ย้อนคดีดัง
“เปรี้ยว” สวยสยอง
ฆาตกรหั่นศพใต้หน้ากากโฉมงาม
ตัวร้ายในหนังไทยมักถูกรับบทโดยคนที่มีหน้าตาเหี้ยมโหดเพื่อง่ายต่อการสื่อสารถึงผู้ชมจนกลายเป็นค่านิยมให้สังคมมองคนแค่เปลือกนอก
เมื่อในชีวิตจริงคดี “เปรี้ยว หั่นศพ” ฆาตกรสาวเลือดเย็นเป็นคนรูปโฉมสวยงาม กระแสคนไทยจึงพุ่งความสนใจกับข่าวนี้มากเป็นพิเศษ
ไม่ใช่แค่การลงมือสังหารหรือการปิดบัง-อำพราง-หลบหนี ซึ่งทุกขั้นตอนล้วนผ่านการวางแผนซับซ้อน
แต่ยังพบอีกว่ามูลเหตุจูงใจในการฆ่าของเธอกลับชำแหละสังคมไทยได้ชัดเจนไม่แพ้กัน
25 พ.ค. 2560 ชาวบ้านพบศพหญิงสาวถูกฆ่าหั่น 2 ท่อนแยกฝังดินในพื้นที่ อ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น
ตำรวจทราบในเวลาต่อมาว่าผู้ตายคือ น.ส.วาริสรา กลิ่นจุ้ย หรือ “แอ๋ม” อายุ 23 ปี ทำงานที่ร้านคาราโอเกะแห่งหนึ่ง
เมื่อตรวจจากกล้องวงจรปิด พบผู้ตายกดเงินออกจากบัญชีและอยู่กับสาวทอมชื่อ “น้ำฝน” ซึ่งรู้จักกันประมาณ 1 สัปดาห์ผ่านทางเฟซบุ๊กก่อนนัดพบกันมาแล้วประมาณ 3-4 ครั้ง
หลังทราบว่าผู้ตายเป็นใคร ได้มีการสอบปากคำคนใกล้ชิดที่เป็นสาวทอมอีก 1 คนที่เคยคบหากับผู้ตายและอดีตสามี
เบื้องต้นตำรวจตั้งปมสังหารขัดแย้งเรื่องส่วนตัว ชู้สาว รวมทั้งฆ่าชิงทรัพย์
แม้ว่าตำรวจออกมาระบุว่าจากการสอบปากคำทั้ง 3 คนไม่พบพิรุธหรือสิ่งผิดปกติใดๆ
แต่ในทางลับตำรวจสอบปากคำ “ผู้หญิงคนหนึ่ง” และข้อมูลของเธอกลายเป็นกุญแจสำคัญให้ศาลจังหวัดขอนแก่นอนุมัติออกหมายจับ 4 ผู้ต้องหาในเช้าวันที่ 29 พ.ค.
ข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และปิดบังซ่อนเร้นทำลายศพ
ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 4 ได้แก่ นายวศิน อายุ 22 ปี , น.ส.จิดารัตน์อายุ 21 ปี , น.ส.ปรียานุช อายุ 24 ปี และ น.ส.กวิตา อายุ 25 ปี จากการออกข่าวกดดันทำให้ช่วงเย็นของวันที่ 29 พ.ค.
นายวศิน 1 ในผู้ต้องหา ติดต่อขอเข้ามอบตัวกับตำรวจ ที่กองบังคับการตำรวจภูธร จ.อุดรธานี ในวันรุ่งขึ้น แต่เมื่อถึงเวลานัดหมาย นายวศินไม่มาตามที่แจ้ง
กองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 4 แกะรอยแล้วเข้าจับกุม นายวศิน ทันทีในวันนั้นที่เกสต์เฮาส์แห่งหนึ่ง ในแขวงนครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว
ก่อนที่นายวศินจะเปิดปากรับสารภาพรู้เห็นกับการฆาตกรรม โดยโยงไปถึง น.ส.ปรียานุช โนนวังชัย หรือ “เปรี้ยว” ว่าเป็นผู้ลงมือฆ่าและทำลายศพ
เริ่มจากเปรี้ยว เช่ารถซีอาร์วีให้นายวศินขับ ก่อนลักพาตัวแอ๋มไปยัง อ.เขาสวนกวาง ระหว่างทางเปรี้ยวได้ใช้ถุงพลาสติกคลุมหัวแอ๋มแล้วซ้อม
แอ๋มพูดว่า “ซ้อมเลย ถ้ารอดไปได้จะมาเอาคืน” นั่นจึงเป็นเหตุให้เปรี้ยวลงมือซ้อมและบีบคอแอ๋มจนขาดใจตายบนรถ
ระหว่างทางเปรี้ยวยังได้ซื้อ เลื่อย ใบมีด ถุงพลาสติก ปูนซีเมนต์ และเสียม ตามร้านขายวัสดุก่อสร้าง ก่อนขับรถไปยังรีสอร์ทในพื้นที่บ้านโนนทัน อ.เมือง จ.ขอนแก่น แล้วลงมือหั่นศพเอง
สาเหตุมาจากเปรี้ยวมีความแค้นส่วนตัวกับผู้ตายมาก่อน โดยเปรี้ยวอ้างว่าแอ๋มเป็นสายชี้เป้ากับตำรวจให้จับกุมแฟนของเปรี้ยวในคดียาเสพติด เมื่อมีโอกาสจึงต้องแก้แค้น
ตรงกับข้อมูลของตัวละครลับที่ตำรวจสอบปากคำ “ผู้หญิงคนหนึ่ง” โดยต่อมาตำรวจเปิดเผยว่าผู้หญิงคนนั้นคือ “พี่สาวของเปรี้ยว” ที่เปิดเผยว่าน้องสาวเป็นผู้ลงมือฆ่าแอ๋มด้วยตนเอง
หลังจากทั้งสองคนพูดคุยกันผ่านโปรแกรมแชท เธอยืนยันว่าเปรี้ยวบอกกับเธอเองว่าพลั้งมือฆ่าแอ๋มเพราะแค้นเรื่องยาเสพติด
“เปรี้ยวเคยมีสามีมาแล้ว 1 คน มีลูกชายที่ปัจจุบันอายุ 8 ขวบ แต่สุดท้ายเปรี้ยวกับสามีก็แยกทางกันก่อน ซึ่งสามีเก่าได้รับลูกชายไปดูแลเลี้ยงดูใน จ.ชลบุรี โดยเปรี้ยวจะส่งเงินไปให้ตลอด
ต่อมาเปรี้ยวได้มาเจอกับ “ฟร้อน” แฟนใหม่และแต่งงานกันในเดือน พ.ย. 2558
แต่หลังจากแต่งงานได้เพียง 1 เดือน “ฟร้อน” ต้องมาถูกตำรวจจับกุมในคดียาเสพติด ทำให้ทั้งฟร้อนและเปรี้ยวแทบจะไม่ได้ใช้ชีวิตคู่กับสามีเลย จนอาจกลายเป็นชนวนแค้นครั้งนี้” พี่สาวของเปรี้ยวเผยและว่า
กลุ่มเพื่อนที่เคยเรียนกับเปรี้ยว เล่าว่าเพื่อนทุกคนจะทราบดีว่าเปรี้ยวมีฉายา “เปรี้ยวตลาดแตก”
เนื่องจากไม่เข้าเรียนและเป็นหัวโจกในการก่อเรื่องวิวาทกับเพื่อนต่างโรงเรียน ก่อนมีสามีคนแรกและมีลูกด้วยกัน 1 คน
แต่สุดท้ายก็ต้องแยกทางกันเพราะเปรี้ยวมีนิสัยโมโหร้าย เคยคว้ามีดไล่ฟันสามีจนต้องเลิกรากันไป
มาถึงตรงนี้จึงเข้าสู่ขั้นตอนการติดตามจับกุม เริ่มจากกล้องวงจรปิดด่านแม่สาย จ.เชียงราย ที่พบกับรถต้องสงสัยคันหนึ่ง
เมื่อตามแกะรอย ทราบว่ามีรถมารับผู้หญิง 3 คนเข้าไปทำงานที่ร้านอาหารในประเทศเมียนมา
เช่นเดียวกับที่ พ.ต.อ.พงศ์ฤทธิ์ คงศิริสมบัติ ผกก.3 บก.สส.ภ.4 (ขณะนั้น) ยอมรับว่า ผู้ต้องหาที่ร่วมกันก่อเหตุทั้งหมด มี 5 คน และ 3 คน ได้หลบหนีเข้าเมียนมาแล้ว
ค่ำของวันที่ 3 มิ.ย.ผู้สื่อข่าวบีบีซี ภาคภาษาพม่า รายงานโดยอ้างตำรวจเมียนมาว่า หญิงชาวไทย 3 คนซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยฆาตกรรมสาวคาราโอเกะถูกจับได้ในเมืองท่าขี้เหล็กซึ่งเป็นเมืองชายแดนของเมียนมาที่อยู่ติดกับประเทศไทย เมื่อเวลา 18.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น
ตำรวจเมียนมาได้ส่งมอบตัวผู้ต้องสงสัยทั้ง 3 คนให้แก่ทางการไทยแล้วเมื่อเวลา 21.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือตรงกับ 21.30 ตามเวลาในประเทศไทย
เมื่อมีการเผยแพร่ภาพของเปรี้ยวและผู้ต้องหาอีก 2 คน ทำให้ช่วงนี้หลายคนที่ได้ดูข่าวเห็นตัวจริงของฆาตกรฆ่าหั่นศพยอมรับว่าเธอมีหน้าตาที่สวย
นอกจากนี้ยังมีรอยสักกลางหลังที่เป็นเสน่ห์ จนหลายคนเรียกเธอว่า “น้องเปรี้ยวสวยหั่นศพ”
หลังจากถูกจับกุม เปรี้ยวยอมรับว่าเป็นผู้ลงมือฆ่าแอ๋ม หลังจากพลั้งมือจนแอ๋มเสียชัวิต ก็ได้ขับรถวนอยู่กับเพื่อนจนศพเริ่มแข็ง จึงมีความคิด 2 อย่าง คือ ถ่วงน้ำ กับหั่นศพ
แต่จะถ่วงน้ำก็กลัวศพโผล่ขึ้นมา ตัดสินใจหั่นศพแล้วเอาไปฝัง โดยเอาวิธีจากที่เคยดูภาพยนตร์ต่างประเทศ
แต่ในการหั่นศพนั้น มีวศินเป็นคนลงมือหั่นด้วย โดยใช้เลื่อยที่ซื้อมาหั่นศพช่วงกลางลำตัว พอถึงช่วงกระดูกสันหลังก็ใช้ปังตอสับจนขาด
ขณะที่เอิร์นกับแจ้ คอยช่วยทำความสะอาด และยกชิ้นส่วนศพขึ้นรถไปเอาไปฝังอำพราง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดข้ามชาติแต่อย่างใด
ส่วนสาเหตุที่ลงมือเนื่องจากมีปัญหาหนี้สินเก่าที่ยืมไปประมาณ 3-4 หมื่นบาท และคดียาเสพติดที่แอ๋มถูกตำรวจจับเมื่อปลายปี 2559 ต่อมาเจ้าหน้าที่ขยายผลถึงเธอ จนทำให้อดีตสามีถูกจับ
ผู้ต้องหาทั้งหมดถูกตั้ง 5 ข้อหา คือ ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันลอบฝังซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพ ร่วมกันลักทรัพย์ของผู้อื่น ร่วมกันหน่วงเหนี่ยว ทำให้ผู้อื่น ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และข้อหาร่วมกันพกพาอาวุธมีดไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดย ไม่มีเหตุอันควร
1 ปีต่อมา 10 พ.ค. 2561 ศาลจังหวัดขอนแก่น มีคำพิพากษาคดีร่วมกันก่อเหตุฆาตกรรม น.ส.วริศรา กลิ่นจุ้ย โดยพิพากษายกฟ้องในมาตรา 289 ตามประมวลกฎหมายอาญา ข้อหาร่วมกันฆ่าโดยไตร่ตรอง และพิจารณาตามมาตรา 288 ข้อหาร่วมกันฆ่าโดยเจตนา
ตัดสินจำคุกตลอดชีวิตน.ส.เปรี้ยวและน.ส.เอิน
แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์จึงพิจารณาลดโทษเหลือ 1 ใน 3 ให้จำคุก น.ส.ปรียานุช โนนวังชัย หรือเปรี้ยว และ น.ส.กวิตา ราชดา หรือเอิน คนละ 34 ปี 6 เดือน
น.ส.จิดารัตน์ พรมคุณ หรือเบนท์ จำคุก 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา,
นายวศิน นามพรม จำคุก 23 ปี 4 เดือน 20 วัน
และ น.ส.อภิวันทน์ สัตยบัณฑิต หรือแจ้ จำคุก 33 ปี 9 เดือน
รวมทั้งชดใช้ค่าเสียหายให้กับครอบครัวของแอ๋ม รวม 1,170,000 บาท โดยคิดเป็นอัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 7.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค.2560 ซึ่งเป็นวันก่อเหตุฆาตกรรม
นับว่าเป็นการปิดคดีฆาตกรผู้โด่งดังจากความงามที่ไม่เพียงหั่นศพเท่านั้น
แต่ยังชำแหละค่านิยมของคนไทยที่ตัดสินคนที่หน้าตาและการแต่งกาย จนหลายคนเผลอชื่นชมอาชญากรคดีอุกฉกรรจ์ด้วยซ้ำไป
ไม่เว้นแม้แต่ตำรวจ ที่เผลอไปเซลฟี่กับเปรี้ยวฆาตกรสาวสวย หลุดมาในโซเชี่ยลจนถูกสังคมถล่มถึงความเหมาะสมหรือไม่!!!!