”ไก่ หันตรา”หนีหมายจับคดียาเสพติด ขับกระบะพุ่งชนรถตำรวจฝ่าวงล้อมหลบหนีจนถูกยิงยางตกคลอง ญาติฟาดแหลกทำเกินกว่าเหตุแค่ค้ายาไม่ได้ไปฆ่าใคร นักข่าวก็ด้วยมาทำข่าวซ้ำเติมอีก
เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 24 เม.ย.66 ร.ต.อ ปัญญา อามาตย์เสนา รอง สว.(สอบสวน) สภ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา รับแจ้งจากชุดสืบสวน มีการสกัดจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติด ขับรถหลบหนีจนเสียหลักตกข้างทาง บริเวณถนนริมคลองสาธารณะวัดกุฎีดาว ม.7 ต.ไผ่ลิง อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ประสาน พ.ต.อ ธีรวุฒิ แสงมณี รองผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา ตำรวจพิสูจน์หลักฐานพระนครศรีอยุธยา ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ
พบรถยนต์กระบะ อีซูซุ สี่ประตู สีขาว ทะเบียน กย- 7134 พระนครศรีอยุธยา ตกลงข้างทางรถยนต์เสียหาย กระจกหน้าแตก ประตูฝั่งซ้ายพบรอยเลือดจำนวนมาก รอบๆรถยนต์กระบะ พบรอย ถูกยิงด้วยอาวุธปืนหลายนัด ล้อรถยนต์ถูกยิงจนยางแตก
ภายในรถพื้นรถที่นั่งผู้โดยสารด้านหน้า พบซองพลาสติกสีฟ้า 2 ซอง ภายในบรรจุยาบ้า แตกกระจายเกลื่อน พื้นถนนพบรอยเลือดหยดเป็นทาง ปลอกกระสุนปืน 9 มม. 4 ปลอก
ใกล้กัน พบรถยนต์ โตโยต้า แบบกระบะ 4 ประตู ทะเบียน กน 5875 พระนครศรีอยุธยา ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ท้ายรถประตูข้างรถ มีร่องรอยถูกชนได้รับความเสียหาย
พ.ต.อ ธีรวุฒิ แสงมณี รอง ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยาเผยว่า ชุดสืบสวนสภ.นครหลวง ได้จับกุม ผู้ค้ายาเสพติดแล้วขยายผลสืบสวนจนทราบว่ารับยาเสพติดมาจาก นายนันทพรหรือไก่ หันตรา อายุ 38 ปี มีหมายจับ ของ ปปส. คดียาเสพติด
ได้แกะรอยติดตามจับกุมตั้งแต่ในพื้นที่ของ สภ.นครหลวง จนมาพบจอดรถอยู่ในลานจอดรถ หลังตลาดน้ำอโยธยา ได้ประสานชุดสืบสวน สภ.พระนครศรีอยุธยา สนับสนุน และแสดงตัวจับกุมตัว
แต่นายนันทพร หรือ ไก่ ไม่ยอม ซ้ำขับรถยนต์พุ่งเข้าชนรถเจ้าหน้าที่ตำรวจผ่าวงล้อมหนีออกมาได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงใช้ปืนยิงยางรถยนต์เพื่อสกัดจับกุมตามยุทธวิธี ผู้ต้องหาขับหลบหนีออกมาได้ประมาณ 300 เมตร เสียหลักตกลงข้างทาง กระทั่งจับกุมนายนันทพร ซึ่ง บาดเจ็บที่บริเวณริมฝีปาก เจ้าหน้าที่นำส่งโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา ขณะเดียวกัน มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ บาดเจ็บ 1 นาย รถยนต์เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียหาย 3 คัน
มีรายงานว่าระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบที่เกิดเหตุ มีญาติผู้ต้องหาต่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ และผู้สื่อข่าวที่อยู่ในที่เกิดเหตุว่า ตำรวจทำเกินกว่าผู้ต้องหาแค่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ไม่ได้ไปฆ่าใครตาย ทำไมต้องไล่ยิงอะไรกันขนาดนี้แล้วนักข่าวจะยังมาซ้ำเติมทำข่าวอีก