คดีแรก รวบ 2 จีน สวมตัวเป็นแคนาดา คา Gate พร้อมหนังสือเดินทางปลอมสตม. เคส2 จับหนุ่มปากีสถาน อัปโหลดภาพเปลือยสาว หลังมีความสัมพันธ์ลงแอปพลิเคชันสตม. คดีที่3รวบ นายหน้าขนต่างด้าวหลบหนีหมายจับนาน 5 ปี ส่งไทย-พม่า พร้อมลักทรัพย์นายจ้างกว่า2แสน ตม. ยัน แก๊งไต้หวัน บินตรงมา ฆ่าเพื่อนร่วมชาติในไทยก่อนเผ่นหนี เชื่อพวกที่เหลือได้ตัวเร็วๆ นี้
วันที่ 29 ก.พ.67 ณ ห้องสวนพลู (ห้องแถลงข่าว) ชั้น 2 สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. กก.สส.ปป.บก.ตม.2 และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
ร่วมแถลงข่าวคดีแรก2หนุ่มจีนใช้พาสปอร์ตเก๊จะไปแคนาดา จับกุมนายเจียนโบ(นามสมมติ) อายุ 48 ปี และ นายพินหัว (นามสมมติ) อายุ 49 ปี ทั้งคู่เป็นชายจีน ในความผิดฐาน “มีหรือมีไว้เพื่อใช้ซึ่งหนังสือเดินทางปลอมๆ” คา Gate พร้อมหนังสือเดินทางปลอม จับได้ภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ต.หนองปรือ อ.บางพลี จว.สมุทรปราการ
หลังได้รับการประสานจากสายการบิน EVA Air พบชาวจีน 2 คน นำหนังสือเดินทางแคนาดา มาแสดงต่อพนักงานสายการบินเพื่อจะไปเมืองไทเป ไต้หวัน แล้วเปลี่ยนเครื่องไปเมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา แต่ไม่พบประวัติการเดินทางออกมาจากประเทศแคนาดามาก่อน และไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ตรวจสอบหนังสือเดินทางแคนาดาพบว่าปลอม
ตรวจค้นกระเป๋าสัมภาระพบหนังสือเดินทางจีนที่บุคคลทั้งสองนำติดตัวมาใช้เดินทางออกจากเมืองโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา มาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีแผนการเดินทางคือจะใช้หนังสือเดินทางแคนาดาปลอมที่ได้ซื้อมาจากเอเย่นต์ในเมืองโคลัมโบ เพื่อขึ้นเครื่องไปเมืองไทเป ไต้หวัน จุดหมายปลายทางเพื่อลักลอบเข้าเมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา
จากการประสานงานตรวจสอบสถานภาพพลเมืองของทั้งสองคนกับสอท.แคนาดา ประจำประเทศไทย รับแจ้งว่า ข้อมูลที่ปรากฏในหนังสือเดินทางแคนาดาของทั้งสองคน ไม่ตรงกับฐานข้อมูลของทางการแคนาดา จับกุมนำตัวส่ง กก.สส.บก.ตม.3 ดำเนินการตามกฎหมาย
คดีที่2 รวบหนุ่มปากีสถาน อัปภาพเปลือยสาว หลังมีความสัมพันธ์ลงแอปพลิเคชัน หลัง บก.สส.สตม. ได้รับการร้องขอความช่วยเหลือจากหญิงไทยรายหนึ่งว่าได้ถูกอดีตสามีซึ่งเป็นชาวปากีสถานแอบถ่ายภาพโป้เปลือยกายของตนแล้วนำไปโพสต์ลงบน Facebook และ Instagram จนได้รับความอับอายและเสียหาย
สั่งการให้ กก.4 บก.สส.สตม.สืบสวนจนทราบว่าชาวปากีสถานดังกล่าวคือ นายชาบาส (นามสมมติ) อายุ 32 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ 835/2566 ลงวันที่ 12 กันยายน 2566 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้โดยนายชาบาสได้หลบซ่อนตัวอยู่ในห้องพักแห่งหนึ่งย่านรามคำแหง จึงตามไปจับกุม
ชั้นจับกุมให้การว่าได้สร้างเฟซบุ๊กอวตาร (เฟซบุ๊กปลอม) และอินสตาแกรมอวตาร (ปลอม) โดยนำภาพถ่ายโป๊เปลือยกายของอดีตภรรยาที่ได้แอบถ่ายไว้ไปโพสต์ลงบนโซเชียลจริง
คดีที่ 3 กก.4 บก.สส.สตม.จับกุม นายอ่อง (นามสมมติ) อายุ 33 ปี ชาวเมียนมา ตามหมายจับลงวันที่ 22 พ.ย.64 ฐาน “ร่วมกัน ช่วยเหลือ ช่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ ให้คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของ เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตามพระราชบัญญัติควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ.2558”
หลังขยายผลกรณีเมื่อเช้ามืดวันที่ 27 ต.ค 64 เจ้าหน้าที่จับกุมผู้ขับขี่รถพยาบาล 2 ราย กล่าวหาว่า “ร่วมกันช่วยเหลือ ซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใดๆ ให้คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม, และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ.2558”
พร้อมจับกุมตัวแรงงานชาวเมียนมา 10 คน กล่าวหาว่า“ เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ.2558″
จากการสอบถามผู้ขับขี่ ให้การรับสารภาพว่าเมื่อวันที่ 26 ต.ค 64 ได้รับจ้างขนแรงงานชาวเมียนมาให้กับนายอ่อง โดยได้ขับรถไปรับนายอ่องในพื้นที่กรุงเทพฯ เพื่อไปรับแรงงานต่างด้าวในจ.ระนอง บริเวณปากซอยก่อนถึงโรงแรมแห่งหนึ่ง ประมาณ 100 เมตร และได้ร่วมเดินทางกลับพร้อมแรงงานต่างด้าว เมื่อมาถึงสี่แยกไฟแดง อ.กระบุรี จว.ระนอง นายอ่องขอลงรถอ้างว่าจะกลับไปบ้านที่ย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา และได้หลบหนีกระทั่งถูกจับกุม
สอบสวนรับสารภาพ ว่าในช่วงที่ประเทศไทยมีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้ทำหน้าที่เป็นนายหน้าในการนำแรงงานชาวเมียนมาเข้ามายังประเทศไทย ผ่านชายแดนจังหวัดระนอง และจัดหารถตู้วิ่งรับและนำแรงงานชาวเมียนมาเข้ามาในพื้นที่จังหวัดสมุทรสารและกรุงเทพฯ ได้ค่าจ้าง ประมาณ 10,000 บาท/คน รายได้ค่อนข้างดีจึงได้เป็นนายหน้าในการหาคนเข้ามาทำงานเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
นอกจากนี้ บก.สส.สตม. ได้ตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่านายอ่องได้ก่อเหตุลักทรัพย์นายจ้าง เหตุเกิดในพื้นที่สน.ทุ่งมหาเมฆ ไปหลายครั้ง ความเสียหายกว่า 2 แสนบาท จึงได้ประสาน สน.ทุ่งมหาเมฆ เพื่อทำการอายัดตัว ผู้ต้องหารายดังกล่าวต่อไป
พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รองผบช.สตม. ยังกล่าวถึงกรณีคนร้ายชาวไต้หวันฆ่าเพื่อนร่วมชาติแล้วนำศพไปทิ้งไว้ในร้านค้าร้างริมถนนสุวรรณภูมิสาย 4 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ก่อนหนีออกไปทางด่านอรัญประเทศ
ต่อมาตำรวจติดตามตัวหญิงไทย 1 ใน 5 ผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดี ส่วนพวกร่วมแก๊งอีก 4 คน ทาง ตม.ได้ส่งทีม ตม.3 ไปร่วมสืบสวน จนรู้ตัวผู้ต้องหาเป็นใคร ผู้ต้องหา 2 คนแรก คือผู้หญิงไทย ที่ตำรวจภูธรภาค 1 แถลงข่าวไปแล้ว และคนที่ 2 คือ เพื่อนชายชาวไต้หวัน ถูกควบคุมตัวที่ประเทศไต้หวัน และจะมีการส่งตัวกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย
ส่วนอีก 3 คนที่เหลือทาง ตม.มีฐานข้อมูล พบว่าทั้งชาวไต้หวัน 3 คน หลบหนีอยู่ในกัมพูชา อยู่ระหว่างการดำเนินการแกะรอย ติดตามตัว เชื่อว่าจะได้ตัวเร็วๆนี้ ส่วนเหตุที่ตำรวจจับได้เพียงแก๊งผู้ก่อเหตุได้แค่ 2 คน เนื่องจาก ช่วงที่ออกไปกัมพูชา ต่างแยกย้ายกันหลบหนี จึงทำให้จับกุมผู้ต้องหาได้เพียงแค่ 2 คน
สำหรับเส้นทางการเดินทางเข้าไทย พบว่า คนร้าย 3 คน เข้ามาทางสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นการเดินทางครั้งแรกไม่มีประวัติในการเดินทางมาก่อน ส่วนอีก 1 คน ไม่พบประวัติเข้าออกไทย เชื่อว่าหลบหนีเข้ามาทางช่องทางธรรมชาติ
ทั้งนี้จากการสอบสวน พบไทม์ไลน์ว่า กลุ่มผู้ต้องหาเดินทางเข้าประเทศไทย ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ต้้งแต่ตี 1 ของวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2567 เชื่อว่ามีการก่อเหตุฆาตกรรมในเวลาตี 3-4 ต่อมาได้พบศพในเวลา 7 โมงเช้า จากนั้นได้มีบันทึกภาพวงจรปิดคนร้ายที่ด่านอรัญประเทศ เพื่อเดินทางออกไปยังกัมพูชาในเวลา 13.00 น. รวมเวลาอยู่ในไทย 12 ชั่วโมง โดยไม่มีการแวะพักที่ใด ซึ่งเชื่อว่า การเดินทางมาครั้งนี้เพื่อจงใจก่อเหตุฆาตกรรม