ความในใจ “พล.ต.ท.อิทธิพล พิริยะภิญโญ”
ในวันที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดจัดซื้อ จยย.ไทเกอร์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////
จากกรณีสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. มีมติ 9 ต่อ 0 เสียง ให้ 4 นายพลตำรวจ ประกอบด้วย พล.ต.ท.ประชิน วารี พล.ต.ต.สมพงษ์ น้าเจริญ พล.ต.ท.อิทธิพล พิริยะภิญโญ และพล.ต.ต.สัจจะ คชหิรัญ อดีตคณะกรรมการจัดซื้อรถจักรยานยนต์ไทเกอร์ เพื่อใช้ในราชการตำรวจ จำนวน 19,147 คัน วงเงินกว่า 1,144 ล้านบาท ว่ามีความผิดฐานทุจริตในการจัดซื้อ โดยล็อคสเป็ค เอื้อประโยชน์ให้บริษัทเดียว โดยทั้งหมดเกษียณราชการหมดแล้ว เหลือเพียง พล.ต.ท.อิทธิพล พิริยะภิญโญ ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร. ที่ยังรับราชการอยู่นั้น
ล่าสุด พล.ต.ท.อิทธิพล พิริยะภิญโญ ผบช.ประจำสง.ผบ.ตร. เปิดใจกรณีดังกล่าวว่า “ภายหลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. มีมติ 9 ต่อ 0 เสียง ให้ 1นายพลตำรวจมีความผิดฐานทุจริต กับกระทำผิดวินัยร้ายแรงให้ส่งอัยการดำเนินคดีอาญา กับอีก 3 นายพล กระทำโดยประมาททำให้เกิดความเสียหายถือว่าผิดวินัยร้ายแรงให้ ตร. ไล่ออก ในกรณีการจัดซื้อรถจักรยานยนต์สายตรวจเมื่อปี 2550
เรื่องนี้ ตนไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะทำงานมาทั้งชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริตมาตลอด แต่กลับจะถูกไล่ออกทั้งที่ไม่ได้ทำผิด ที่ทำไปก็ทำถูกต้องเป็นไปตามระเบียบพัสดุทุกอย่าง หลังจากที่ ป.ป.ช. ชี้มูลวินัยมาแล้ว สื่อมวลชนก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ไปในทางที่ขาดความเข้าใจ เป็นผลให้ประชาชนที่ดูสื่อเข้าใจคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จ โดยขอทำความเข้าใจว่าจริงๆแล้ว ป.ป.ช. ไม่ได้ชี้มูลว่าตนทุจริต แต่ชี้ว่ากระทำโดยประมาทให้ลงโทษวินัยร้ายแรง ไล่ออกจากราชการ
ซึ่งข้อหาทุจริตนั้น ป.ป.ช. ชี้มูล พล.ต.ต.สัจจะ เพียงคนเดียวเท่านั้น โดยขอชี้แจงว่า ขั้นตอนการจัดซื้อ ต้องมีการตั้งคณะกรรมการกำหนดสเปคและเงื่อนไขการประกวดราคา(กรรมการTOR )ขึ้นมาเสียก่อน ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้จะมีความสำคัญมาก เพราะจะเป็นคนกำหนดสเปคของรถจักรยานยนต์ที่จะซื้อ ว่าต้องการรถแบบไหน มีอุปกรณ์อะไรบ้าง ซื้อในราคาไม่เกินคันละเท่าไร และมีเงื่อนไขอะไรบ้างที่ผู้ขายต้องปฎิบัติ จากนั้นก็จะตั้งคณะกรรมการประกวดราคาขึ้นมาอีกคณะหนึ่งเพื่อดูแลการประกวดราคาให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการ TOR กำหนด สำหรับตนกับพวกที่ถูกวินัยเป็นคณะนี้
พล.ต.ท.อิทธิพลกล่าวอีกว่า โดยหลังจากที่เสนอรายงานการประกวดราคาไปให้เจ้าหน้าที่พัสดุตรวจสอบเพื่อเสนอไปยังผู้มีอำนาจอนุมัติ มันก็หมดหน้าที่ ส่วนจะอนุมัติหรือไม่อนุมัติก็ไม่ใช่หน้าที่ของตนแล้ว และกลับไปทำหน้าที่ในตำแหน่งของ รอง ผบก.ภ.จว.ตราด ในขณะนั้นตามปกติ การอนุมัติซื้อหรือไม่ ก็ไม่จำเป็นต้องรายงานผลมาให้ตนทราบด้วย แต่ขั้นตอนต่อไปเมื่อมี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้นอนุมัติ ก็ให้กองพลาธิการไปทำสัญญากัน ตามระเบียบก็จะยึดเอาเอกสารที่ผู้ขายเสนอมาตอนประกวดราคาเป็นเงื่อนไขในสัญญาด้วย และก็จะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอีกชุดหนึ่งคือกรรมการตรวจรับ ซึ่งคณะนี้สำคัญมากเช่นเดียวกันว่า ก่อนจะรับของมาใช้ต้องตรวจสอบให้ครบเงื่อนไขในสัญญาทุกข้อถึงจะตรวจรับได้ เมื่อตรวจรับแล้วคนที่ขายก็จะเอาบันทึกตรวจรับไปเบิกเงินกับ ผบ.ตร. หรือ รอง ผบ.ตร. ที่เป็นผู้อนุมัติจ่ายเงิน ถ้าไม่มีลายเซนต์ของกรรมการตรวจรับเขาก็ไม่จ่าย
ในกรณีที่ ป.ป.ช. กล่าวหาว่า ตนประมาทเลินเล่อ ไม่ไปตรวจศูนย์ซ่อมรถจักรยานยนต์ว่ามีอยู่จริงตามเอกสารที่ผู้ขายส่งเอกสารรับรองหรือไม่ เพราะภายหลังการตรวจรับรถไปใช้ในราชการแล้ว ต่อมา ไปตรวจพบว่ามีแต่มีศูนย์ซ่อมไม่ครบทั้ง 76 จังหวัด ขาดไป 25 จังหวัด ทำให้ตำรวจหาที่ซ่อมรถจักรยานยนต์ไม่ได้เวลาชำรุด ทำให้เกิดความเสียหาย ตนเห็นว่าเรื่องดังกล่าวไม่เกี่ยวกับตน จะมากล่าวว่าตนประมาทได้อย่างไร เพราะหน้าที่ “ตรวจศูนย์ซ่อมรถจักรยานยนต์”ว่ามีอยู่จริงตามเงื่อนไขในสัญญาหรือไม่ เป็นหน้าที่ของกรรมการตรวจรับ และถ้ารถจักรยานยนต์ ดีหรือไม่ดี ก็อยู่ที่คณะกรรมการTORเป็นคนกำหนด ตนแค่ดูแลการประกวดราคา อย่าให้มีการเอารัดเอาเปรียบหรือโกงกันตอนเสนอราคาเท่านั้น ถ้าราคาไม่เกินวงเงินที่กำหนดและราคาถูกกว่าคนอื่น รถที่จะซื้อตรงตาม TOR ก็สามารถซื้อได้และตนเองก็หมดหน้าที่ไปก่อนจะมีการอนุมัติซื้อเสียอีก
แต่กลับเป็นว่า หลังจากรับรถไปใช้ 6-8ปี กลับแล้วมาบอกว่า ตนประมาทผิดวินัยร้ายแรง เพราะรถไม่มีศูนย์ซ่อม 25 จังหวัด ต้องไล่ออกจากราชการ ซึ่งก็อยากจะถาม ป.ป.ช. เหมือนกันว่าแล้วที่รถใช้กันมา 6-7 ปี นี่เขาก็ยังวิ่งตรวจกันอยู่ เขาเอาไปซ่อมที่ไหน ตำรวจถึงใช้ตรวจกันจนครบอายุการใช้งาน เมื่อปี 2557 แล้วจึงจัดซื้อมาทดแทน รุ่นเก่าก็เรียกคืนมารอจำหน่ายขายทอดตลาด ซึ่งมันเป็นข้อเท็จจริงที่มองเห็นกันอยู่ ตนเองเหมือนถูกยัดเยียดความผิดมาให้ เหมือนตนเป็น สารวัตรธุรการ สน.หนึ่ง แต่เมื่อมีนอกหน่วยเข้ามาจับบ่อน ก็ถูกย้ายด่วน ส่วน 5 เสือ สน. ไม่ถูกย้ายด้วย อย่างนี้ถือว่า ป.ป.ช. ชี้มูลคลาดเคลื่อนหรือเปล่า ต้องรับผิด มาตรา 157 ด้วยหรือไม่
“ในชีวิตราชการ ตั้งแต่ ร.ต.ต. ทำงานสืบสวนสอบสวน ปราบปรามอาชญากรรมในพื้นที่มาตลอด ไม่ว่าตำแหน่ง รองสารวัตรสืบสวนสอบสวน , สว.สืบสวน ,รอง ผกก.ป. , หน.สถานี ,ผกก .สภ , รอง ผบก.ภ.จว , ผบก.ภ.จว. , รอง ผบช. จนได้ขึ้นเป็น ผบช. มาตั้งแต่ ปี 2526 และเป็นตำแหน่งที่เข้าใจว่าเป็นตำแหน่งที่มีผลประโยชน์ แต่ที่ผ่านมา 30 กว่าปี ตนก็ยังยึดมั่นพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่9 ที่พระราชทานให้ในวันที่รับพระราชทานกระบี่จากพระองค์ท่าน ว่าการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ต้องยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต เตรียมตัวให้พร้อมที่จะเป็นที่พึ่งของประชาชน และในวันที่จบจาก รร. นรต. ก็ได้ไปสาบานกับเจ้าพ่อสามพราน ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์ที่นักเรียนนายร้อยตำรวจนับถือ ว่าจะไม่รับส่วย และลาภอันมิควรได้ ทั้งตามน้ำ ทวนน้ำ จะตั้งมั่นอยู่ในคุณธรรม หากผิดคำสาบาน ขออย่าให้เจริญเติบโตในหน้าที่การงานให้ตกต่ำยิ่งกว่าสุนัขขี้เรื้อน ซึ่งก็ถือปฏิบัติตลอดมา และแอบภูมิใจตัวเองอยู่เสมอเวลาได้รับเสด็จในหลวง เมื่อท่านสวรรคตก็ได้ขออาสามาดูแลงานถวายความปลอดภัยในงานพระบรมศพของพระองค์ท่านตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2559 มาจนถึงวันนี้
ขอให้ประชาชนที่ได้รับฟังข่าวสารเรื่องนี้ ได้โปรดแยกแยะความผิดกับถูก ชั่วกับดี ให้ถ่องแท้ก่อน โดยฟังความรอบด้านก่อนที่จะตัดสินใจเชื่อ เพราะบางองค์กรที่เราคาดหวัง มันอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราคาดหวังไว้ก็ได้” พล.ต.ท.อิทธิพล กล่าวทิ้งท้าย
//////////////////////////////////////////////////////////////