ตอน17
ผมไปถึงก่อนเวลา
เลยต้องไปแกร่วรอที่ที่นั่งบุด้วยขนนกนุ่มใกล้กับนาฬิกาในล็อบบี้ มองดูสาว ๆ เดินผ่านไปมา ส่วนใหญ่เด็กนักเรียนกลับบ้านช่วงวันหยุดยาวแล้ว แต่ยังมีหญิงสาวนับล้านคนมานั่งๆ ยืนๆ รอคอยแฟนเพื่อไปดูโชว์
บางคนนั่งไขว้ขาบ้าง ไม่ไขว้ขาบ้าง เพราะเรียวขาดูไม่ได้ บางคนก็ดูเรียบร้อยท่าทางฉลาด บางคนก็ออกเฟี้ยวฟ้าวเกินวัย บรรยากาศช่างครึกครื้นดีอย่างที่คิดไว้
แต่ก็ยังเหลือความหดหู่ใจบ้างเหมือนกัน เพราะคุณจะคิดเป็นห่วงว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพวกสาว ๆ เหล่านี้เมื่อถึงเวลาที่ต้องจบจากโรงเรียนหรือวิทยาลัย
นึกภาพว่าพวกเธอเกือบทั้งหมดบางทีอาจจะแต่งงานกับไอ้ขี้เมาหยำเป ผู้ชายที่เอาแต่หมกมุ่นกับเรื่องรถของตัวเองว่าวิ่งไกลกี่ไมล์ถ้าเติมน้ำมันหนึ่งแกลลอน
ผู้ชายที่มีนิสัยเอาแต่ใจเหมือนเด็กๆ ไม่พอใจหากถูกไล่ต้อนในสนามกอล์ฟ หรือกีฬางี่เง่าอย่างปิงปอง ผู้ชายทึ่มที่ไม่อ่านหนังสือเลย ไอ้พวกน่าเบื่อ
เรื่องนี้ผมต้องระมัดระวังหมายถึงการกล่าวหาพวกน่าเบื่อ ผมไม่เข้าใจพวกนี้เลยจริง ๆ
ตอนอยู่ที่เอลค์ตัน ฮิลล์ส ผมอยู่ร่วมห้องกับเจ้าแฮร์ริส แมคลิน นานราวสองเดือน เจ้านี่เป็นคนหัวไวฉลาดเป็นกรด แต่ก็ยังเป็นไอ้งั่งงี่เง่าน่าเบื่อที่สุดเท่าที่เคยเจอ มันมีน้ำเสียงกวนประสาทแถมคุยโมไม่หยุดเลย
มันแย่ตรงที่มันไม่เคยคุยเรื่องที่คุณอยากได้ยินได้ฟังเป็นสิ่งแรก แต่มันก็ทำบางอย่างคือ ผิวปากได้ดีกว่าใครทั้งหมดเท่าที่เคยได้ยินมาเหมือนกัน มันจะจัดเตียงนอนหรือแขวนสิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัวไว้ในตู้เสื้อผ้าเป็นประจำเสมอแแหละ ผมแทบบ้า มันจะผิวปากไปด้วยขณะทำอะไรของมัน ถ้าไม่พูดให้ได้ยินรกหู
ที่จริงมันผิวปากเก่งมาก แม้กระทั่งดนตรีคลาสสิกมันยังผิวได้ แต่ส่วนใหญ่จะผิวเพลงแจ๊ซเสียมากกว่า แล้วก็มักจะผิวเพลงอะไรก็ประเภทไหนในสไตล์แจ๊ซไปหมด
อย่างเพลงทิน รูฟ บลูส์ ก็ผิวได้อย่างไพเราะเพราะพริ้งนุ่มนวล ขณะที่มือหยิบโน่นแขวนนี่ในตู้เสื้อผ้า ทำให้คุณจะบ้าได้เลยล่ะ
โดยปกติผมไม่อยากบอกว่าเจ้านี่มันเป็นนักผิวปากระดับยอดฝีมือหรอกหมายความว่าผมไม่จำเป็นต้องไปยกหางใครหรอกว่า
“นายเป็นนักผิวปากชั้นยอดเลยนะรู้เปล่า”
แต่ผมพักอยู่ร่วมห้องเดียวกับมันตลอดสองเดือน แม้ว่ามันจะน่าเซ็งจนทำให้ประสาทเสียก็ตาม เพียงแต่ว่ามันเป็นนักผิวปากที่เก่งที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา ผมเลยไม่สนใจเรื่องน่าเบื่อเซ็งของมันนักหรอก หรือคุณอาจจะไม่รู้สึกเสียใจเลยถ้าคุณเห็นสาวๆ ที่เป็นกุลสตรีแต่งงานกับคนแบบนี้
พวกนี้ส่วนใหญ่จะไม่ทำให้ผู้หญิงอกหักหรอก พวกนี้อาจจะเป็นเสือซุ่มยอดนักผิวปากก็เป็นไปได้ ใครจะไปรู้
ในที่สุดแซลลี่เดินขึ้นบันไดมา ผมเลยลุกก้าวไปหาเธอ เธอสวยอย่างเห็นได้ชัด เป็นอย่างนั้นทีเดียว สวมเสื้อคลุมสีดำ สวมหมวกแบเร่ต์ดำ ปกติแทบจะไม่สวมหมวกให้เห็น แต่ใบนี้ก็น่ารักไม่น้อย
น่าตลกนึกไง ผมอยากจะแต่งงานกับเธอในชั่วแวบแรกเห็นเลยทีเดียว เธอช่างน่าหลงใหลเอามาก ๆ ไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อนเลย ในทันใดก็ตกหลุมรักเธอเข้าแล้ว อยากจะแต่งงานเลยทันที สาบานได้ ผมรักเธออย่างแรงจริง ๆ
“โฮลเด้น” เธอเรียก “มหัศจรรย์มาก ๆ ที่เจอเธอ ไม่เจอกันมาหลายปีแล้วนะ”
เธอพูดเสียงดังอย่างนี้แหละ น่าเขินจังถ้าเผอิญไปเจอที่ไหนสักแห่ง เธอมักจะส่งเสียงแบบนี้เสมอเวลาไปไหนมาไหน อาจเพราะถือว่าตัวเองรูปร่างหน้าตาสะสวยเลยไม่แยแสอะไรแต่มันทำให้ผมรู้สึกสะดุ้งผวาทุกครั้งเลย
“ดีใจจังที่ได้เจอคุณ” ผมพูดและหมายความอย่างนั้นจริง ๆ “สบายดีหรือเปล่า”
“ก็สบายดีน่ะ นี่ฉันมาสายหรือเปล่าล่ะ”
ผมตอบว่าเปล่าเลย
แต่จริง ๆ แล้วเธอมาช้าสักสิบนาที ผมไม่คิดมากหรอก เรื่องพรรค์นี้มันมีแต่ในการ์ตูนหนังสือพิมพ์ เดอะ แซทเทอร์เดย์ อีฟนิ่งโพสต์ เป็นภาพชายหลายคนยืนเกร่อยู่มุมตึกท่าทางกระวนกระวายหงุดหงิดใจราวกับอยู่ในรถ เพราะคู่นัดของพวกนั้นมาสาย
เลอะเทอะจัง ถ้าหากผู้หญิงน่ารักและงามเลิศเดินนวยนาดเข้ามาหาคุณ ใครจะมัวใส่ใจล่ะถ้าเธอจะมาช้ากว่าที่นัดใช่ไหม ไม่มีใครหรอก
“เราควรรีบไปนะ” ผมบอกเธอ “หนังเริ่มฉายบ่ายสองโมงสี่สิบนาที” เรารีีบเดินลงไปเรียกแท็กซี่
“เราจะไปดูอะไรล่ะ” เธอถามผม
“ไม่รู้สิ เดอะ ลันท์ส มั้งที่ผมหาตั๋วได้”
“เดอะ ลันท์ส เหรอ โอ สุดยอดไปเลย”
ผมบอกแล้วไงล่ะ เธอจะต้องกรี๊ดกร๊าดตอนที่ได้ยินว่าจะไปดูเรื่องเดอะ ลันท์ส
เรานัวเนียกันเล็กน้อยในรถแท็กซี่ระหว่างเดินทางไปโรงหนัง ทีแรกเธอไม่ต้องการหรอก เพราะทาลิปสติก แล้วผมก็ถูกเธอหว่านล้อมจนอยู่หมัด เธอไม่มีหนทางให้ผมเลือกเลย อีกอย่างหนึ่งตอนแท็กซี่เบรกติดสัญญาณไฟทีไร ผมแทบตกจากเบาะ ไอ้โชเฟอร์ยอดเลวไม่ดูหนทางเลยว่าจะไปไหน สาบานได้ แล้วผมก็ดันทะลึ่งตอนลงจากแท็กซี่ ยันดันบอกว่ารักเธอ บ้าฉิบหาย แน่ล่ะ เรื่องของเรื่องอยู่ที่ผมพูดจริง
“โอ้ที่รัก ฉันรักเธอเหมือนกัน” เธอตอบ
จากนั้นชั่วอึดใจเธอก็พูดว่า “สัญญากับฉันได้มั้ยล่ะว่าเธอจะปล่อยผมยาว ที่ตัดสั้นเกรียนนี่้มันดูเชย ๆ ยังไงก็ไม่รู้ ผมของเธอน่ารักดีรู้มั้ยจ๊ะ”
น่ารักเหรอทุเรศน่ะสิไม่ว่า
หนังที่เราดูก็ไม่ได้แย่เอามากอย่างบางเรื่องที่เคยดู ถึงอย่างไรมันก็เศร้า มันเป็นเรื่องราวห้าแสนปีในชีวิตของคู่รักวัยใกล้ฝั่ง เริ่มตั้งแต่ตอนยังเป็นหนุ่มสาว พ่อแม่ของฝ่ายหญิงไม่ต้องการให้เธอแต่งงานกับฝ่ายชาย แต่เธอก็ดื้อแต่งงานกับเขาจนได้
จนต่อมาทั้งสองอายุเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ ฝ่ายสามีไปสงครามส่วนภรรยามีน้องชายที่ติดสุราหัวราน้ำ ผมไม่ค่อยสนใจนัก หมายถึงว่าผมไม่สนใจนักหรอกถ้าใครสักคนในครอบครัวจะตายจากกันไปหรืออะไรก็ตาม พวกเขาเป็นแค่ดารานักแสดงเท่านั้น
คนที่แสดงเป็นสามีภรรยาดูเหมือนเป็นคู่รักในวัยชราที่น่ารักดี ดูฉลาดแต่ผมก็ไม่สนใจทั้งคู่เลย อย่างหนึ่งคือพวกเขาเอาแต่จิบชาหรืออะไรตลอดเรื่อง ทุกครั้งที่เห็น พนักงานเสิร์ฟยืนคอยเสิร์ฟชาอยู่เบื้องหน้า หรือไม่ภรรยาก็เป็นคนคอยรินชาเสิร์ฟให้บางคน แต่ละคนที่โผล่เข้ามาในฉากและเดินออกไปตลอดเวลา คุณจะหัวปั่นแน่ที่ต้องเห็นคนเดี๋ยวลุกเดี๋ยวนั่งหรือยืน
อัลเฟรด ลันท์ส และ ลินน์ฟอนเทนน์ คือคู่รักวัยชรา ทั้งคู่เป็นคนดีมาก ๆ แต่ผมก็ไม่ยักจะชอบเลย ทั้งสองแตกต่างกัน บอกได้เลยเขาแสดงไม่เหมือนคนปกติทั่วไป และก็ไม่เหมือนนักแสดงด้วย
มันอธิบายยาก พวกเขาแสดงเหมือนพวกหัวสูงแบบนั้น ผมหมายถึงว่าพวกเขาแสดงได้ดีมาก แต่ก็ดีเกินไป ตอนที่คนหนึ่งจบบทสนทนา อีกคนจะพูดขึ้นอย่างเร็ว มันดูสมจริงเหมือนที่ผู้คนพูดคุยกันและโต้เถียงกันไปมามันแย่ตรงที่เหมือนคนโต้เถียงจริงจังเกินไปต่างหาก
พวกเขาเล่นในแบบของเออร์นี่ที่พรมนิ้วลงบนคีย์เปียโนแตะเบาๆ ในย่านกรีนนิช วิลเลจ ถ้าคุณทำอะไรที่ดูดีเกินไปก็เท่าน้้น
อีกชั่วขณะถ้าคุณไม่คอยสังเกต คุณก็จะเริ่มโชว์ลวดลายแล้วทีนี้ จากนั้นคุณก็ไม่ได้ดีเด่อะไรมากกว่านั้นอีกเลยล่ะ แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็นับว่าเป็นนักแสดงคู่เดียวในเดอะ ลันท์ส ที่พอจะมีฝีมืออย่างแท้จริง ผมยอมรับ
ในตอนท้ายของช่วงพักครึ่ง เราออกมาข้างนอกพร้อมกับพวกขี้ยามาอัดควันบุหรี่กัน มันยอดเหลือเกินคุณไม่เคยเห็นพวกจอมปลอมมาชุมนุมกันได้มากมายขนาดนี้เลยในชีวิต ทุกคนอัดบุหรี่จนควันแทบออกจากรูหูและก็เอาแต่พร่ำถึงบทแสดง ดังนั้นพวกเขาก็ได้ยินได้ฟังและรู้ว่าตัวเองเฉียบแหลมแค่ไหน
มีดาราขี้ยาคนหนึ่งยืนใกล้กับเรา สูบบุหรี่ควันโขมง ผมจำไม่ได้หรอกว่าชื่ออะไร แต่รู้ว่าเล่นหนังสงคราม ในบทบาทคนขี้ขลาดตาขาวแต่ก็ก้าวไปสู่จุดสูงสุดได้ เขามากับหญิงสาวผมบลอนด์ ทั้งสองพยายามวางตัวให้ดูโดดเด่นสะดุดตา แต่แสร้งทำเหมือนไม่รู้ตัวว่ามีคนแอบมองอยู่ โคตรเท่เลย
ผมนี่สุดจะหมั่นไส้ แซลลี่ไม่พูดอะไรมากนอกจากเพ้อถึงเดอะ ลันท์สเพราะเธอมัวแต่สนใจกับความสวยงามหว่านเสน่ห์
ทันทีที่เธอเห็นคนรู้จักมากอีกคนหนึ่งที่ล็อบบี้ ผู้ชายสวมสูทสักหลาดสีเทาเข้ม เสื้อกั๊กตาหมากรุก ท่าทางแบบนักศึกษา เท่เหลือหลาย ยืนติดกับผนัง อัดบุหรี่ติดๆกัน ด้วยท่าทางไม่ค่อยสบอารมณ์นัก แซลลี่พูดขึ้นลอย ๆ ว่า
“ฉันรู้จักหนุ่มคนนี้ที่ไหนน้า”
เธอมักจะรู้จักใครต่อใครเสมอไม่ว่าจะไปที่ไหน หรือก็คิดว่าต้องรู้จักกันมาก่อนแน่ แล้วก็พึมพำจนผมแสนจะเบื่อหน่ายต้องพูดกับเธอว่า
“ทำไมไม่เข้าไปหาเขาแล้วก็จูบสักฟอดเลยล่ะ ถ้ารู้จักกันจริง ๆ เขาคงจะซึ้งใจเอามาก ๆ เลยล่ะ” เธอก็จะทำหน้าบึ้งเล็กน้อย
ในที่สุดเจ้านั่นสังเกตเห็นเธอ ก็จะปรี่เข้ามาทักทาย
คุณน่าจะได้เห็นวิธีการทักทายของคนทั้งสองนะคุณอาจจะคิดว่าทั้งคู่ไม่ได้เจอหน้ากันมานานสักยี่สิบปี หรือคุณอาจจะคิดว่าทั้งสองคงอาบน้ำในอ่างเดียวกันตอนที่ยังเป็นทารกอยู่
เพื่อนเก่ามาเจอกันล่ะสิ มันน่าอ้วกเหลือเกิน ตลกตรงที่เคยเจอกันเพียงหนเดียวที่ปาร์ตี้สักแห่ง
หลังจากทักทายกันจนหนำใจแล้ว แซลลี่ก็แนะนำให้รู้จัก เขาชื่อ จอร์จหรืออะไรนี่แหละ ผมไม่ค่อยจดจำ เขาเคยไปแอนโดเวอร์ มันสำคัญขนาดนั้น คุณน่าจะได้เห็นตอนที่แซลลี่ถามเขาว่าชอบหนังเรื่องนี้ตรงไหน
เขาก็เป็นคนประเภทให้ใครหันมาฟังเมื่อจะตอบคำถามของใครบางคน ทำเป็นถอยหนึ่งก้าว แต่ดันเหยียบเท้าของผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างหลัง แทบทำให้นิ้วเท้าแหลกละเอียด
เขาบอกว่าบทแสดงโดยตัวของมันเองไม่ใช่งานระดับพีกหรอกแต่เดอะ ลันท์ส แน่นอนเป็นงานระด้ับมาสเตอร์พีซทีเดียว ล่ะ
ระด้บมาสเตอร์พีซน่ะหรือ ให้ตายเถอะ โถจะบ้าตาย แล้วเขากับแซลลี่ก็คุยไปเรื่อยถึงเพื่อน ๆ ที่ทั้งคู่รู้จักมันเป็นการสนทนาที่สุดเฟกเท่าที่คุณเคยได้ยินได้ฟังมาเลยในชีวิตคุณ ท้้งสองย้อนอดีตไปถึงสถานที่ต่าง ๆ อย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะนึกออก แล้วคิดถึงบางคนที่พบตามสถานที่นั้น ๆ เอ่ยชื่อแต่ละคนอีกด้วย
ผมพร้อมจะกลับไปดูการแสดงต่อ จริงๆ แล้วต่อจากนั้นเมื่อองก์ถัดไปจบลง พวกเขาก็เริ่มคุยกันเรื่องน่าเบื่ออีก คิดถึงสถานที่ต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ และชื่อคนที่รู้จักในสถานที่นั้น ๆ
มันแย่ตรงที่ว่าเจ้าทึ่มมีลีลาการพูดแบบพวกบ้าตำราในมหาวิทยาลัย ที่ฟังดูนุ่มนิ่ม อวดภูมิ พูดอ่อนหวานราวกับผู้หญิง ไม่ลังเลใจที่จะพูดโกหกพกลมกับคู่ควงของผม ไอ้บัดซบ
ผมคิดไปถึงว่าเจ้านี่อาจจะขอติดรถแท็กซี่ไปกับเราตอนหนังเลิก เพราะว่าเขาเดินไปกับเราถึงสองช่วงตึกแต่เพราะมันจำเป็นต้องไปหาพรรคพวกที่มาดเดียวกันนี่ไปหานั่งจิบอะไรกันต่ออีกสักเล็กน้อย เขาว่าอย่างนั้น
ผมเห็นพวกนี้สลอนในบาร์สวมเสื้อกั๊กลายหมากรุกวิพากษ์วิจารณ์ละครหรือวรรณกรรม รวมถึงผู้หญิงด้วยน้ำเสียงทรงภูมิสุภาพนุ่มนวล ทุด หมั่นไส้นัก
ผมชักไม่ชอบแซลลี่ขึ้นในขณะนั่งแท็กซี่ไปด้วยกัน หลังจากฟังเจ้าอุบาทว์แอนโดเวอร์โม้นานนับสิบชั่วโมง ผมก็พร้อมจะพาเธอไปส่งบ้านแล้ว ผมพร้อมแล้ว แต่เธอพูดว่า
“ฉันคิดออกแล้ว” เธอมักจะมีความคิดประหลาดเสมอ
“นี่ฟังนะ” เธอพูด “เธอจะกลับบ้านไปทานอาหารค่ำเมื่อไหร่ มันหมายถึงเธอกำลังรีบเร่งหรือเปล่า จะกลับบ้านเวลาไหน”
“ผมน่ะเหรอ เปล่าหรอก ไม่มีอะไร” ผมตอบ เป็นสัจวาจาที่สุดไม่เคยเอ่ยมาก่อน ไอ้หนูเอ๋ย
“ทำไมล่ะ”
“เราไปเล่นสเกตน้ำแข็งที่เรดิโอ ซิตี้ ดีมั้ย”
นั่นล่ะ ความคิดของเธอล่ะ
“ไปเล่นสเกตน้ำแข็งที่เรดิโอ ซิตี้ ตอนนี้น่ะเหรอ”
“สักชั่วโมงหนึ่งเท่านั้น ไม่อยากไปเหรอ ถ้าไม่อยากไป__”
“ผมยังไม่ได้พูดเลยว่าไม่อยากไป” ผมบอก “ได้เลย ถ้าเธออยากไปจริง ๆ “
“จริง ๆ นะ อย่าพูดถ้าเธอไม่อยากไป ฉันไม่ว่าอะไรหรอก ไม่ว่าอะไรเลยจริง ๆ”
ไม่บ่อยหรอกที่เธอจะไม่ว่าอะไร
“เธอเช่าชุดใส่เล่นสเกตน่ารัก ๆ ก็ได้นะ” แซลลี่ชวน “จีนเนตต์ คัลทช์ก็ทำแบบนี้เมื่อสัปดาห์ก่อน”
นั่นยังไงล่ะ ทำไมเธอถึงอยากจะไปนัก เธออยากเห็นตัวเองสวมกระโปรงสั้นเล่นสเกตน้ำแข็งที่พลิ้วไสวเหนือบั้นท้ายของเธอน่ะ
เราพากันไปลานสเกตน้ำแข็ง หลังจากที่เขาให้รองเท้าสเกตและกระโปรงสั้นชุดเล่นสเกตเป็นริ้วสีน้ำเงินให้แซลลี่
เธอดูน่ารักจริงๆ แหละ ผมยอมรับ เธอคงไม่รู้ตัวหรอก เดินนำหน้าผมไปผมเลยมีโอกาสจ้องบั้นท้ายเธอ เออน่าดูดี
มันน่าขันที่เราทั้งสองเป็นนักเล่นสเกตที่แย่สุดๆในลานสเกตเลยผมหมายถึงว่าห่วยสุด แต่ก็ยังพอมีพวกอ่อนหัดอยู่บ้างเหมือนกันข้อเท้าของแซลลี่หันเข้าหากันตอนเริ่มต้นบนลานน้ำแข็ง ไม่เพียงแต่ดูเงอะงะเท่านั้น แต่มันทำให้ปวดร้าวทีเดียว
ผมรู้ดีเพราะเคยเป็น เกือบจะตายเอาเลย เราคงกลายเป็นเป้าสายตาของคนอื่น ๆ สิ่งที่แย่กว่านั้น มีพวกเล่นเก่ง ๆ คู่หนึ่งในจำนวนนับร้อยที่ไม่มีอะไรดีไปกว่าคอยวนเวียนจ้องดูคนที่ลื่นล้มคว่ำคะมำหงายไม่เป็นท่า
“คุณอยากจะไปนั่งที่โต๊ะด้านในหาอะไรดื่มดีมั้ย” ผมพูดกับเธอ
“เป็นความคิดที่เยี่ยมเชียว ที่เธอคิดได้ตลอดทั้งวัน” เธอพูดดูสิน่าขยะแขยง โหดร้าย ผมเสียใจจริง ๆ ที่เธอคิดอย่างนี้กับผม
เราออกจากลานสเกตเข้าไปข้างในบาร์ที่คุณจะนั่มดื่มและดูคนเล่นสเกตคนอื่น ๆ สวมถุงเท้ายาวที่คุณเพิ่งถอดออกสักครู่ทันทีที่นั่งลง
แซลลี่ถอดถุงมือออก ผมยื่นบุหรี่ให้เธอมวนหนึ่ง เธอดูไม่ค่อยสุขใจนัก พนักงานเสิร์ฟเดินมาที่โต๊ะเรา ผมสั่งโค้กให้เธอเธอไม่ดื่มเหล้า ส่วนผมสั่งสกอตผสมโซดาหนึ่งแก้ว แต่เด็กเสิร์ฟไม่ยอม ผมจำเป็นต้องดื่มโค้กเหมือนกัน
แล้วผมก็จุดไม้ขีดไฟ ผมมักทำแบบนั้นบ่อย ๆ ตอนตกอยู่ในภวังค์สงบเงียบ ผมปล่อยให้เปลวไฟเผาก้านไม้ขีดจนจับไม่ได้ จึงทิ้งลงในที่เขี่ย เป็นนิสัยกวนประสาทหน่อยล่ะ
แล้วทันใดข้างนอกท้องฟ้าเริ่มสว่างแล้ว แซลลี่พูด “เอาล่ะฉันอยากรู้จังว่าเธอจะมาช่วยฉันประดับต้นคริสต์มาสในวันคริสต์มาสอีฟหรือเปล่า” เธอยังรู้สึกเจ็บแปล๊บที่ข้อเท้าจากการเล่นสเกตน้ำแข็ง
“ผมเขียนจดหมายไปบอกแล้วยังไงว่าจะไป คุณถามผมแล้วนับยี่สิบหนแล้วนะ แน่ใจได้เลยว่าผมไปแน่นอน”
“ฉันอยากจะรู้” เธอพูด ดวงตาเธอก็เหม่อมองไปรอบ ๆ ห้อง
ผมเลิกเล่นจุดไม้ขีดไฟทันทีแล้วโน้มตัวข้ามโต๊ะไปให้ใกล้เธอผมมีอะไรในใจจะบอกเธออยู่สองสามเรื่อง “เฮ้ แซลลี่” ผมพูด
“อะไรกันล่ะ” เธอถาม ขณะที่มองไปยังผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่อีกฟากของห้อง
“คุณกลัวอะไรมั้ย” ผมถาม
“หมายความว่าคุณเคยกลัวว่าอะไรมันจะสับสนปนเปไปหมด หรือเปล่า ถ้าคุณวางเฉย เอ่อผมหมายถึงคุณชอบโรงเรียนมั้ย”
“มันน่าเบื่อที่สุด”
“ผมหมายความว่าถึงขั้นรังเกียจเลยหรือไม่ ผมรู้หรอกว่ามันน่าเบื่อ แต่คุณเกลียดมากมั้ยล่ะ”
“เอ่อ ฉันไม่ถึงกับเกลียดชังโรงเรียนหรอก เธอจะต้อง__”
“ผมนี่เกลียดเข้าไส้เลย ไอ้หนูเอ๋ย เกลียดจนไม่รู้จะเกลียดยังไงแล้ว” ผมบอกเธอ
“แต่มันไม่แค่นั้น ทุกอย่างเลยล่ะ ผมเกลียดการอยู่ที่นิวยอร์ก รถแท็กซี่ รถบัสที่ถนนเมดิสัน พวกโชเฟอร์ที่ชอบตะโกนโหวกเหวกใส่คุณให้ลงทางประตูท้าย และแนะนำกับพวกจอมปลอมที่เรียกว่าเทวดา เดอะ ลันท์ส และการขึ้นลงลิฟต์ทุกครั้ืงที่จะออกไปไหน ผู้ชายส่วนใหญ่สวมกางเกงรัดรูปตลอดเวลาที่บรู๊คส์และผู้คนมักจะ__”
“อย่าเสียงดังสิ ขอร้องเถอะ” แซลลี่วอน ดูน่าตลกเหลือเกินเพราะผมไม่ได้ส่งเสียงเอะอะโวยวายเลย
“หารถเถอะ” ผมบอกเธอเบา ๆ
“เหมือนคนทั่วๆไป เอาแต่สนใจเรื่องรถ พวกเขากังวลแต่ว่าจะมีรอยขูดขีด แถมมักคุยกันแต่เรื่องซดน้ำมันมากน้อยแค่ไหนหนึ่งแกลลอนวิ่งไปได้กี่ไมล์ ยิ่งพวกที่ถอยรถออกมาใหม่ล่ะก้อ พวกนี้ก็จะคิดหาทางขายไปเพื่อไปออกรถรุ่นใหม่กว่า ตัวผมก็ไม่ชอบรถเก่าหรอก มันไม่เตะตาเอาเลย แต่ผมอยากจะขี่ม้ามากกว่า อย่างน้อยม้ามันมีชีวิตจิตใจ ให้ตายเถอะ คุณสามารถจะขี่ม้า__”
“นี่เธอกำลังพร่ำเพ้ออะไรอีกล่ะ” แซลลี่พูด “เธอเปลี่ยนจากเรื่องนี้__”
“คุณก็รู้ดีนี่” ผมบอก
“บางทีอาจเป็นตัวคุณที่เป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ผมอยากอยู่ในนิวยอร์ก ถ้าคุณไม่อยู่ผมก็อาจจะไปที่ไหนสักแห่งก็เป็นได้ ในป่าหรือที่ไหนก็ได้ คุณเป็นเหตุผลเดียวที่ผมอยู่ที่นี่ล่ะ”
“เธอน่ารักจัง” แซลลี่พูด แต่บอกได้เลยว่าเธอต้องการให้ผมเปลี่ยนเรื่องคุยมากกว่า
“คุณน่าจะไปโรงเรียนชายดูบ้าง ลองดูสักครั้งก็ได้” ผมบอก
“มันเต็มไปด้วยพวกปลิ้นปล้อน สิ่งที่คุณทำได้คือตั้งใจเล่าเรียนคุณจะสามารถเรียนรู้จนฉลาดพอที่จะออกไปหาเงินซื้อรถเก๋งคาดิลแลคหรู ๆได้สักคัน แล้วคุณต้องเสแสร้งทำเป็นรู้สึกเสียใจเป็นบ้าถ้าทีมฟุตบอลของโรงเรียนพบกับความพ่ายแพ้ สิ่งที่คุณทำในโรงเรียนก็เพียงแค่คุยเรื่องผู้หญิง เหล้า เซ็กซ์
ตลอดทั้งวัน ทุกๆ คนจะมารวมกันฟังเรื่องทะลึ่งสัปดนแบบนี้ พวกทีมบาสเกตบอลรวมกันเป็นกลุ่ม พวกคาทอลิกก็รวมกัน พวกอัจฉริยะเด็กเรียนก็รวมตัวเป็นกลุ่มกัน พวกชอบเล่นบริดจ์ก็จับกลุ่มกัน แม้กระทั่งพวกผู้ชายที่เป็นสมาชิกชมรมหนังสือรายเดือน ก็ยังรวมกลุ่มกัน ถ้าคุณลองมีความฉลาดสักเล็กน้อยก็__”
“เอาล่ะ ฟังนะ” แซลลี่ขัดขึ้น
“มีเด็กผู้ชายตั้งเยอะแยะที่โดนไล่ออกจากโรงเรียนมากกว่านั้นอีก”
“ผมเห็นด้วย ผมเห็นด้วย กับบางคนทั้งหมด แต่ผมก็ออกมาดูสิ นั่นล่ะประเด็นหลัก นั่นล่ะจุดหลักของผม” ผมสาธยาย “ผมแยกอะไรออกจากบางอย่างไม่ได้ ผมเป็นคนที่แย่ อยู่ในสถานที่ย่ำแย่ยังไงล่ะ”
“ใช่เลย เธอเป็นคนแบบนั้น”
ในทันใดผมคิดแวบขึ้นมาได้
“เอ้อ” ผมพูด
“ผมคิดได้แล้ว อยากไปจากที่นี่กันมั้ย ผมรู้แล้ว ผมรู้จักไอ้หมอนี่ที่ย่านกรีนวิช วิลเลจ เราไปยืมรถมันสักสองสามสัปดาห์ มันเคยเรียนโรงเรียนเดียวกับผม แถมยังติดหนี้ผมสิบเหรียญด้วย สิ่งที่เราจะทำคือพรุ่งนี้ตอนเช้า เราก็ขับรถมุ่งหน้าไปแมสซาชูเสทท์ส และ เวอร์มอนท์ แล้วก็แถว ๆ นั้นใช่มั้ย ทิวทัศน์สวยงามมากเป็นอย่างนั้นจริง ๆ”
ผมชักตื่นเต้นใหญ่เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ราวกับว่าเดินทางไปถึงแล้วและเดินจูงมือแซลลี่ โคตรงี่เง่าเลย
“ไม่ได้พูดเล่น ๆ นะ” ผมพูดอีก
“ผมมีร้อยแปดสิบเหรียญในธนาคาร ถอนเช้าพรุ่งนี้เลยทันทีที่ธนาคารเปิด แล้วเราก็ไปยืมรถเจ้าหมอนี่ไม่ได้พูดเล่นนะ เราก็อาศัยตั้งแคมป์พักตามที่พักหรืออะไรจนกว่าเงินจะหมด พอหมดเงินแล้วผมก็จะหางานทำที่ไหนก็ได้ เราไปหาที่อยู่ที่ไหนสักแห่งที่มีลำธารใกล้ๆ จากนั้นก็อาจจะแต่งงานกัน ผมก็จะเข้าป่าไปตัดฟืนในฤดูหนาว สาบานด้วยเกียรติเราจะต้องมีความสุขอย่างมากมายเลยทีเดียว ว่าไง ใช่มั้ย ว่าไงล่ะ เราไปด้วยกันนะ”
“เธอจะทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก” แซลลี่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังสุด ๆ
“ทำไมจะทำไม่ได้ล่ะ ทำไมล่ะหือ”
“หยุดตวาดเสียงดังใส่ฉันนะ ขอร้องเถอะ”
เธอเว้าวอน โกหกจัง ผมไม่ได้ส่งเสียงตวาดใส่เธอเลยสักหน่อย
“ทำไมถึงทำไม่ได้ ทำไมล่ะ”
“เพราะทำไม่ได้น่ะสิ ก็เท่านั้นเอง สิ่งแรกคือเราทั้งคู่ยังเด็กอยู่แล้วเธอไม่คิดเลยหรือถ้าเธอหางานไม่ได้ตอนที่ถังแตกจะทำยังไงกันล่ะหือ เราก็จะอดตายน่ะสิ ทั้งหมดที่พูดเป็นเรื่องเพ้อฝันเลื่อนลอย ไม่ได้แม้แต่__”
“ไม่เลย ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ไม่มีสถานที่มากมายที่น่าไปทั้งหมดหรอก มันคนละเรื่องเลย” ผมบอกเธอ ผมรับรู้ถึงแรงกดดันในใจอย่างหนักหน่วงอีกแล้ว
“อะไรนะ”เธอพูด “ฉันไม่ได้ยินเธอ ตะกี้ก็ตวาดใส่ฉัน ต่อมาก็__”
“ผมบอกว่าไม่ยังไงล่ะ มันมีสถานที่สุดวิเศษที่จะไปหลังจากที่เราเรียนจบวิทยาลัยหรอก เปิดตามองโลกบ้างสิ มันแตกต่างกันสิ้นเชิงเลยล่ะ เราน่าจะหิ้วกระเป๋าเดินทางลงไปข้างล่างแล้วโทรไปบอกลาทุก ๆ คน พร้อมกับฝากว่าจะส่งโปสการ์ดจากโรงแรมไปให้พวกเขา
ผมก็จะหางานทำที่ออฟฟิศที่ไหนสักแห่งหนึ่งที่พอจะทำเงินได้มาก นั่งแท็กซี่หรือรถบัสสายเมดิสันไปทำงาน นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ เล่นไพ่บริดจ์ยามว่าง ไปดูหนังดูละครที่งี่เง่า หรือหาหนังที่น่าดูหรือหนังข่าวอะไรแบบนั้น
โธ่เอ๋ย มีแต่ข่าวแข่งม้า ข่าวพิธีปล่อยเรือเดินสมุทรลำมหึมา ภาพข่าวลิงชิมแปนซีขึ่จักรยานจนเหนื่อยลิ้นห้อย มันไม่มีทางเหมือนเดิมเลยทีเดียว คุณไม่รู้หรอกว่าผมหมายความว่ายังไง”
“อาจจะเป็นเพราะฉันไม่เข้าใจก็ได้ หรืออาจจะเป็นเธอก็ได้” แซลลี่เอ่ย
ตอนนั้นท่าทางของเราคงจะน่าเบื่อหน่ายชังหน้ากันและกัน คุณก็รู้แล้วนี่ไม่มีคำพูดคำใดเลยที่ฟังดูเข้าที ผมเสียใจมากที่เป็นคนเริ่มต้นเสียเอง
“เถอะน่า ไปกันเถอะ” ผมชวนเธออีก
“คุณทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดใจรู้หรือเปล่า”
ไอ้หนูเอ๋ย เธอโกรธอย่างมหันต์ ที่ผมใช้คำนั้น ผมรู้ดีว่าไม่น่าจะพูดแบบนั้น แม้ผมจะทำเหมือนคนทั่วไป แต่เธอก็ทำให้ผมหายกดดันได้ดีที่สุด โดยปกติผมก็ไม่เคยใช้คำหยาบคายกับสาวๆหรอก ไอ้หนูเอ๋ย เธอหน้าบึ้งตึง ผมขอโทษไม่หยุด
แต่เธอก็ไม่ยอมรับคำขอโทษ แถมมีทีท่าจะร้องไห้อีก
ทำให้ผมหวั่น ๆ ไม่น้อยเพราะผมเกรงว่าเธอจะกลับบ้านไปเล่าให้พ่อเธอฟังที่กล่าวหาว่าเธอเป็นตัวแสบ พ่อเธอตัวโตเคร่งขรึมดูร้ายไม่เบา แล้วเขาก็ไม่ได้ปลื้มอะไรกับผมนัก เขาเคยบอกแซลลี่ด้วยว่าผมเป็นพวกเอะอะโวยวายมากเกินไป
“ไม่ได้ล้อเล่นนะ ผมเสียใจ” ผมพยายามจะคุยปลอบเธอ
“เธอเสียใจ เสียใจ มันน่าขันจัง”
เธอพูดพร้อมทำท่าสะอึกสะอื้น ทำให้ผมเกิดสำนึกเสียใจขึ้นในทันที
“เอาน่า ผมจะพาคุณกลับบ้านก็ได้จริง ๆ นะ”
“ฉ้นกลับเองของฉันได้ ขอบใจ ถ้าเธอคิดว่าฉันจะให้เธอพาไปส่งบ้าน ก็บ้าแล้ว ไม่มีผู้ชายคนไหนพูดอย่างนั้นกับฉันเลยสักคนในชีวิต”
เรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องน่าขัน ถ้าคุณย้อนนึกถึงมัน แล้วทันใดผมก็ทำบางอย่างที่ผมไม่น่าจะทำ ผมหัวเราะลั่นเสียงดังมากๆ ฟังงี่เง่าชะมัด
ผมหมายถึงหากผมนั่งอยู่ข้างหลังตัวเองในโรงหนังหรืออะไร ผมอาจจะชะโงกหน้าไปหาตัวเองแล้วบอกว่า ขอร้องเถอะอย่าคุยกันได้มั้ย เรื่องนี้ยิ่งทำให้แซลลี่โกรธมากยิ่งขึ้น
ผมเตร่อยู่สักพักพยายามขอโทษและขอร้องให้เธอยกโทษให้แต่เธอไม่ทำอย่างนั้น เธอพร่ำบอกให้ผมไปให้ไกล ๆ ปล่อยเธอไว้ตามลำพัง ในที่สุดผมก็ยอมตาม ผมเข้าไปข้างในโดยไม่มีเธอ ผมไม่ควรทำอย่างนั้น แต่ตอนนั้นผมคงขี้ขลาดเอามาก ๆ
ถ้าอยากรู้ความจริง ผมไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าทำไมผมเริ่มทำเรื่องยุ่งๆกับเธอได้ หมายถึงพากันไปที่ไหนสักแห่ง ไปแมสซาชูเสทส์และเวอร์มอนท์ ผมน่าจะทำไม่สนใจจะพาเธอไปแม้ว่าเธออยากจะไปกับผม เธอเป็นคนที่จะไม่ไปกับใครหน้าไหนทั้งสิ้น
ที่แย่ก็คือผมหมายความอย่างนั้นจริง ๆ ที่ชวนเธอ เป็นเรื่องแย่มาก ๆ สาบานได้ ผมมันก็คนบ้าๆคนหนึ่ง.