คอลัมน์ อาชญา (ลง) กลอน
โดย…ธนก บังผล
คนไทยไม่ใช่ชนชาติเดียวบนโลกนี้ที่นิยมเสพละครน้ำเน่าจนเข้าเส้น แต่น่าจะเป็นเพียงเผ่าพันธุ์เดียวที่แยกไม่ออกระหว่างเรื่องจริงกับเรื่องแต่ง
นี่ไม่ได้เป็นข้อกล่าวหาที่เกินไปนะครับ คิดดูก็แล้วกันว่าชีวิตคู่ของคนสองคน กลับกลายโยงใยจนเกิดความเสื่อมเสียไปถึง 5 คนเพราะใคร ถ้าไม่ใช่บรรดาขาเผือกเรื่องชาวบ้าน ที่ทำให้เรื่องไม่เป็นเรื่องกลายเป็นคดีความจนต้องฟ้องร้องกัน
ข่าว “แอฟ-สงกรานต์” ที่เริ่มต้นด้วยการออกมายอมรับว่าแยกกันอยู่ เรื่องแค่นี้สายมโนก็ละเมอไปถึงเรื่องเตียงหัก หย่าร้าง ทั้งๆที่ความจริงแล้วการแยกกันอยู่นั้นไม่ใช่เรื่องแปลกในสังคมยุคใหม่ และการแยกกันอยู่ก็ไม่ได้ความว่าเลิกรา เนื่องจากต่างคนต่างก็มีภารกิจที่ต้องใช้ชีวิตซึ่งไม่จำเป็นว่าต้องอยู่ติดกันตลอด 24 ชั่วโมง
เป็นจังหวะเดียวกับที่ละคร “เพลิงบุญ” กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม งานนี้สายมโนโซเชียลที่อินกับกลิ่นน้ำเน่าเลยต้องลากใครสักคนออกมาด่าประจานขุดประวัติรูปภาพถล่มให้เสียหายสาสมกับระดับความเผือกในเส้นเลือด
ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมน้องกวาง อรการ จิวะเกียรติ ถึงต้องออกมาแจ้งความกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) กับเพจคำขวัญ ชั้นใต้ดิน และเหล่าบรรดาลูกเพจเกรียนคีย์บอร์ดผู้โงหัวจากละครไม่ขึ้น
ข้อความแต่ละคอมเมตน์นั้น ทั้งเหยียดหยาม ดูถูกศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างที่สุดยากจะอภัยให้ได้ ไม่เพียงเท่านั้นยังกล่าวหาด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จให้เสื่อมเสียไม่มีชิ้นดี ซึ่งกรณีนี้ต้องเอาให้ถึงที่สุดครับ
เพจคำขวัญใต้ดิน ซึ่งชิ่งปิดหนีไปแล้วนั้น ยังขุดเอาภาพ “ลูก” ของสงกรานต์และแอฟ ซึ่งยังเป็นเด็กเล็กไม่รู้อิโหน่อิเหน่ มาเปิดเผยใบหน้าและเต้าข่าวขึ้นมาอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย
ผมขอย้ำว่าตรงนี้สำคัญมากและนอกจากน้องกวางจะ ฟ้องข้อหาหมิ่นประมาท นำเข้าข้อมูลเป็นเท็จตามพ.ร.บ.คอมฯ แล้ว ตำรวจจะนำเอากฎหมายที่คุ้มครองสิทธิเด็กมาบังคับใช้เพิ่มเติมได้หรือไม่
ไม่เพียงแค่ลูกที่ตกเป็นเหยื่อ เพจดังยังไปตามขุดเฟซบุ๊ก อินสตาแกรมของพ่อคุณสงกรานต์ และแม่ของน้องแอฟ ที่โพสต์ภาพกับหลานตัวน้อยอีก อย่างนี้หมายความว่าอะไรครับ สุดท้ายใครได้ ใครเสีย ตอนทำใช้อะไรคิด แล้วโตมาเด็กต้องมาถูกตราหน้าจากข่าวที่ไม่จริงวันนี้อย่างไร
การนำภาพหรือข้อมูลของผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องมาเผยแพร่ ใส่ความ บิดเบือนให้สังคมเข้าใจผิดจนทำให้คนหลายคนต้องเสียหาย แค่ปิดเพจนั้นพื้นๆมาก เราคงจะได้เห็นว่า พ.ร.บ.คอมฯ ที่ได้ขึ้นชื่อว่ามีโทษสถานหนัก จะสามารถบังคับใช้กับแอดมินเพจฉาวนี้อย่างไร
ตำรวจกับสื่อมวลชน มีหลักการพื้นฐานการทำงานคล้ายกันในประเด็น “พยาน” เนื่องจาก หากบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดีหรือข่าว ตำรวจจะไม่ให้น้ำหนักเป็นพยานในสำนวน ซึ่งนั่นก็เป็นหลักการเดียวกับสื่อมวลชน ที่เราจะไม่ไปถามคนข้างบ้านผู้ต้องหา ไม่ไปถามลุงที่อยู่ต่างจังหวัด เพื่อนำมาเป็นข่าว แต่ปรากฏว่าสื่อสมัยนี้อย่าว่าแต่คนข้างบ้านเลยครับ รูปในอินสตาแกรมของใครก็ไม่รู้ก็สามรถเอามาเป็นข่าวได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม การโพสต์ภาพเด็กเล็กในบางประเทศนั้นถือเป็นเรื่องผิดกฎหมายนะครับ เนื่องจากเป็นกี่ประจานเด็กที่ไม่เต็มใจให้ถ่ายและเผยแพร่ กว่าจะโพสต์ได้ต้องรอให้เด็กอายุ 13 ปี แต่ก็อย่างว่าละครับ พอมาเป็นคนไทยปุ๊บ ก็กลายเป็นว่ามันเป็นสิทธิของฉัน นี่ลูกของฉัน ฉันจะถ่าย ฉันจะโพสต์ใครจะทำไม
ตำรวจซึ่งมีหน้าที่ป้องกันพยายามเตือนกันแล้วแต่คนไทยนั้นไม่รู้ว่าดื้อหรือไม่ใส่ใจ คือ วัวยังไม่หายก็เลยไม่ล้อมคอก คดีประเภทอาชญากรติดตามจากโซเชียลมีเดียแล้วลักพาตัวเด็กอะไรแบบนี้ยังไม่ชัดเจน ก็เลยไม่เห็นว่าจะต้องทำตามคำเตือนไปเพื่ออะไร …ก็สุดแท้แล้วแต่ครับ เรื่องของใครก็ของมัน
สุดท้ายนี้ประเด็นที่น่าเบื่อมากกว่าการโพสต์รูปเด็กก็คือ การให้ความเห็นแบบที่เรียกว่าเกรียนคีย์บอร์ด ที่มักจะจบลงด้วยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ตำรวจโซเชียลลองหามาตรการที่ดำเนินคดีให้เข็ดหลาบขึ้นมาหน่อยจะดีมากครับ
อินสตาแกรมที่สร้างมาเพื่อแอนตี้นักกีฬาวอลเล่ย์บอลสาวไทยนั้น เข้าข่ายสถุลเถื่อนกันอย่างหนัก รอเพียงแต่ว่าเมื่อไหร่จะมีใครไปแจ้งความเท่านั้นเอง