เรื่องนี้ต้องถึงหู “บก.ปอท.”
คอลัมน์ อาชญา (ลง) กลอน
โดย…ธนก บังผล
เกือบ 1 ปีเต็มๆ ที่ “สารวัตรนุ้ย” พ.ต.ท.หญิง รักตาภา วงษ์ยอด สว.ฝอ.กต.4 จเรตำรวจ และ “ผู้กองรส” ร.ต.อ.หญิง ธัญญ์ธวัล คดด้วง รองสว.คอมมานโด กองปราบปราม เข้าแจ้งความกับ พ.ต.ต.สราวุธ บุตรดี สารวัตร(สอบสวน) สน.บางเขน ให้ดำเนินคดีกับผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กชื่อ Oangkhana Thana ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และผิดพรบ.คอมพิวเตอร์
โดยเมื่อวันที่ 28 พ.ย.ปีที่แล้ว ผู้ต้องหาได้นำภาพของ ร.ต.อ.หญิง ธัญญ์ธวัล ไปใช้เป็นรูปโปรไฟล์ส่วนตัวในเฟซบุ๊ก และได้แอบอ้างว่าเป็นตัวเอง แล้วนำไปเพิ่มเพื่อนที่เป็นตำรวจด้วยกันเพื่อให้คนที่เข้ามาติดตามเชื่อว่าเป็นตำรวจจริง ก่อนที่จะไปโพสต์ข้อความหมิ่นประมาท พ.ต.ท.หญิง รักตาภา จนทำให้ได้รับความเสียหาย และเสื่อมเสียชื่อเสียงด้วยถ้อยคำหยาบคายหลายครั้ง
ร.ต.อ.หญิงธัญญ์ธวัล หรือ “ผู้กองรส” เปิดเผยว่า แรกเริ่มทีเดียวนั้นพบว่ามีผู้นำเอารูปภาพของเธอไปเป็นรูปโปรไฟล์พร้อมทั้งเรียกแทนตัวเองว่า “ผู้กองรส” ด้วย แต่ชื่อเฟซบุ๊กนั้นใช้ชื่อว่า Oangkhana Thana
“จากการที่เค้าใช้รูปของเรา มาปลอมเป็นเรานั้น ก็มีคนเข้าไปติดตามในเฟซบุ๊กเค้าเยอะเหมือนกัน แล้วเค้าก็จะไปคอนแท็คกับตำรวจที่เป็นเพื่อนเราเพื่อให้คนที่ติดตามเค้าเข้าใจว่าเป็นตำรวจจริงๆ จนกระทั่งเค้าเอาเฟซบุ๊กที่ปลอมเป็นเราไปมีเรื่องมีราวกับสารวัตรนุ้ย แล้วทางแฟนคลับของสารวัตรก็มาด่าเรา ซึ่งถ้าพูดกันจริงๆเลยก็จะบอกว่าหนูสืบจนรู้แล้วว่าเป็นใคร และก็ได้โทรไปบอกเค้าด้วยตัวเองว่าให้ลบรูปหนูออก ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะจัดการเด็ดขาด ซึ่งหลังจากพูดคุยกันแล้วเค้าก็ยอมเอารูปออกนะ” ผู้กองรส เล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งที่เรื่องยังร้อน
นอกจากจะนำรูปของเธอไปปลอมเป็น “ผู้กองรส” แล้ว ประเด็นสำคัญคือการไปมีเรื่องราวกันบนเฟซบุ๊กกับ “สารวัตรนุ้ย”
หลังจากที่สารวัตรนุ้ยรู้แล้วว่ามีคนปลอมเฟซบุ๊กผู้กองรส ก็เลยโพสต์ในทำนองที่บอกว่านี่เป็นเฟซบุ๊กปลอม ซึ่งทางผู้ต้องหาได้ตอบโต้มาด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย ทำให้ตำรวจหญิงทั้ง 2 นายต้องเข้าแจ้งความกับ สน.บางเขน
“แจ้งความแล้วเค้าก็ยังไม่หยุดนะ ก็ยังมีตอบโต้กัน ก็อย่างที่บอกละค่ะว่าเราก็ได้โทรไปหาเค้าเองเลย เพราะเราสืบมารู้หมดแล้ว ได้หลักฐานทั้งหมดมาก็ถึงไปแจ้งความ ก็บอกเค้าว่าให้ลบรูป ซึ่งเค้าก็ยอม แล้วเราก็ไม่ค่อยอยากจะมีเรื่องอะไร” ร.ต.อ.หญิงธัญญ์ธวัล ให้ความเห็น
จนกระทั่ง ล่าสุดเมื่อวันที่ 2 พ.ย. ทาง สน.บางเขน นำโดย พ.ต.อ.เอกชัย บุญวิสุทธิ์ รรท.ผบก.น.2 , พ.ต.อ.อำนาจ อินทรศวร ผกก.สน.บางเขน ,พ.ต.ท.เสน่ห์ มณีฉาย สว.สส. และเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.บางเขน ได้ร่วมกันทำการสอบสวน น.ส.อังคณา ดานาคำ อายุ 36 ปี อาชีพแม่บ้าน ซึ่งโดนจับกุมได้ที่บ้านพักที่ อ.ด่านมะขามเตี้ย จ. กาญจนบุรี
ซึ่ง น.ส.อังคณาได้ยกมือไหว้และขอโทษสารวัตรนุ้ย ก่อนให้การรับสารภาพว่า แต่ยืนยันว่าไม่เคยโพสด่าว่าใครที่มีปัญหาดังกล่าว น่าจะมาจากการโดนแฮกข้อมูล และเอาไปใช้ในทางที่ผิดจนเกิดเรื่องขึ้น ทั้งนี้ ตำรวจได้ดำเนินคดี น.ส.อังคณา ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา
นั่นเป็นกรณีการปลอมเฟซบุ๊กด้วยการใช้รูปภาพของผู้เสียหายที่เป็นตำรวจมาแอบอ้างหลอกลวงให้คนอื่นเชื่อว่าเป็นตำรวจ ก่อนจะนำไปโพสต์ข้อความด่ากันจนเป็นคดีหมิ่นประมาท
ในกรณีที่ผู้ต้องหาอ้างว่าเฟซบุ๊กโดนแฮกนั้น จริงๆแล้วผมเองก็เคยโดนแฮกเฟซบุ๊กเช่นกัน ด้วยสืบได้ว่าเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่ได้ใช้แล้ว ซึ่งปล่อยให้ขาดไปไม่ได้ยกเลิก ทางศูนย์บริการได้นำไปขายต่อให้กับผู้อื่น โดยเบอร์โทรศัพท์นั้นเป็นเบอร์ที่ถูกผูกไว้กับเฟซบุ๊กของผม
โดยคนที่เข้ามาแฮกเฟซบุ๊กผมนั้น ได้ทำการเปลี่ยนรูปโปร์ไฟล์ แล้วโพสต์จากในเฟซบุ๊กผมเองเลย อีกทั้งมีความพยายามจะเพิ่มเบอร์โทรศัพท์เบอร์อื่นเข้ามาเพื่อแก้ไขอีกด้วย ซึ่งเมื่อนำหลักฐานต่างๆไปให้ตำรวจในท้องที่ ก็ทำการลงบันทึกประจำวัน แล้วก็ไม่มีอะไรคืบหน้าให้ทราบเลยจนถึงขณะนี้
หากมาเทียบกับผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้ประกาศข่าวช่องหนึ่ง ที่ถูกเพจบันเทิงตีไข่ใส่สีว่าเธอเป็นมือที่สาม ทำให้ครอบครัวดารานักแสดงรายหนึ่งต้องเลิกกัน โดยทางผู้ประกาศสาวได้เดินทางไปแจ้งความที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ บก.ปอท.
แต่สุดท้ายทาง ปอท. ได้ออกมาแนะนำประชาชนว่าหากมีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นสามารถแจ้งความได้กับ สถานีตำรวจในท้องที่ได้เลย ไม่ต้องไปถึง ปอท. ซึ่งสร้างความงุนงงกับผมมาก แน่นอนครับว่าการแจ้งความนั้นจะทำให้ผู้เสียหายสะดวกต่อการเดินทาง แต่เครื่องไม้เครื่องมือ หรือความชำนาญตำรวจท้องที่จะทำได้จริงเหมือนที่ สน.บางเขนตามจับตัวคนร้ายในคดีปลอมเฟซบุ๊กตำรวจสาวหรือไม่
ประเด็นที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือ การนำภาพเอาลูกของดาราทั้งคู่ พ่อและแม่ซึ่งไม่เกี่ยวข้องมาเผยแพร่ มีความผิดสร้างความเสื่อมเสีย ตามกฎหมายคุ้มครองสิทธิเด็กและเยาวชน ก็ถูกปัดตกไปเพราะผู้ประกาศข่าวสาวไม่มีการฟ้องร้องเอาไว้
ผมยังเชื่อว่าคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีจะมีเพิ่มมากขึ้น และถ้าจะให้มีประสิทธิภาพจริงๆ ตำรวจควรคำนึงถึงความเสียหายด้วยเช่นกัน สิ่งที่ให้ไปแจ้งความกับโรงพักในพื้นที่นั้นดีแล้วครับ แต่จะมีการทำงานเชื่อมโยงกับหน่วยงานที่มีเครื่องมือพร้อมกว่าอย่างไร ใช้เวลานานเท่าไหร่ ตรงนี้น่าสนใจมาก
อย่าให้คนร้ายเกลื่อนเมือง โดยที่ตำรวจทำอะไรชักช้าเลยครับ
(ขอบคุณภาพจาก เนชั่น)