หนี 19 ปี สืบนครบาลแกะรอยรวบ ”มีชัย“ผู้ต้องหาข่มขืนตามบัญชีประกาศสืบจับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปี 2566 ลำดับ 122
ตามนโยบาย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. , พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ให้ปราบปรามกลุ่มเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมที่กระทำความผิดทุกรูปแบบโดย ชุดลาดตระเวนออนไลน์สืบนครบาลได้ตรวจสอบพบ มีชัยผู้ต้องหาข่มขืนตามบัญชีประกาศสืบจับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปี 2566 ลำดับ 122 หลบหนีคดีมา 19 ปี พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส. บช.น. จึงจัดชุดสืบสวนมือดีไล่ล่าจับกลุ่มเนื่องจากเกรงว่าจะไปก่อเหตุกับผู้เสียหายรายอื่นเพิ่มเติม
วันที่ 10 มีนาคม 2567 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ,พ.ต.อ.อิสเรศ ปาลาพงศ์, พ.ต.อ.นิวัฒน์ พึ่งอุทัยศรี รอง ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.อรรชวศิษฏ์ ศรีบุณยมานนทน์ ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.วิโรฒ จนุบุษย์, พ.ต.ท.นิธิ ปิยะพันธุ์ รอง ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น. ได้สั่งการให้ พ.ต.ต.วรุตม์ คำหล้า สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น. ,ร.ต.อ.พิชชากร กองสวัสดิ์, ร.ต.อ.พงศธร อารีย์ , เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.3 บก.สส.บช.น.
ร่วมกันจับกุมนายมีชัย อายุ 43 ปี ที่อยู่ ชาวจ.กำแพงเพชรตามหมายจับศาลกำแพงเพชร ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2548 ต้องหาว่ากระทำความผิดตาม “ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราหญิงซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยหญิงนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง”
พฤติการณ์กระทำความผิดคือ เมื่อเดือนสิงหาคม 2547 ผู้ต้องหาพวกร่วมกันมอมเหล้าผู้เสียหาย จากนั้นได้พาไปข่มขืนกระทำชำเราที่ห้องพักของเพื่อน ใน อ.เมืองกำแพงเพชรต่อมา ผู้ต้องหาทราบว่าตัวเองถูกออกหมายจับ จึงหลบหนีออกจาก จ.กำแพงเพชร ตะเวนหลบหนีไปตามจังหวัดต่าง ๆ โดยจะไม่ทำบัตรประชาชนใหม่ ไม่ทำเอกสารราชการใดๆไม่ใช้บัญชีธนาคารตัวเอง เพื่อป้องกันการสืบสวนติดตามของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยทำบัตรประชาชนครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ.2545 กระทั่งทำงานก่อสร้างอยู่กับนายจ้าง ที่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ และไปอยู่ไซต์งานก่อสร้างที่ เขตบางบอน กรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่ตำรวจรู้เบาะแสเข้าจับกุมในที่สุด
ตรวจสอบประวัติผู้ต้องหาพบว่ามีประวัติ 1 รายการ ตรงกับรายละเอียดในคดีนี้ เมื่อได้ซักถาม ผู้ต้องหาพยายามบ่ายเบี่ยงและปฏิเสธว่าไม่ได้บังคับข่มขืนใจผู้เสียหาย อ้างว่าก่อนเกิดเหตุผู้ต้องหาทำอาชีพรับจ้างทั่วไป เมื่อ 19 ปี ที่แล้ว ได้ไปจีบผู้เสียหายในผับแห่งหนึ่งที่ จ.กำแพงเพชร เมื่อผับปิดในวันดังกล่าว ก็ชวนกันไปดื่มต่อ อ้างว่าผู้เสียหายยินยอมที่จะมีเพศสัมพันธ์ด้วย ได้พาไปที่ห้องพักของเพื่อนผู้ต้องหาพร้อมกับเพื่อนของผู้ต้องหาอีกหลายคน จากนั้นได้กระทำชำเราผู้เสียหาย
เมื่อผู้ต้องหาทราบว่าผู้เสียหายได้ไปแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับตน จึงได้หลบหนีออกจากบ้านที่ จ.กำแพงเพชร มาใช้ชีวิตในกรุงเทพมหานครและ จ.สมุทรปราการ ทำอาชีพเป็นช่างก่อสร้างกับเพื่อนที่รู้จักเพื่อนำเงินมาเลี้ยงชีพในระหว่างหลบหนี
สอบถามผู้เสียหาย แจ้งว่าถูกผู้ต้องหากับพวกหลายคนมอมเหล้าจนไม่ได้สติ จากนั้นกลุ่มผู้ต้องหาได้พาผู้เสียหายไปที่ห้องพักเพื่อนผู้ต้องหาและได้ข่มขืนผู้เสียหายโดยไม่ได้ยินยอมแต่อย่างใด ทราบจากเจ้าของห้องพักดังกล่าวแจ้งว่ากลุ่มผู้เสียหายเคยพาหญิงอื่นมากระทำลักษณะดังกล่าวแล้วหลายครั้ง ผู้เสียหายจึงไปแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาจนกว่าจะถึงที่สุดผู้ต้องหารับแต่โดยดีว่าตนเองคือบุคคลตามหมายจับ แต่ยังให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ข่มขืน ตามข้อกล่าวหาในหมายจับ
พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. เปิดเผยว่า เตือนภัยสุภาพสตรีที่ชอบเที่ยวกลางคืนต้องระมัดระวังบุคคลแปลกหน้าโดยการดื่มเครื่องดื่มมึนเมา จากบุคคลที่ไม่ รู้จัก อาจเกิดเหตุร้าย โดยตามนโยบายของ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ให้สืบสวนติดตามคนร้ายที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน ไม่ว่าคดีจะผ่านมานานเท่าใด ตราบใดที่หมายจับยังไม่ขาดอายุความ สืบนครบาลไม่เคยนิ่งนอนใจ จะติดตามจับกุม ผู้ต้องหามาดำเนินคดีอย่างสุดความสามารถ