พล.ต.อ.สมศักดิ์ จันทะพิงค์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์
ประสบการณ์ชีวิตข้นคลั่ก จากหนุ่มน้อยแม่ริม เชียงใหม่ สอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 34 บรรจุที่ สภ.อ.ชุมแสง จ.นครสวรรค์
สร้างชื่อในวัยหนุ่มด้วยการปราบโจรร้ายในชื่อฉลามดำ ปากน้ำโพ เป็นชุดเฉพาะกิจของชลอ เกิดเทศ ส่งผลให้ได้เข้ามาเป็น 13 อรหันต์ยุค คำนึง ธรรมเกษม เป็นผู้การกองปราบฯ อยู่ตั้งแต่ สารวัตรถึงรองผู้การ คลี่คลายคดีอุกฉกรรจ์นับไม่ถ้วน
ลงไปช่วยราชการ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ก่อนติดยศเป็นผู้การอุทัยธานี ผู้การเชียงใหม่ รองผบช.ศชต. จเรตำรวจ(สบ8)ก่อนเออรี่เอายศพล.ต.อ. ออกมาทำงานการเมืองเป็นรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย 3 สมัย ปัจจุบันเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ มีมอตโต รักกันอย่ารังแกกัน
พ้นรั้วสามพรานลงชุมแสง
จบแล้วเลือกลงที่ชุมแสง นครสวรรค์ รุ่นเราเป็นรุ่นที่กรมตำรวจในขณะนั้น มีนโยบายให้นักเรียนนายร้อยออกภูธร รุ่นแรก เราคนเชียงใหม่ก็เลือกลงภาคเหนือ แต่ตามความคิดเรา ทำงานบ้านเกิดมันไม่สะดวก เลยเลือกมาลงภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน พอดีเพื่อนสนิท พล.ต.ท.เฉลิม สุวรรณโอสถ เป็นบัดดี้ตั้งแต่อยู่ในโรงเรียน ลงชุมแสง เลยตามมาอยู่ด้วยกัน….
มือปราบจันทะพิงค์เริ่มย้อนอดีต
ช่วยราชการนปพ.จับโจร
ระหว่างอยู่ชุมแสง มาช่วยราชการหน่วยปฏิบัติการพิเศษ เฉลิมด้วย เป็นผู้บังคับหมวด นปพ. มีพี่รังสรรค์ กาญจนรัตน์ เป็นหัวหน้า เขาเห็นว่าเป็นคนหนุ่ม เขาให้ความสำคัญเรื่องของการปราบปรามอาชญากรรมทั้งจังหวัด ก็มาช่วย นปพ.สักพัก หมดภารกิจกลับไปอยู่ชุมแสง แล้วย้ายมาเป็น รอง สว.ป.เมืองนครสวรรค์
อยู่ลาดยาวเป็นฉก.จังหวัด
ตอนนั้นมี พ.ต.ท.เกริก กัลยาณมิตร สารวัตรใหญ่ ชวนไปอยู่ท่าตะโก คดีมันหนัก เขาอยากได้คนหนุ่มๆไปช่วยงาน แต่ผู้บังคับบัญชาเห็นว่า ลาดยาวคดีเยอะ เลยย้ายเราไปเป็น รอง สว.สืบสวนสอบสวน ลาดยาว
ไปทำงานกับสารวัตรใหญ่เกริก ได้ 2 เดือน พี่สุวิทย์ อินทรทรัพย์ เดี๋ยวนี้เสียชีวิตไปแล้วมาแทน เขาเรียกมือปราบรถถัง บุกตะลุยน่าดูเลย อยู่กับพี่สุวิทย์อีก 2 ปี ทำงานเป็นชุดเฉพาะกิจ ชุด ชป.ของจังหวัด มีผลจับกุมอุตลุต
ตอนนั้นลาดยาว คดีอุกฉกรรจ์เป็นที่ 2 รองจากบ้านสวน สุโขทัย ถ้าระดับประเทศเนี่ย นครศรีธรรมราช อันดับ 1 แต่ถ้าของกองบัญชาการ 3 อันดับ 1 คือ บ้านสวน สุโขทัย อันดับ 2 ลาดยาว นครสวรรค์
ประกอบร่างฉลามดำ
อยู่ลาดยาว 2 ปี มาเป็น รอง สว.ที่ปากน้ำโพ พี่สมพงษ์ คงเพชรศักดิ์ เป็นสารวัตรหัวหน้าสถานี ก็ให้เราเข้าเวรด้วย ให้เป็นหัวหน้าชุดสายสืบ หัวหน้าชุดฉลามดำด้วย อยู่ปีเดียว มาเป็นรอง สว.สืบสวนเมือง มีพี่อรรถสิทธ์ จิตรพันธ์ุ เป็น สารวัตรสืบสวน พี่สุธี ธนปรีชา เป็นสารวัตรใหญ่
ใช้เทคโนโลยี่เก็บข้อมูลคนร้าย
มาทำงานศูนย์สืบสวนข้อมูล ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ถ่ายวีดีโอ ทำประวัติ จัดทำข้อมูลคนร้าย ซื้อกล้องแฮนดี้แคมจากฮ่องกง ถ่ายภาพอัดเสียง ถ่ายฟัน ถ่ายรอยสัก ส่วนสูง มีเหตุที่ไหน โซนไหน เอาให้เขาดู สมัยนั้นถือว่าล้ำหน้าหน่อย เป็นการใช้เทคโนโลยีครั้งแรก
ขึ้นสารวัตรสืบเมืองเข้าทีมป๋าลอ
ขึ้น สว.สืบสวนเมืองนครสวรรค์แทนที่พี่อรรถสิทธิ์ ได้ทำคดีเยอะ เป็นสืบสวนฉลามดำ ได้เจอกับป๋าลอ ท่านชลอ เกิดเทศ เป็น1 ใน 4 ชุดเฉพาะกิจมหาดไทย ท่านประมาณ อดิเรกสาร รมว.มหาดไทย ตั้งขึ้น อีสานให้ท่านบุญทิน วงศ์รักมิตร ปริมณฑล ตะวันตก ให้ท่านราชศักดิ์ ภาคใต้ ท่านสล้าง บุนนาค
ป๋าลอบารมีเหลือหลาย
อยู่กับนายลอ รับผิดชอบภาคเหนือ แต่ทำคดีไปทั่ว ป๋าลอยิ่งใหญ่มาก ถ้าพูดถึงเนี่ย เป็นตำรวจที่มีบารมีในหมู่โจร ใครทำผิดกฎหมายกลัวแก ไปที่ไหนก็สะท้าน บางรายแค่ไปเหยียบเขตจังหวัด ก็มามอบตัวแล้ว พูดง่ายๆคือ บารมีนายผลงานลูกน้องด้วยประกอบกัน แต่บารมีนายสำคัญกว่านะ
ป๋าโก๊ะดึงเข้าซุ้ม
ไปทำงานกับป๋า เพราะพี่โก๊ะ-สมภพ พงษ์ฤกษ์ เวลาแกตามคดีแถวนี้ แกก็มาหาเพราะเราเป็น สว.สืบ มาทำงานด้วย ประสบความสำเร็จเป็นส่วนใหญ่ พอมีชุดเฉพาะกิจปุ๊บ แกบอกนายลอ เอาไอ้ศักดิ์ มาด้วย เป็นคนเดียวของฉลามดำ แต่เราเอาไปทั้งชุด แล้วใช้ชื่อฉลามดำ มาตลอด
ตอนนั้นมี 8 คน รุ่นแรก แต่พอเราเป็นสารวัตร มี 37 คน ก็ขยายออกไป แต่พอไปอยู่กับนายลอ เอาไปแค 6-7 คน ทุกวันนี้มาอยู่ที่ อบจ.กันหมด เกษียณแล้วมาอยู่ด้วยกัน
ป๋าลอต้นแบบใช้สายจับโจร
นายลอ ถือเป็นต้นแบบและวิธีการในยุคสมัยหนึ่งที่ไม่มีการใช้เทคโนโลยี จำเป็นต้องมีสาย ใช้สายลับ เราก็เห็นและซึมซับ ไม่ใช่เป็นผู้บังคับบัญชาอย่างเดียว ถือเป็นครูบาอาจารย์นักสืบ ตอนอยู่เซฟ
ยังจำได้เลย พี่ภาณุพงศ์ ยังไปหา พี่ประมวลศักดิ์ ศรีสมบุญ ก็ไปหาที่เซฟเฮ้าส์บางเขน ด้วยความเคารพนับถือ ตอนนั้นพี่ๆ เขาอยู่สืบนครบาล อยู่สืบเหนือ สืบใต้ สืบธน ไปกันทุกคน
คำนึง ทาบทามเข้ากองปราบฯ
สุดท้าย เขาปรับโครงสร้างเป็นภาค 6 ดำรงค์ เพชรพงษ์ มาสารวัตรสืบเมืองแทน เราก็ไปอยู่แผนก 5 ดูแล นปพ.ภาค 6 อยู่ได้ปีเดียว นายนึง-คำนึง ธรรมเกษม โทร.มาหาไม่รู้จักกันมาก่อน
มารู้ทีหลัง พี่หมี -เฉลิมพันธุ์ อจลบุญ ศิษย์ท่านคำนึง เพื่อนสนิทพี่โก๊ะ ตอนนั้นอธิบดีพจน์ จะให้นายนึง เป็นผู้การกองปราบ แกรวมนักสืบทั้งประเทศ ทั้งนครบาล ทั้งภูธร ทุกภาคเลย หามือดี ทุกภาคเลย แล้วทีนี้ พี่เฉลิมพันธุ์ พี่โก๊ะ ก็บอก เอาไอ้ศักดิ์ มาดูภาคเหนือ
ให้เป็นรองผกก.3ดูพื้นที่เหนือ
แกบอกว่า เฮ้ย ศักดิ์ เหรอ ก็บอกครับ กูคำนึง ธรรมเกษม มึงรู้จักกูไหมเนี่ย ก็บอกครับ แต่จริงๆ ไม่รู้จักหรอก แกบอกว่ากูจะไปเป็นผู้การกองปราบ เดี๋ยวมึงไปอยู่กับกูนะ ก็ครับอย่างเดียว ตอนนั้นเราไม่รู้จัก เรานักสืบบ้านนอก รู้จักแต่ชลอ เกิดเทศ แกก็รุ่นเดียวกันบอกว่า เดี๋ยวจะเอาไปขึ้น รอง ผกก.กอง 3 ภาคเหนือ เราก็ครับ แล้วก็วางสายไป
ขอดำรงค์น้องรักพ่วงไปด้วย
ผ่านไปสักเดือน แกโทร.มาอีกบอกว่า กูเป็นผู้การกองปราบแล้วนะ มึงมารึเปล่าแต่รอง ผกก.เต็มว่ะ ขึ้นไม่ได้ มาเป็น สว.โอเค.รึเปล่า ก็บอกว่า ผมรับปากแล้วผมก็ต้องไป แกว่า จะเอาใครมาด้วยไหม ผมบอกว่า ขอเอาน้องไปคนหนึ่ง ดำรงค์ เพชรพงษ์ พอวางสาย ก็บอกไอ้ดำ เดี๋ยวไปอยู่กองปราบนะ ไปอยู่กอง 3 ดูแลภาคเหนือ
ถึงวันแรกรับคดีปล้นรถขนเงิน
รายงานตัววันแรก แต่งนอกเครื่องแบบมา นายนึงบอกมีปล้นรถเงินที่มาบตาพุด เดี๋ยวมึงไปนะ โทร.หาอ๊อด แกพูดอย่างนี้ แล้วให้เบอร์มา ตอนนั้นยังไม่รู้เลยว่าอ๊อด นี่คือใคร สงสัยจะสาย
โทร.ไป เฮ้ย อ๊อด เหรอ พี่อ๊อดเขารับเสียงนุ่ม เราบอกว่า กู สว.แผนก 4 กองปราบ มาใหม่ นายให้มาทำคดี แกตอบ กูภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ก็ขำเลย อ๋อ ครับๆ พี่ นายให้ผมโทร.หาพี่ บอกว่าอ๊อด ผมก็ไม่รู้ว่าใคร
ช่วยภาณุพงศ์-อัศวิน ทำคดี
ไปอยู่กับดำรงต์ 2 คน ช่วยพี่เขาทำงาน ส่วนใหญ่จะงานพี่อ๊อด มีงานพี่วิน-อัศวิน ขวัญเมือง พี่น้อย สมพงษ์ คงเพชรศักดิ์ ยังไม่มา ยังเป็นรองผกก.ภาค6 ตอนนั้นท่าน วิชัย เย็นสุดใจ เป็น ผกก.3
พอสิ้นปี นายนึง เรียกเราไปกับดำรง บอกว่า เดี๋ยวเปลี่ยน ผกก.3 เอาใครดีวะ ภาคเหนือ นายนึงก็ให้สิทธิมึงเลือก เพราะจะต้องมาอยู่กับมึง ก็บอกว่า เอา สมพงษ์ คงเพชรศักดิ์ พี่โก๊ะ พี่หมี ก็บอกให้เอาตามไอ้ศักดิ์ เพราะมาเป็น ผกก.อยู่กับมัน ก็ต้องเอาลูกพี่มา
นายนึงให้สิทธิ์เลือกทีมงาน
พอคำสั่งออกปั๊บ นายนึง ถามว่ามึงจะเอาใครอีก ทีนี้ก็ชี้เลย กอง 3 มีแต่นครสวรรค์ เฉลิม สุวรรณรัตน์โอสถ กนกศักดิ์ สิงห์ทอง สำเริง งามรัตน์ เราชี้เข้ากองปราบ เพราะพวกนี้เขาเห็นเราทำงานกับดำรงค์ ที่กองปราบมาปีหนึ่ง เห็นผลงาน เขาก็อยากจะมาด้วย ก็หอบกันมาอยู่ เขาถึงบอกว่า กอง 3 เป็นกองนครสวรรค์
อยู่กองปราบฯ7ผู้การ
เป็น สว.แผนก 4 กอง 3 ขึ้น รอง ผกก.3 ขึ้น ผกก.3 ผกก.ฝอ.บก.ป. อยู่ตั้งแต่ นายนึง พี่ทอง-วชิระ ทองวิเศษ พี่วิน-อัศวิน ขวัญเมือง พี่ตุ๊-สุรสิทธิ์ สังขพงษ์ พี่โก๋-โกสินธ์ หินเธาว์ พี่วินัย ทองสอง พี่กึ๊ก-วรศักดิ์ นพสิทธิพร ที่มาจากนครบาล
จากนั้นลงใต้กับพี่จั๋ม-วงกต มณีรินทร์ คดีปล้นปืนนราธิวาส เป็นรอง ผบก.ป. แล้วเขาก็หมุนตำแหน่ง แต่ตัวเราช่วยอยู่ใต้ตลอด 6 ปี จากรองผู้การกองปราบ ไปรองผู้การป่าไม้ตำแหน่งสุดท้าย ไปเป็นรองผู้การรถไฟ แต่ตัวอยู่ใต้ตลอด
เออรี่ก่อนเกษียณได้พล.ต.อ.
อยู่ใต้ 6 ปี ขึ้นผู้การประจำ ที่ ตร. ก็ยังช่วยอยู่ใต้ ก่อนย้ายเป็นผู้การอุทัยฯ ปี 2552 อยู่ปีเดียว ไปอยู่เชียงใหม่ 2 ปี นายดุล-พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ให้ไปช่วยภาคใต้ ก็ครับลงไปอีก 3 ปี เป็น รอง ผบช. อยู่ที่ ศชต.อีก 3 ปี รวมเป็น 9 ปี อาวุโสอันดับ 1 ตร.ขึ้น ผบช.ไปอยู่จเร เหลืออายุราชการ 5 ปี ขอเออรี่ก่อนปีสุดท้ายเกษียณปี 62 ออกปี 2561
ไม่ได้เบื่อแต่จังหวะการเมืองมา
ไม่ได้เบื่อรับราชการ แต่จังหวะการเมืองมา ไปเป็นรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย สมัยท่านวิโรจน์ เปาอินทร์ 1 สมัย สมัยที่ 2 ท่านวิโรจน์ เปาอินทร์ ได้เป็นอีก เป็นรองหัวหน้าพรรคอีก เป็นรองหัวหน้าพรรค 2 สมัย พอสมัยที่ 3 เปลี่ยนเป็นสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ได้เป็นรองหัวหน้าพรรคต่ออีก
ลงท้องถิ่นคะแนนท้วมท้น
พอดีมีเลือกตั้งท้องถิ่น มาลงเลือกตั้งท้องถิ่น คะแนนเรา 2.2 แสนกว่า ถ้านับจริงๆ 2.3 แสนด้วยซ้ำ เราไม่ได้ไปท้วงคืน นับกันผิด ชนะอันดับ 2ได้ 9 หมื่น อันดับ 3 ได้ 7 หมื่น อันดับ 4 ได้ 5 หมื่น เขาบอกว่า 3 คนรวมกันยังไม่เท่าเรา เราชนะขาด ชาวบ้านเลือกเรา
ชาวบ้านเห็นช่วยเหลือสังคมตลอด
เราดูแลชาวบ้านมาตลอด ไม่ว่าจะเรื่องป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ช่วยเหลือคนทำมาตลอด ตั้งแต่เป็น ร.ต.ต.ดูแลชาวบ้าน ทำกิจกรรม ทำฟุตบอลทำมวยต้านยาเสพติด ทำกิจกรรมสังคมมาตลอด ชาวบ้านเขาเห็น
ชอบทำงานแล้วยังมีแรงอยู่
ส่วนความคิดที่มาทำงานการเมือง คือชอบทำงานแล้วยังมีแรงอยู่ ก็อยากทำงานต่อ เป็นคนทำงานมาตลอดชีวิต พูดง่ายๆ คือ 1.เรายังมีแรง ยังทำงานไหว 2. คิดว่าเรามีความรู้ มีประสบการณ์ทำงานจนติดยศ พล.ต.อ.แล้วเรายังมีแรงอยู่ จะหยุดได้ยังไง
ดูแลชาวบ้านไม่ต่างตำรวจ
เพียงแต่ว่าบริบทมันเปลี่ยนไป คือตำรวจมันแคบ แค่ป้องกันปราบปรามอาชญากรรม แต่บริบทของการเมือง คือวิถีชีวิตทั้งหมด มันหนักกว่ากันนะ อันนั้นมันงานเฉพาะทาง แต่นักการเมืองนี่ มันวิถีชีวิตชาวบ้านทั้งหมด ต้องดูแล ทุกปัญหา งานมันใหญ่กว่า
ลงพื้นที่ทุกวันไม่เว้นวันหยุด
พอมาเป็น นายก อบจ.ในสถานการณ์ทั้งโควิด ทั้งน้ำท่วมมารับตำแหน่งกลางเดือน ก.พ.64 ทำงานทุกวัน ไม่มีหยุด ตั้งแต่ภัยแล้ง ลงไปเองหมด เช้าประชุมลูกน้อง บ่ายลงพื้นที่ทุกวัน เดือนครึ่ง ทำ 87 โครงการ แต่เอาเข้าแผนเดือน มี.ค.แล้วเสร็จ แล้วเอางบประมาณที่มีอยู่ เข้าไปได้ 31 โครงการ ที่เหลือจะต้องไปปี 66-67 ทำหมดแล้ว
โควิดเอาคนนครสวรรค์กลับบ้าน
พอโควิดระบาด ปุ๊บ คนนครสวรรค์ที่อยู่ต่างจังหวัด อยู่ กทม.ปริมณฑล เราก็ทำโครงการพาคนกลับบ้าน ใช้ อบจ.200 กว่าคน เจ้าหน้าที่อบจ.มีทั้งหมด 700 กว่าคน ใช้ทำโควิด เอาคนกลับบ้าน เดือนกว่าเนี่ย เอากลับมาเข้าสู่ระบบคัดกรองแล้วจัดรถรีเฟอร์ในจังหวัด รับคนกลับบ้าน
เอาเข้าระบบคัดกรองก่อน
ทำมาตั้งแต่ 24 ก.ค.64 ตอนที่กรุงเทพฯ พีค ผึ้งแตกรังเข้ามา คนหนีกลับบ้านอุตลุต ถ้าปล่อยให้เขาหนีกลับบ้านโดยลำพัง เขาจะเอาเชื้อไปปล่อย เลยประกาศรับมาเอาเข้าระบบ คัดกรอง ใครป่วยก็รักษา ใครลบ ก็กักตัวไว้ก่อน 14 วัน พอปลอดภัยก็ปล่อยกลับบ้าน เราให้ทุกคน เวลากลับบ้านมาผ่านระบบ อบจ. ผ่านระบบคัดกรอง
โควิดจางแก้น้ำท่วมต่อ
ทีนี้โควิดพอเริ่มจาง ก็มาสถานการณ์น้ำท่วมต่อ เราบริหารเหตุการณ์วิกฤตมาตลอดชีวิต ยิ่งตอนที่ไปอยู่ภาคใต้นี่ เรื่องไคร์สซิส เมเนจเม้นท์นี่เราเป็นครูบาอาจารย์ ก็ไม่มีปัญหา มันอยู่ที่วิธีบริหาร ใช้หลักว่า บริหารต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ อบจ.ลงเรือแจกของ เพราะเขาออกมาไม่ได้ ไม่แจกได้ไง ชาวบ้านเขาเดือดร้อน ระเบียบ งบประมาณ ก็ใช้ไม่ได้ ก็ต้องหาเงินส่วนตัว เงินพวกพ้อง 2 ล้านกว่าบาทนะ 6,000 ชุด ที่ระดมแจกนี่
งานใหญ่กว่าตำรวจ
จบภัยธรรมชาติ ตอนนี้อยู่ระหว่างฟื้นฟู ที่มันแห้งแล้ว ไปซ่อมแซม สูบน้ำ ซ่อมถนน ทำคอสะพาน ถนนขาด ทำกันไม่มีวันหยุด ของเรานี่ไปเปิดดู มีวอร์รูม เวลามีเหตุ สจ.ไปดูน้ำท่วม มีพายุ บ้านพัง ขึ้นจอมา ก็ไปเลย ไปเองทุกงาน มีเหตุ พายุ บ้านพัง 20-30 หลัง ศาลาการเปรียญ พัง งบประมาณใช้ไม่ได้ ทอดผ้าป่า เอา ส.ส.พื้นที่มา 2 แสน เอาของเราไปอีก 2 แสน ใช้วิธีอย่างนี้ถึงบอกว่า งานมันใหญ่กว่าตำรวจ
ฐานะเป็นตำรวจเก่ากับเหตุตำรวจรีดคนร้ายตายในโรงพัก:
ก็สอนกันมานานแล้วว่าโลกมันเปลี่ยน บอกคนปัจจุบันทุกคนนะ ว่าอย่าเอาไม้บรรทัดวันนี้ไปวัดคนในอดีต แล้วบอกว่าเขาทำไม่ถูก มันไม่ใช่ เพราะมันต่างสภาพแวดล้อม ต่างสถานการณ์ ระบอบการปกครอง ระเบียบทางสังคม การรับรู้ทางสังคม สภาพแวดล้อมทางสังคม มันต่างกัน
ใช้วิธีการเก่าๆไม่ได้
ข้อ 2 อย่าเอาวิธีการเก่าๆ มาใช้กับยุคใหม่โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว สมัยนี้ใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี แต่สมัยก่อน สิ่งเหล่านี้ไม่มี มันอาจจะมีวัฒนธรรมเรื่องของการรีดการซ้อม การทรมาน ต้องยอมรับความจริง ว่าอดีตมันมี แต่วันนี้ โลกมันเปลี่ยน ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้วิธีการเก่าๆ แต่ไม่ต้องมาปฏิเสธนะ ว่าตำรวจไม่เคยทำ
อย่าอ้างทำเพื่อชาวบ้าน
แต่เราทำเพื่ออะไร สมัยก่อน มันก็ทำเพื่อชาวบ้านทั้งนั้นแหละ พอเราใช้วิธียังไงก็ช่าง ให้เขาเกิดความผาสุก เขารับได้ อันนั้นคือในอดีต เพราะฉะนั้นคุณจะเอาไม้บรรทัดวันนี้ไปวัดในวันก่อน ได้ แต่ถ้าวันนี้ คุณเอาวิธีเก่ามาใช้ ก็ไม่ได้ ต้องแยกให้ออก
ความประทับใจ ภาคภูมิใจ หรือเสียใจในช่วงรับราชการตำรวจ:
เรื่องเสียใจ นี่ไม่เคยเสียใจ เพราะทำทุกอย่างเต็มใจทำทั้งสิ้น ไปอยู่ไหนก็เต็มใจไปทุกที่ นายใช้ไปไหนไปหมด แต่เรามาหยุดที่จเร เพราะรู้ว่าการทำงานจะตอบสนองความก้าวหน้าเราถึงแค่ระดับ รอง ผบช. อันนี้คือยุคเรานะ ยุคใหม่อาจจะเปลี่ยนไปก็ได้ แต่ตำรวจยุคเราใช้ผลงานเพื่อความก้าวหน้าได้ถึงแค่ รอง ผบช.เท่านั้น
อาวุโสอันดับ1ได้ผบช.
แต่เราโชคดีที่อาวุโสอันดับ 1 ได้ขึ้น จริงๆคิดว่า คงได้ถึง รอง ผบช. แต่เราโชคดีที่อาวุโส อันดับ 1 ถึงได้เป็น ผบช. เพราะ ผบช.เป็นตำแหน่งที่เขาต้องใช้คนที่เขาไว้วางใจ เขาไม่ได้สนใจเรื่องงาน
เราก็เข้าใจตรงนี้ ถึงไม่ทุกข์ ถึงได้หยุดตัวเองไว้เท่านี้ เพราะเรารู้ว่าถ้าเราจะไปต่อ จะต้องปรับบุคลิกภาพใหม่ ซึ่งเราไม่ปรับเพราะไม่ใช่เรา แล้วเราไม่ได้ทุกข์ บางคนบอกว่าคนเราแล้วแต่วาสนา เราไม่ได้สนใจ เราตัดสินใจของเราเองที่เราจะยุติเท่านี้
ชีวิตตำรวจถือเป็นที่สุดแล้ว
แล้วไม่ได้เสียใจ ไม่ทุกข์ใจ เพราะมีแผนในอนาคตหลังเกษียณว่าจะทำอะไรอยู่แล้ว แล้วถือว่า เราเป็นตำรวจอยู่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มา 9 ปี ธรรมดาที่ไหน ไปอยู่ในพื้นที่ที่โจรไล่ยิงตำรวจ โจรจ้องยิงตำรวจ มีภาคไหนบ้าง ถือเป็นที่สุดของตำรวจแล้ว ว่าได้อยู่ในองค์กรตำรวจที่สุดแล้ว ก็ยุติของเราไว้แค่นี้
คนอื่นแต่งตั้งตำรวจมากี่ปีแล้ว
เราต้องรู้เหตุผลทางการเมืองว่าทำไมการเมืองเข้าแทรกแซง ทำไมการเมืองไม่ยอมปล่อยมือจากตำรวจ เพราะเขาต้องการใช้ตำรวจเป็นเครื่องมือ
ฉะนั้นระดับ ผบช.ขึ้นไป ต้องเป็นคนที่เขาไว้วางใจ คนอื่นแต่งตั้งตำรวจเรามากี่ปีล่ะ นั่นคือเหตุผลที่เรายุติ ไม่ไปต่อ เป็นพล.ต.ท.เหลือเวลาอีก 4-5 ปี ถ้าเป็นเมื่อก่อน ต้องไปยัน รอง ผบ.ตร.ใช่ไหม
รู้ตัวเป็นพวกนอกตะกร้า
เราก็บอกแป๊ะ -พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา พี่ไม่มาแล้วนะ มันบอกครับ ถือว่าเราบอกน้องแล้วเพราะรู้ตัวว่าเราไม่ใช่พวกที่อยู่ในตะกร้า เราเป็นพวกนอกตะกร้า เขาไม่หยิบแล้วเราจะไปทำให้คนอื่นเขาอึดอัดทำไม
นครสวรรค์เหมือนบ้านเกิด
พอท้องถิ่นเปิด เรามานครสวรรต์เลย ถึงไม่ใช่คนที่นี่ แต่เหมือนบ้านเกิดนะ เราอยู่เชียงใหม่แค่อายุ 18 ขวบ พอรู้ความตั้งแต่เข้าโรงเรียน เข้า ป.1 ถึง 18 ก็ 11 ปี เราซึมซับความเป็นคนเชียงใหม่ แค่ 11 ปี แต่อยู่นครสวรรค์ 40 ปี
เกิดเชียงใหม่ แต่เหมือนคนนครสวรรค์ เพราะฉะนั้นต้องมาตอบแทนชาวบ้าน แล้วลงเลือกตั้ง เขาให้เราตั้ง 2.2 แสนกว่าเสียง ทุกวันนี้คิดแค่ว่า เราทำงานตอบแทน 2.2 แสนเสียง จะไปต่อไม่ไปต่อ อยู่ที่เราตัดสินใจเอง ถ้าเบื่อ พีคแล้วก็ยุติบทบาทแค่นั้นเอง
เรื่องสุขภาพค่าตับค่าไตปกติ
เรื่องสุขภาพ ผลตรวจเลือดก็ดีหมด ตับ ไต ไส้ พุง คอเลสเตอรอล ไตรกีเซอไลด์ ค่าตับ ค่าไต ค่าอะไร ปกติหมด เพียงแต่ไอบ้าง สุขภาพก็ไม่ได้อะไร ออกพื้นที่มันก็ต้องเดินอยู่แล้ว แต่มันก็มีเวลานอน พอบิดตัวตะคริวจะกิน ต้องระวัง ที่ขาก็ไม่มีอะไร เพราะเราเดิน ลงพื้นที่ทุกวัน เพียงแต่ว่าไม่ได้ออกกำลังกายเป็นเรื่องเป็นราว เลยทำให้กล้ามเนื้อหลายส่วนมันหายกลายเป็นไขมัน พอเราเอี้ยวตัว ตะคริวจะกิน เป็นที่ขา
สรุปแล้วไม่เคยเก็บอะไรเป็นความภาคภูมิใจ รับราชการตำรวจมาตั้งแต่ปี 2524 อายุ 22 ปี มาจนเกษียณ จนมาเป็นนายก อบจ.ไม่เคยเก็บอดีตมาเป็นความภาคภูมิใจ หรือเป็นความทุกข์ร้อนใจ เรามีหน้าที่ ก็ทำ แล้วก็หางานทำอยู่ตลอดเวลา
ทุกอย่างผ่านแล้วผ่านไป
อะไรที่ทำแล้วไม่สำเร็จ ก็ไม่เคยเอามาทุกข์ใจ ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว ได้แค่ไหนก็แค่นั้น อันไหนที่ทำไปแล้วผิดพลาด ก็ไม่เคยเอามาตำหนิตัวเอง หรือเอามาทุกข์ใจ อะไรที่สำเร็จ บางคนอาจจะบอกว่า สำเร็จ อย่างยอดเยี่ยม สำเร็จอย่างงดงาม ก็ไม่เคยเก็บเอามาเป็นความภาคภูมิใจ ผ่านแล้วก็ผ่านไป ก็หางานใหม่ ทำไปเรื่อยๆ แค่นั้น
ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด
ทุกวันนี้ก็หางานทำ แล้วก็ได้มาทำงานท้องถิ่น ได้มาเป็นนายก อบจ.ก็ทำไป ก็ทำทุกอย่าง ทำให้ดีที่สุด ไม่เคยมาคิดว่า สำเร็จหรือไม่สำเร็จ ทำให้ดีที่สุด สำเร็จมาก สำเร็จน้อย สำเร็จ หรือไม่สำเร็จ ทำแล้วผิดพลาด ไม่เคยเก็บมาคิด ผ่านแล้วก็ผ่านไป ก็ทำใหม่
แล้วมันก็มีเรื่องใหม่มาทุกวัน ยิ่งมาอยู่การเมืองท้องถิ่นด้วย งานวิถีชาวบ้านมาทุกวัน ดีมานด์ ความต้องการมาทุกวัน เรื่องเก่ายังไม่เสร็จ เรื่องใหม่มาอีกแล้ว
นี่คือเสี้ยวหนึ่งชีวิตข้นคลั่กบิ๊กนักสืบหลังถอดเครื่องแบบมารับใช้คนนครสววรค์ “พล.ต.อ.สมศักดิ์ จันทะพิงค์”
กิตติพงศ์ นโรปการณ์19/2/65