อาชญา(ลง)กลอน
ธนก บังผล
สถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ ถ้านับหนึ่งที่เหตุปล้นปืนค่ายปิเหล็ง หรือกองพันพัฒนาที่ 4 อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547 มาถึงปีนี้ก็ย่างเข้าสู่ปีที่ 15 แล้ว
หากเป็นชีวิตคนก็เริ่มเป็นวัยรุ่น หากเป็นรถยนต์ก็เรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าเก่า เป็นสุราที่บ่มมานานขนาดนี้ราคาก็ต้องแพง
แต่หากเปรียบเป็นความป่วยไข้อะไรสักอย่าง ตลอดเวลา 15 ปีคงมีแต่ความทุกข์ทรมาน ซึ่งคงไม่ผิดนัก ถ้าผมจะเปรียบเหตุการณ์ความไม่สงบปลายด้ามขวานไทยเป็นโรคภัยชนิดหนึ่ง
ในฐานะโลกของผมไม่สวย อีกทั้งยังเคยลงไปทำงานข่าวจังหวัดชายแดนภาคใต้ช่วง ปี 2548-2549
แม้ว่าจะเป็นระยะเวลาไม่นาน แต่ก็เป็นจังหวะที่สถานการณ์กำลังปะทุและสังคมยังคงมึนงงกับปัญหานี้อย่างหนัก
ประการแรกคือ เราพยายามที่จะประคับประคองความรู้สึกของประชาชนในพื้นที่จนแทบจะกลายเป็นเอาอกเอาใจผู้ก่อความไม่สงบ
เช่น การพยายามหลีกเลี่ยงใช้คำว่า “โจรใต้” ซึ่งเหมือนเหมารวมคนทั้งภาคใต้ มาใช้คำว่า “ผู้หลงผิด” หรือ “ผู้ก่อเหตุ”
แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ตีภาพรวมของพื้นที่ 4 จังหวัด (สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส) ที่มีเหตุรุนแรง ให้เป็น “จังหวัดชายแดนภาคใต้”
นอกจากนี้รัฐยังใช้มาตรการให้ “ผู้หลงผิด” สามารถเข้ามอบตัวกับทางราชการโดยไม่มีความผิด และเยียวยาด้วยเงินจำนวนมหาศาลให้แก่ครอบครัวผู้สูญเสีย
ปัจจุบันก็ยังเป็นที่กังขาว่าเป็นการจ่ายเงินให้กับครอบครัวของผู้ก่อเหตุที่ถูกทหาร-ตำรวจ วิสามัญไปบ้างหรือไม่
ผมมองว่าวิธีเหล่านี้ก็เป็นเพียงขั้นตอนที่ถูก ที่เหมาะสม ในช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น
เปรียบกับอาการป่วยของโรคแล้วการให้ยารักษาแบบเดิมๆเป็นระยะเวลานานๆนั้น มีความเสี่ยงที่ร่างกายจะดื้อยามากกว่าที่จะหายขาด
วิธีเช่นนี้สุ่มเสี่ยงมากนะครับที่จะทำให้คนไทยส่วนใหญ่ในภาคอื่นๆที่รับข้อมูลข่าวสารความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ตั้งข้อสงสัยได้ว่า หมอ “เลี้ยงไข้” หรือเปล่า
เพราะฉะนั้น พอเกิดเหตุคนร้ายบุกยิงพระวัดรัตนานุภาพ อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส จนมรณภาพและบาดเจ็บสาหัส เมื่อวันที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา ทำให้ผมต้องตั้งคำถามกับตัวเองอยู่เหมือนกัน
ประการแรก คือ เมื่อยุทธวิธีการก่อเหตุของผู้ก่อความไม่สงบตลอดระยะเวลากว่า 15 ปี เป็นการ “ลอบฆ่า” โดยเรายังไม่สามารถระบุได้ว่าใครหรือองค์กรไหน คือ “ผู้สั่งการ” ที่มีอำนาจสูงสุด
เช่นเดียวกับทางการเองก็ยังเดินหน้าเปิดโต๊ะ “เจรจา” กับใครก็ไม่รู้ ที่รับประกันกับคนในพื้นที่ไม่ได้ว่าสถานการณ์ความรุนแรงจะยุติทันที
นั่นหมายความว่าที่ผ่านมา 15 ปี รัฐได้ตกเป็น “ผู้สูญเสีย” ในปัญหานี้อย่างแท้จริง คือเสียทั้งเวลา งบประมาณ และบุคลากร
แล้วเราจะยังต้องเป็นผู้สูญเสียอีกนานเท่าไรก็ไม่มีใครตอบได้เช่นกัน
ประการที่ 2 คือ ผมคิดว่าวิธีการปฏิบัติหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นช่างละมุนละม่อม ละเมียดละไม อ่อนหวานเหลือเกิน
เนื่องจากการออกแถลงการณ์ประณามผู้ก่อเหตุนั้น ไม่ได้สร้างแรงกระเพื่อมใดๆให้บรรดาผู้ก่อความไม่สงบได้สะทกสะท้านหรือรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น “แถลงการณ์ประณาม” มันยังไม่สามารถสะกิดให้คนในชาติเกิดความรู้สึกร่วมในความรุนแรงครั้งนี้ด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะมาจากองค์กรหรือหน่วยงานใด กี่ฉบับก็ตามที
เรากำลังอยู่ในภาวะ “ชินชา” กับสถานการณ์ความไม่สงบทั้งๆที่ครอบครัวของผู้สูญเสียเหล่านั้นกำลังโศกเศร้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเพิ่มมากขึ้นทุกครั้ง
ผมยอมรับด้วยว่า มันคงไม่มีวิธีอื่นใดที่จะทำได้ดีไปกว่าการออกแถลงการณ์ประณามเหตุฆ่าพระสงฆ์ นักบวช ไม่ว่าการกระทำนั้นต้องการสร้างความแตกแยก-เกลียดชังทางศาสนาหรือไม่
เพราะอย่างน้อยมีแถลงการณ์ก็ยังดีกว่าไม่มีปฏิกริยาใดๆ
นอกจากนี้มันยังได้ยึดพื้นที่ข่าวในทุกช่องทางการสื่อสารซึ่งมองแล้วก็ไม่ต่างอะไรไปจากการประชาสัมพันธ์ผลงานให้กับผู้ไม่หวังดีอีกทางหนึ่ง
ผมเพียงแต่คิดว่าเวลาได้ผ่านมาจนป่านนี้แล้ว เหตุใดรัฐบาลยังคง “ตั้งรับ” รอให้ผู้ก่อความไม่สงบลงมือก่อนอยู่บ่อยครั้ง
15 ปีแล้วที่มาตรการอันนุ่มนิ่ม ประนีประนอมให้เกียรติ อันเปรียบเหมือนเราเปิดหน้าเข้าใส่รอให้คนอื่นชกนั้น
ทำไมเราจึงยังไม่สามารถโต้กลับเป็นฝ่ายรุกบ้าง เพื่อจะก้าวไปสู่การ “ปิดเกม” ในท้ายที่สุด
สังคมเราทุกวันนี้มีแถลงการณ์อะไรต่อมิอะไรเยอะแยะไปหมด ออกมาได้ไม่กี่ชั่วโมงก็หมดความหมาย ไม่มีใครจดจำหรือทำตามด้วยซ้ำ
มาตรการหรือพิธีการอะไรที่มันซ้ำๆ มันก็ไม่แปลกเลยที่เราจะเฉยๆกับมัน
นาทีนี้ ปีนี้ ผมอยากเห็นการไล่ล่าครับ