มนุษย์แต่ละคนจะมีภาพจำ บุคลิกเอกลักษณ์เป็นตัวของตัวเอง มากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันเป็นลักษณะเฉพาะ
ทั้งรูปร่าง หน้าตา การแต่งกาย ไม่ได้เหมือนกันเลย หากสำรวจกวาดสายตาพินิจพิจารณาคร่าวๆ ยังพบจุดที่ไม่เหมือนใครได้อย่างชัดเจนจุดใดจุดหนึ่ง
ข้าพเจ้าขึ้นรถเมล์ครีมแดงสายหนึ่งช่วงเวลาจวนแปดโมงเช้า มักพบเจอชายวัยราวห้าสิบคนหนึ่ง แต่งกายสวมเสื้อแขนสั้นโปโลสีดำหม่น ทับด้วยเสื้อกั๊กสีดำ มีอักษรพิมพ์ตัวโตว่าPOL191นครบาล สภาพเก่าคร่ำคร่า สะพายกระเป๋าเป้ด้านหลัง มีสภาพผ่านการเย็บสอยปะด้วยด้ายสีดำสีขาวเต็มไปเกือบทั้งประเป๋าราวกับถักทอเลย
บางครั้งเห็นนั่งสัปหงก คงเป็นด้วยความอ่อนเปลี้ยจากงานเฝ้ายามเวรกลางคืนจนถึงรุ่งเช้าในสถานที่ใดที่หนึ่ง
ภาพจำในสมองเห็นชายคนนี้แบบเดิมเสมอมาทุกครั้งที่เจอบนรถเมล์ จุดหมายปลายทางที่เขาลงรถเมล์เป็นป้ายเดียวกับข้าพเจ้าลง จนมองปราดเดียวจะรู้ทันทีว่าใคร
เช่นเดียวกับชายอีกคนหนึ่งวัยราวสี่สิบปลาย ผมสีออกแดงๆ สวมเสื้อเชิ้ตลายตารางสีน้ำตาลอมเหลือง สะพายกระเป๋าเฉียง รองเท้ายางหุ้มส้นสีน้ำเงินขลิบเหลือง มักจะมายืนรอรถเมล์ป้ายเดียวกัน
ก็เป็นภาพจำของคนๆหนึ่ง คงเดินทางไปทำงานในห้างตรงสี่แยกใหญ่ก่อนถึงจุดหมายของข้าพเจ้า แล้วเลิกงานราวห้าโมงเย็น
นอกจากนี้ยังมีเด็กสาวในชุดนักเรียนมัธยมปลายสะอาดสะอ้าน เธอมายืนรอนั่งรถตู้โดยสารที่ป้ายเดียวกัน มักจะหยิบโทรศัพท์มือถือมาส่องจัดผมเผ้าก่อนไถหน้าจอมือถือตามประสาวัยรุ่นยุคนี้
เช่นเดียวกับหนุ่มนักเรียนอาชีวะผิวเข้มมารอรถเมล์ไปโรงเรียน ก็เหมือนกับคนทั่วไปต้องควักมือถือมาจิ้มไถดูอะไรไปเรื่อย
มีคราวหนึ่งพบเขามากับเพื่อนร่วมสถาบัน เขาบ่นหัวเสียที่รอรถเมล์นานมากกว่าครึ่งชั่วโมง
“มาเช้าแค่ไหนก็ถึงโรงเรียนสายทุกที อ้ายสัตว์เอ๊ย กว่าจะมาสักคันก็รอเป็นชั่วโมง เซ็งฉิบหาย”
จากเบื่อหน่ายอึดอัด ข้าพเจ้ายิ้มระริกในใจ หายเซ็งเพราะประโยคนั้น
ภาพของบุคคลแต่ละคนที่ผ่านมาในชีวิตช่วงหนึ่งๆมักตอกย้ำซ้ำซ้อนอย่างนี้เสมอจนเป็นความคุ้นเคยเหมือนพบเจอญาติสนิทมิตีสหาย เพียงแค่ไม่ได้เอ่ยปากทักทาย รู้จักชื่อเสียงเรียงนามเท่านั้นเอง
ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าขึ้นรถสองแถวจะไปต่อรถเมล์อีกทอดหนึ่งช่วงเย็น เป็นเวลาที่โรงเรียนเลิกพอดี คนในรถสองแถวนั่งเต็มเหลือพอห้อยโหนได้อีกคนสองคน
พอก้าวขึ้นรถแทรกเดินเข้าข้างใน มีเด็กหนุ่มนักเรียนอาชีวะลุกจากที่นั่งพยักหน้าเชิญให้ข้าพเจ้านั่ง พอจะปฏิเสธ เขาบอกทันทีว่าจะลงแล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่ปฏิเสธน้ำใจหย่อนนั่งลงทันที
เด็กหนุ่มคนนั้นยังไม่มีท่าทีจะลงตรงไหนเลย กระทั่งไปถึงสี่แยกใหญ่ที่คนส่วนใหญ่มักจะลงกันถึงได้เห็นเขาลงพร้อมกับข้าพเจ้าและคนอื่นๆเกือบหมดคัน
นี่คงเป็นความมีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อคนเฒ่าคนแก่ของเด็กหนุ่มคนนี้ที่จำต้องโกหกคนชราคนหนึ่ง
ในความขัดแย้งอย่างไร้แก่นสารในความสับสนของโลกปัจจุบัน ยังมีหยาดน้ำใจเล็กๆในซอกหลืบที่ใดสักแห่งสวยงามทรงค่าความหมายระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์
แม้ไม่ยิ่งใหญ่ควรค่ายกย่องประดุจวีรบุรุษสตรีในตำนานก็ตาม หากแต่ได้เพาะบ่มฝังใต้ดินให้รากฝอยดูดซึมสร้างเนื้อเยื่อเผ่าพันธุ์ที่ดีงามในวันข้างหน้าของโลกใบนี้
ย่อมดีกว่าเห็นผู้ใหญ่ผู้อาวุโสที่สร้างสมความแค้นผูกพยาบาทฟาดฟันกันทุกเมื่อเชื่อวันตั้งแต่ลืมตาตื่นจากฝันร้าย พฤติการณ์ของผู้ใหญ่ที่มักอ้างอาบน้ำร้อนมาก่อน
ไม่มีอะไรหรอก เพียงเพราะมันรู้ตัวดีว่าคิดไม่ทันคนรุ่นใหม่ก็เท่านั้นเอง มักยึดมั่นถือมั่น เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางกาแล็กซี่จักรวาล ไม่เคยยอมรับตัวเองว่าคิดผิดทำพลาดเลยสักครั้งเดียว
มีแต่กล่าวหาใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น คิดแต่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น เอาชนะคะคานตลอด จนทุกวันนี้ยังเต็มไปด้วยความวุ่นวายสับสนสงครามด้วยปากด้วยอาวุธ ไปกระทั่งไถเฟซฟาดฟันกันเป็นกิจวัตรทั้งที่ยังไม่ทันบีบหลอดยาสีฟันลงแปรงขัดเขี้ยวเลย
โทรศัพท์มือถือสำหรับถ่ายทอดสื่อสารกลับกลายเป็นแค่กระโถนสำรอกเสมหะขากเสลดไปวันวัน ใช่หรือไม่.
29/6/2568