วันที่ 9 ต.ค.2568 พลตำรวจโทปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า
“ตามที่มีข่าวลาออกจากของ สส.พรรคพลังประชารัฐ และจะมีการปรับโครงสร้างพรรค พลังประชารัฐ นั้น ถือว่า เป็นโอกาสอันดี ที่ พปชร.ได้ปรับโครงสร้างพรรค เป็นโอกาสที่ถ่ายเลือดเก่าและนำเลือดไหม่เข้ามา โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ยังคงเป็นหัวหน้าพรรคเหมือนเดิม และมีการปรับโครงสร้างพรรคพิจารณาเลือกบุคคลที่เหมาะสม
ต้องเป็นบุคคลที่สามารถทำงานร่วมกับทุกคนในพรรคได้ และต้องมีอุดมการณ์ร่วมกัน คือ “ เทินทูนและ รักษาไว้ซึ่งสถาบัน ชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ รักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนส่วนรวม และก้าวข้ามความขัดแย้งต่างๆ ซึ่งในวันที่ 17 ต.ค. 2568 จะมีการเปิดตัวผู้เข้าร่วมทำงานกับ พปชร. บางส่วน ”
“นอกจากนี้ พล.อ.ประวิตร หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ขอขอบคุณนายอนุทิน ชาญวีรกูร นายกรัฐมนตรี ที่นำเอา “โครงการคนละครึ่ง” มาใช้อีกครั้ง เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ซึ่งก่อนหน้านี้ พรรคพลังประชารัฐเคยได้นำโครงการมาใช้และประสบความสำเร็จในการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังโควิดที่ผ่านมา สามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยได้โดยตรง เป็นที่ชื่นชอบของพี่น้องประชาชน และสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างจริงจัง พปชร. พร้อมหนุนรัฐบาลเดินหน้าโครงการคนละครึ่งพลัส อยากเต็มที่”
“แนวทางดังกล่าว ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ทททฺ) ได้นำ โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง ซึ่งในครั้งนี้ ททท. ได้ใช้รูปแบบและแนวทางของโครงการคนละครึ่งมาใช้ และเป็นที่ชื่นชอบของพี่น้อง ประชาชน ผู้ประกอบการ และ นักท่องเที่ยว จน ททท.มีแนวทางขยายโครงการต่อ โดยจะขับเคลื่อน “ โครงการทัวร์ไทยคนละครึ่ง” เป็นแนวทางคล้ายๆกันนำมาใช้ต่อ”
“ ที่สำคัญ ทางรัฐบาลของนายอนุทินฯ นายกรัฐมนตรี ได้ใช้แอพพลิเคชั่น ”เป๋าตัง“เดิม ที่พี่น้องประชาชน ทั้งผู้บริโภค ผู้ประกอบการ ผู้ซื้อและผู้ขาย เคยใช้มาก่อน มีความชำนาญและมีความเข้าใจเป็นอย่างดี สามารถนำมาใช้ได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายไปทำแอปพลิเคชั่นใหม่ให้เปลืองงบประมาณ ก่อให้เกิดความสับสนสำหรับผู้ใช้ เหมือนที่รัฐบาลเพื่อไทยเคยทำ
เพียงแต่นำมาปรับปรุง กระบวนการเดิมที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีความเหมาะสมมากขึ้น ทำให้พี่น้องประชาชนสามารถลงทะเบียน โครงการคนละครึ่งพลัส ผ่านแอปฯ เป๋าตัง ได้เร็วขึ้น ตั้งแต่วันที่ 20 – 26 ตุลาคม 2568 เวลา 06.00 – 22.00 น.“
พล.ต.ท.ปิยะฯ กล่าวว่า “ พล.อ.ประวิตรฯ พร้อมให้การสนับสนุนรัฐบาลและ นายอนุทินฯนายกรัฐมนตรี ในทุกด้าน โดยเฉพาะประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญชำนาญด้านความมั่นคง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งจะทำให้การขับเคลื่อนการทำงานในช่วงสี่เดือนนี้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”
