จู้กหู้กกู้ มาช้าแต่มานะ กราบสวัสดีแล้วไปลุยกันเลยกับ 4 ทีมสุดท้าย
1. อาร์เจนติน่า มันจะเป็นแชมป์ฟุตบอลโลก สมัยที่ 3 ของทัพฟ้า-ขาว และแน่นอนว่าเป็นสมัยแรกของ ลีโอเนล เมสซี่ ไปพร้อมกันในตัว
2. โครเอเชีย รองแชมป์โลกคราวที่แล้ว ชาติที่มีประชากรรวมทั้งประเทศประมาณ 4 ล้านคน ซึ่งถือว่าเป็นชาติที่มีจำนวนประชากรน้อยที่สุด ในบรรดา 4 ชาติที่เดินทางมาถึงรอบตัดเชือก หากพวกเขาทำได้ ก็จะถือเป็นแชมป์ฟุตบอลโลก ครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์ของพวกเขา
3. ฝรั่งเศส หาก ดีดิเย่ร์ เดชองส์ พาขุนพลตราไก่ คว้าแชมป์ครั้งนี้ พวกเขาจะถือเป็นชาติแรกในรอบ 60 ปี ที่สามารถป้องกันตำแหน่งแชมป์โลกเอาไว้ได้ , ตัวของ เดชองส์ เองก็จะได้ชื่อว่าคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก มาครองได้รวม 3 สมัย (ตอนเป็นนักฟุตบอล ได้มาครั้งหนึ่ง เมื่อปี 1998) และตัวเขาเองก็จะเป็นกุนซือคนแรกในรอบ 84 ปี ที่พาทีมชาติคว้าแชมป์โลก 2 สมัยในฐานะผู้จัดการทีม (คนแรกที่ทำได้คือ วิตตอริโอ ปอซโซ่ , อิตาลี ปี 1934 , 1938)
4. โมร็อคโก สุดท้ายหากคำตอบเป็น โมร็อคโก , แน่นอนว่าเป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์ ทั้งของชนชาติพวกเขา แล้วก็ครั้งแรกของทีมชาติในนามแอฟริกันชน
มีหลายอย่างเกี่ยวกับ โมร็อคโก ที่เราไม่รู้
– นักเตะหลายคนกระจัดกระจายไปเติบโตต่างบ้านต่างเมือง
– โค้ชเพิ่งได้รับการแต่งตั้งก่อนบอลโลกไม่นานนัก
– นักเตะซุปเปอร์สตาร์อย่าง ฮาคิม ซีเยค เพิ่งมีปัญหากับโค้ชคนก่อน และเกือบจะไม่กลับมาลงเตะให้ทีมชาติอีก
– ก่อนทัวร์นาเมนต์เริ่ม ไม่มีใครคิดว่า พวกเขาจะกล้าๆแซง เบลเยียมผ่านเข้ารอบนอคเอาท์หน้าตาเฉย
– นอกจากจะปราบ เบลเยียม, อดีตแชมป์โลก สเปน และดับฝัน พี่โด้ พวกเขายังกลายมาเป็นทีมที่เสียประตูน้อยที่สุดในบอลโลกครั้งนี้ด้วยจำนวนเพียง 1 ประตู จาก 5 เกมที่ลงเตะ
– แถมท้ายนอกจากเกมรับที่สุดยอด…..เกมสวนกลับของพวกเขายังลีลาเพลินตาราวกับมาจากประเทศแถบละติน
และ…ทัพ “สิงโตแห่งแอตลาส” อนุญาตให้นักเตะทุกคนชวนคนในครอบครัว ออกเดินทางมาเชียร์ที่ประเทศกาตาร์ แบบไม่มีเงื่อนไข เพราะทีมมองว่า “ครอบครัว” คือพลังงานที่จะให้พวกเขาลงสนามด้วยกำลังใจที่เปี่ยมล้น
“ความสำเร็จของพวกเรา ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย หากปราศจากความรักจากคนในครอบครัว” เรกรากี ย้ำชัดถึงแนวความคิดดังกล่าว
ด้วยเหตุนี้ โรงแรมที่พักของทีมชาติโมร็อกโก ที่ตั้งอยู่ในกรุงโดฮา จึงให้อารมณ์เหมือนค่ายฤดูร้อน บรรยากาศอบอวลไปด้วยสายสัมพันธ์ และรอยยิ้มของคนในครอบครัว
“ตลอดเวลาที่เขาค้าแข้ง หรือรับหน้าที่โค้ช ฉันไม่เคยออกเดินทางข้ามประเทศ เพื่อไปให้กำลังใจเขาเลย ฉันอาศัยอยู่ที่ฝรั่งเศส มากว่า 50 ปีแล้ว นี่คือการแข่งขันทัวร์นาเมนต์แรก ที่ฉันเดินทางออกจากกรุงปารีส”
คุณแม่ของวาลิด เรกรากี ออกมาเล่าเช่นกัน นี่คืออีกหนึ่งครอบครัวที่ต้องอพยพไปอยู่ในทวีปยุโรป กระนั้น พวกเขาไม่เคยลืมรากเหง้าของตัวเอง
ขณะที่ครอบครัวของอับเดลฮามิด ซาบิรี่ กองกลางของทีม เป็นคนที่ชอบถ่ายภาพ เพื่อบันทึกความทรงจำ พวกเขามีโอกาสใช้เวลา 2-3 วัน ในการสำรวจโรงแรม พร้อมกับถ่ายภาพร่วมกับฮาคิม ซิเย็ค, ยาสซีน โบโน่ และวาลิด เรกรากี
สิ่งเหล่านี้คือสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น ที่นี่ทุกคนคือครอบครัวเดียวกัน เมื่อใดก็ตามที่ถูกสื่อเข้ามาขอสัมภาษณ์ พวกเขาจะพูดคำตอบหนึ่งเสมอ ด้วยความภูมิใจว่า
“นี่คือลูกชายของฉันเอง”
อัชราฟ ฮาคิมี่ หอมแก้มคุณแม่ทุกครั้ง หลังจากจบเกม
โซฟียาน บูฟาล สวมกอด และชวนคุณแม่ไปฉลองในสนามร่วมกัน
วาลิด เรกรากี ซบลงที่ไหล่คุณแม่ เมื่อเสร็จสิ้นการแข่งขัน
สมาชิกของโมร็อกโก อีกหลายคนเลือกปฏิบัติเช่นนี้ นักเตะแต่ละคน สามารถแสดงความรักต่อครอบครัวของเพื่อนร่วมทีมได้เช่นเดียวกัน
การเป็นชาติแอฟริกา ทีมแรกในประวัติศาสตร์ ที่เดินทางสู่เวิลด์ คัพ รอบรองชนะเลิศ นอกจากแรงกาย ที่กลั่นออกมาเป็นหยาดเหงื่อ …
การทำเพื่อคนในครอบครัว คือพลังที่ให้พวกเขามายืนตรงจุดนี้
หลายคนเรียกพวกเขาว่า ม้ามืด……แต่นาทีนี้พวกเขาคงอยากให้แฟนบอลทั่วโลก รู้จักพวกเขาในนาม “สิงโตแห่งแอตลาส ผู้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับชาติจาก แอฟริกา”
จู้กหู้กกู้แอบคิดไปไกลว่าถ้าปีนี้ สิงโตแห่งแอตลาส ถึงเส้นชัย ซื่งความเป็นไปได้ยิ่งชัดมากขึ้น จากบทความชิ้นนี้ ขอให้ครั้งแรกของทีมชาติในนามแอฟริกันชน เป็นแชมป์โลก อย่างภาคภูมิใจ
ตบมือ