่บ้านหลังหนึ่งโดยปลอดภัย
ต่อมาวันที่ 6 สิงหาคม 2568 เวลา 10.00 น. จากการสั่งการขยายผลพบว่ามีกลุ่มชาวเกาหลีและจีนประมาณ 20 คน พักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ลักษณะทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ผิดกฎหมาย
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงร่วมกับสถานทูตสาธารณรัฐเกาหลี เข้าตรวจค้นบ้านหลังดังกล่าว พบผู้ต้องสงสัยรวม 8 ราย เป็นชายสัญชาติเกาหลี 6 ราย หญิงสัญชาติเกาหลี 1 ราย และชายชาวจีน 1 ราย รับสารภาพว่าทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงคนประเทศเกาหลีใต้
จากการตรวจสอบสถานที่ทำงานที่อาคารพาณิชย์ หมู่ 1 ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี พบว่าเป็นสำนักงานปิดทึบ ชั้น 1 และ 2 ถูกดัดแปลงเป็นห้องทำงาน พร้อมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จำนวนมาก ได้แก่ โน้ตบุ๊ก 14 เครื่อง, คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ 4 เครื่อง และโทรศัพท์มือถือ 15 เครื่อง
เจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวจึงควบคุมตัวผู้ต้องหา พร้อมรายงานตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดชลบุรี เพื่อดำเนินการเพิกถอนวีซ่า และนำของกลางส่งพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรห้วยใหญ่ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป