อาชญา (ลง) กลอน
ธนก บังผล
ข่าวร้ายช่วงบ่ายที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศต้องโศกเศร้าเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559
แม้จะผ่านมา 3 ปีแล้ว แต่ผมเชื่อว่าความเสียใจยังคงอยู่ในหัวใจของพสกนิกรที่รักในหลวง รัชกาลที่ 9
เหมือนความสูญเสียนั้นถูกสลักตรึงติดกับประวัติศาสตร์ของเราไปตลอดกาล
จะมีใครบนโลกนี้เกิดที่มาเพื่อเป็นศูนย์รวมดวงใจและยิ่งใหญ่เสมือนพระองค์ท่านนั้นคงหาได้ยาก
ผมเชื่อว่าแม้ในอนาคตอีก 100 หรือ อีกนานนับ 1,000 ปีต่อจากนี้ พระนามของ “พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร” รัชกาลที่ 9 จะกลายเป็นบุคคลสำคัญของโลก ให้คนรุ่นหลังยกย่องกล่าวขาน
รวมทั้งศึกษาพระราชดำรัส และงานที่พระองค์ท่านได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ เป็นที่เลื่องลืออย่างแน่นอน
ในชีวิตของเด็กบ้านนอกคนหนึ่งอย่างผม เคยมีบุญตาเฝ้ารับเสด็จพระองค์ท่านโดยบังเอิญและโดยงานข่าวที่ได้รับมอบหมาย
แม้จะแค่เพียง 2 ครั้งเท่านั้นแต่จำเหตุการณ์ได้แม่นยำ
ครั้งแรก สมัยที่ยังเป็นนักข่าวประจำอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล ตอนเย็นหลังเลิกงานผมเดินข้ามฝั่งมายังหน้ากระทรวงศึกษาธิการ เพื่อรอรถโดยสารประจำทางกลับที่พัก
ระหว่างที่หัวสมองกำลังจดจ่ออยู่กับงานข่าวที่ผ่านมาทั้งวันผมไม่ได้เอะใจแม้แต่น้อยเลยว่ารถโล่งและมีตำรวจกำลังดูแลถนนหนทางที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 จะเสด็จพระราชดำเนินผ่าน
ผมยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ ไม่มีเสียงนกหวีดเป่าไล่ใดๆจากตำรวจทั้งสิ้นเลยนะครับ มาเอะใจเพราะรู้สึกว่าทำไมบรรยากาศรอบข้างถึงเงียบเหลือเกิน
ทันใดนั้นรถยนต์พระที่นั่งก็แล่นผ่านมาทันที ก่อนจะดึงสติกลับมาแล้วพบว่าผมยืนอยู่ทีป้ายรถเมล์เพียงลำพัง
ในขณะที่ผู้โดยสารที่รอรถเมล์คนอื่นๆหลบอยู่ข้างหลังไปชิดกับกำแพงกระทรวงศึกษาธิการด้วยความสงบนิ่งพลางมองมาที่ผมด้วยสายตาประหลาดใจ
ครับ…อย่าว่าแต่คนอื่นๆเลยที่งงว่าผมไปยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ริมถนนได้ยังไง
วินาทีนั้นผมเองก็ทำอะไรไม่ถูกแล้ว ได้แต่ยืนตัวตรงพยายามรักษากิริยาให้เรียบร้อยที่สุด
พลันรถยนต์พระที่นั่งก็ผ่านหน้าผมไป ซึ่งพอผมมองเข้าไปข้างในก็เห็นในหลวงรัชกาลที่ 9 กับ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทอดพระเนตรและทรงแย้มพระสรวลมายังผมด้วยความเมตตา
หัวใจผมหล่นวูบเลยครับ แต่ในอกลึกๆนั้นรู้สึกปลืมปิติจนแทบหยุดหายใจ เพราะผมไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นทั้ง 2 พระองค์ในระยะที่ใกล้มากๆ
ส่วนครั้งที่2 นั้นผมได้รับมอบหมายจากกองบรรณาธิการ “หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์” ให้ไปทำข่าวประชาชนเฝ้าส่งเสด็จที่โรงพยาบาลศิริราช
เนื่องจากทั้ง 2 พระองค์ จะนิวัติพระราชวังไกลกังวล จ.ประจวบคีรีขันธุ์ โดยมีจำนวนพสกนิกรจำนวนมากมายมาจับจองพื้นที่ภายในโรงพยาบาลศิริราชจนแน่นขนัด
บรรยากาศความคึกคักจงรักภักดีต่างจากครั้งแรกที่ผมบังเอิญเจอกับขบวนเสด็จ ขณะที่ “อารมณ์ร่วม” ของประชาชนนั้นสุดตื้นตันเกินบรรยาย
กระหึ่มแซ่ซ้องไปด้วยคำว่า “ทรงพระเจริญ” นั่นคือครั้งแรกในชีวิตที่ผมน้ำตาไหล ท่ามกลางคนจำนวนมหาศาล
คนบ้านนอกในจังหวัดเล็กไกลปืนเที่ยงอย่างผม ไม่ได้มีโอกาสที่จะได้พบเจอ “พระเจ้าอยู่หัว” และ “พระราชินี” บ่อยๆเหมือนคนในเมืองกรุง
หากมีขบวนเสด็จมายังต่างบ้านเราต่อให้รอนานแค่ไหนเราก็รอ เพราะชาวบ้านอย่างเราอยากเห็น อยากชื่นชมพระบารมีของพระเจ้าแผ่นดินเป็นบุญตาสักครั้ง
ให้ได้ขึ้นชื่อว่าเกิดมาเคยเห็นพระพักตร์จริงๆ ไม่ใช่ผ่านหน้าจอโทรทัศน์หรือโทรศัพท์มือถือ
ทุกครั้งที่เพลงสรรเสริญพระบารมีดังขึ้น คนบ้านนอกอย่างเราต้องการยืนถวายความเคารพ
เช่นเดียวกับที่ทุกคนให้เกียรติความเป็นไทย เมื่อเพลงชาติดังขึ้นตอนเช้า 8 นาฬิกา และ 18 นาฬิกา
ตั้งแต่เด็กผมถูกสอนให้ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีเหมือนท่องอาขยาน โดยไม่รู้ว่าแต่ละคำที่ผู้แต่งต้องการสื่อให้คนทั้งชาติตระหนักถึงพระบารมีนั้นแปลว่าอะไร
กลับมาฟังอีกครั้ง บางทีก็หวนคิดถึงพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ขณะทรงงานที่เราคุ้นเคยกัน
ยิ่งฟัง ยิ่งชัดเจนมากครับ
“พระสยามินทร์ พระยศยิ่งยง”
มีผู้ถอดคำแปลออกมาว่า ทรงเป็นที่หนึ่ง และทรงเป็นที่สุดในบรรดาผู้มีจักรคือพระราชาทั้งปวง
ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าเป็นใหญ่ในสยาม มีพระเกียรติยศอย่างยอดยิ่งและยั่งยืน
3 ปีแล้วที่พระองค์ทรงเสด็จสวรรคตทุกอย่างที่เกี่ยวกับพระองค์ท่านเรารู้สึกว่าเป็นอมตะ
แต่อย่าหันกลับมาดูสถานการณ์บ้านเมืองและรัฐบาลนะครับ
บางทีอาจต้องถอดใจเลยว่าทำไมลุงบางคนอยู่มานานเหมือน 20 ชาติแล้ว (ฮา)