ตอน 2
ทั้งคู่มีห้องนอนส่วนตัวของใครของมัน แต่ละคนอายุราว 70 ปี หรืออาจจะมากกว่านั้นก็ได้ ยังคงแข็งแรงดี แน่ล่ะแม้สักเสี้ยวหนึ่งก็ตาม ผมรู้ดีว่าหมายถึงอะไร แต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นไปเสียทั้งหมด เพียงแต่คิดถึงอาจารย์สเปนเซอร์อยู่บ่อย ๆ
ถ้าคิดมากหน่อยก็เพียงแค่สงสัยว่าท่านอยู่ทำไมมาจนเฒ่าปูนนี้ หลังโก่งโค้งดูแย่เอามาก ๆ ยิ่งตอนอยู่ในห้องเรียนทำชอล์กหล่นหน้ากระดานดำ นักเรียนแถวหน้าลุกเก็บชอล์กไม่หยุดหย่อน ส่งให้ท่านทุกที ดูน่าสมเพชนะในความคิดของผม
แต่ถ้าคุณตระหนักได้ถึงตัวท่านไม่ต้องมากนักก็ได้ คุณมองออกชัดว่าท่านก็ไม่ได้ทำอะไรที่แย่มากมาย
มีคราวหนึ่งวันอาทิตย์ผมกับเพื่อนคนหนึ่ง แวะไปเยี่ยมท่าน หาช็อกโกแลตร้อนๆ ดื่ม ท่านฉวยผ้าห่มนาวาโฮผืนเก่าคร่ำครึ ออกมาอวด ซึ่งท่านกับภรรยาซื้อมาจากชาวพื้นเมืองอินเดียนคนหนึ่งที่อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน
บอกได้เลยแหละว่าท่านทั้งคู่โดนต้มเปื่อยเลยทีเดียว มันแย่มากนะที่หลอกลวงคนเฒ่าคนแก่อย่างท่านได้ยังไงวะ
ประตูเปิดอยู่ก่อนแล้ว แต่ผมก็เคาะไปตามมารยาทที่ดี มองเหมือนไม่เห็นตัวท่าน ท่านนั่งเก้าอี้บุด้วยขนนกตัวเขื่อง มีผ้าห่มผืนที่ว่าคลุมเกือบตลอดร่าง ท่านจ้องมองผม
“นั่นใครน่ะ?” ท่านเอ่ยขึ้น“คอลฟีลด์เหรอ เข้ามาสิ” ท่านส่งเสียงดังแบบที่ชอบทำเวลาอยู่นอกห้องเรียน น่ารำคาญเหมือนกันนะ
นาทีแรกที่ก้าวเท้าเข้าไปในห้อง ผมก็รู้สึกแย่ คิดว่าไม่น่ามาเลยท่านกำลังอ่านนิตยสารรายเดือน ดิ แอตแลนติก มันทลี่ มียาน้ำแผงยาเม็ดวางอยู่รอบ ๆ แถมมีกลิ่นยาดมวิคส์ฟุ้งตลบอบอวลไปทั่วห้องแทบหายใจไม่ออก
ผมน่ะไม่รู้สึกรังเกียจคนป่วยไข้เท่าไหร่นัก แต่นี่มันช่างอึดอัดบีบคั้นความรู้สึก ตรงที่ท่านสเปนเซอร์ดูเศร้าสร้อยหงอยเหงาอย่างไรพิกลในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำเก่าคร่ำคร่า ยังกับว่าท่านเกิดมาพร้อมกับสวมชุดนั้นเลย
จริง ๆ นะ ผมไม่อยากมองผู้ชายที่สวมชุดคลุมอาบน้ำเลยให้ตายพับผ่า ยิ่งเห็นร่องอกเหี่ยว ๆ ท่อนขาซีดเซียวของคนแก่อย่างที่พบเห็นเดินตุปัดตุเป๋ตามชายหาดแล้ว ดูช่างน่าสะอิดสะเอียนชวนแหวะ
“หวัดดีครับอาจารย์” ผมทักทาย “ผมได้รับโน้ตของท่านแล้ว ขอบพระคุณมากครับ” ท่านเขียนโน้ตถึงผม บอกให้แวะมาเยี่ยมอำลาก่อนช่วงวันหยุดยาวจะเริ่ม ด้วยเพราะว่าผมจะไม่กลับมาอีกแล้ว “ท่านไม่จำเป็นต้องส่งโน้ตถึงผมเลย ยังไงผมก็ต้องแวะมาบอกลาท่านอยู่แล้วครับ”
“นั่งลงสิ” อาจารย์สเปนเซอร์เชิญให้ผมนั่งบนเตียงนอนของท่าน
ผมนั่งลงทันที “เป็นยังไงบ้างครับ อาการไข้ของอาจารย์”
“อือม์ ถ้าฉันอาการดีขึ้นสักนิดหน่อย ก็ต้องถูกส่งไปหาหมอแล้ว” ท่านตอบ เหมือนโดนจี้ตรงประเด็นแล้ว เริ่มออกท่าทีเชิด ยังกับคนสติไม่ค่อยดี แต่ในที่สุดก็หยุดนิ่ง แล้วเอ่ย “ทำไมเธอไม่ลงไปดูเกมฟุตบอลกับเขาล่ะฮึ ฉันคิดว่ามันเป็นเกมที่น่าดูนะ”
“คงยังงั้นมั้ง ผมเพิ่งกลับมาจากนิวยอร์ก กับพวกทีมนักฟันดาบครับ” ผมตอบ อนิจจาเตียงของท่านมันแข็งยังกับเตียงหินแน่ะ
ท่านวางท่าเคร่งเครียด “เธอจะไปจากเราแล้วสินะ”
“ครับ อาจารย์ คงอย่างนั้นแหละครับ”
เอาอีกแล้ว ท่านเริ่มพยักหน้าหงึก ๆ อย่างต่อเนื่อง เชื่อเลยว่าคุณคงไม่เคยเห็นใครผงกศีรษะได้บ่อย ๆ เท่ากับท่านสเปนเซอร์ไม่รู้หรอกว่าที่ทำแบบนี้ท่านกำลังใช้ความคิดอยู่หรือเปล่า หรืออาจเพียงแค่คนแก่ใจดีที่ไม่รู้เรื่องอะไรมากนัก
“อาจารย์เธอร์เมอร์บอกอะไรเธอมั่งล่ะ ฉันรู้ว่าเธอไม่ค่อยจะไปทักทายท่่านหรอกนะ”
“ครับ ก็คุยกันบ้างเหมือนกัน ผมไปพบท่านที่ห้องทำงานของท่านนานเกือบสองชั่วโมงครับ”
“ท่านพูดอะไรกับเธอบ้างหือ”
“เอ่อ ก็เกี่ยวกับชีวิตก็เหมือนเกมอะไรทำนองนั้นแหละครับคุณต้องเคารพกฎกติกา ท่านไม่ได้เอาจริงเอาจังอะไรมากนัก พูดถึงแต่วิถีการดำเนินชีวิตหรือชีวิตก็เปรียบเหมือนเกมกีฬาอะไรทำนองนั้น”
“ชีวิตคือเกม นะลูก ชีวิตคือเกมที่ผู้เล่นต้องยึดตามกฎและกติกา”
“ครับอาจารย์ ผมก็รู้ครับ จริง ๆ นะ”
เกม…บ้าฉิบหาย เกมบางอย่าง ถ้าคุณอยู่ข้างฝ่ายที่มีแต่คนเก่ง ๆ นั่นแหละถึงเรียกว่า เกม ผมยอมรับ แต่ถ้าหากคุณไปอยู่กับอีกฝ่ายหนึ่งล่ะ ไม่มีตัวเก่ง ๆ เลย อย่างนั้นจะเรียกว่าเป็นเกมได้มั้ยล่ะไม่ใช่เลย ไม่ใช่เกมอะไรหรอกว่ะ
“แล้วท่านเธอร์เมอร์ส่งหนังสือแจ้งให้ถึงผู้ปกครองของเธอหรือยังล่ะ” ท่านสเปนเซอร์ซักต่อ
“ท่านบอกว่าจะเขียนส่งไปวันจันทร์นี้ครับ”
“เธอล่ะ ติดต่อกับพ่อแม่บ้างหรือเปล่าหือ”
“เปล่าครับเพราะถึงยังไงผมก็ต้องกลับไปหาท่านทั้งสองอยู่แล้ว คืนวันพุธนี้แหละครับ”
“คิดหรือเปล่าว่า พ่อแม่เธออาจจะทราบเรื่องแล้ว”
“เอ่อ ท่านคงหงุดหงิดกับผมไม่น้อยแน่ครับ” ผมบอก “ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เพราะนี่เป็นโรงเรียนที่สี่แล้วที่ผมถูกไล่ออก” ผมส่ายศีรษะไปมา ผมมักทำท่าอย่างนี้เสมอ ๆ
“ไอ้หนูเอ๊ย” ผมพูดโพล่ง ผมมักใช้คำว่า “ไอ้หนูเอ๊ย” ติดเป็นนิสัย ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะผมใช้ภาษาไม่ได้เรื่องได้ราว
อีกอย่างหนึ่งผมชอบทำตัวเหมือนเด็ก ๆ รุ่นราวคราวเดียวกัน ผมอายุสิบหกปีในตอนนั้น ตอนนี้อายุสิบเจ็ดแล้ว แต่บางทีก็ทำตัวราวกับอายุแค่สิบสาม ช่างน่าสมเพชจัง
รูปร่างผมสูงหกฟุตสองนิ้วครึ่ง แถมมีผมหงอกแซมประปรายบ้างแล้ว เรื่องจริง ๆ นะ ข้างศีรษะซีกขวาเส้นผมสีเทานับล้านเส้น มันเกิดขึ้นตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก แต่ผมก็ทำตัวราวกับเป็นเด็กอายุสิบสองขวบ พ่อผมก็บอกอย่างนั้น
มันก็มีส่วนถูกอยู่บ้างแต่ไม่ใช่ทั้งหมด บางคนทึกทักเอาว่าเป็นเรื่องจริงเสมอ ผมไม่สนใจห่าเหวอะไรหรอก แต่เบื่อ ๆ เซ็ง ๆ มาจู้จี้กับการวางตัวของผม บางทีผมก็ทำตัวให้ดูแก่กว่าอายุด้วยซ้ำไป จริง ๆ นะ ไม่เห็นจะมีใครสังเกตบ้าง คนเราก็ไม่ได้สังเกตจ้องมองอะไรทุกอย่างหมดหรอก
ท่านสเปนเซอร์เริ่มผงกศีรษะหงึก ๆ อีกแล้ว ทั้งยังแคะจมูกอีกทำเหมือนกับว่าแค่เขี่ยไปมา แต่ใช้นิ้วหัวแม่มือแยงเข้ารูจมูก คิดว่าที่ท่านทำอย่างนั้นเพราะคิดว่ามีแค่ท่านกับผมอยู่ในห้อง ผมไม่ได้ใส่ใจอะไรนักหรอก เพียงแต่รู้สึกขยะแขยงนิดหน่อย ถ้าให้มานั่งจ้องมองคนแคะจมูก
แล้วอาจารย์สเปนเซอร์ก็เอ่ยว่า “ฉันไปพบพ่อแม่ของเธอแล้วตอนที่ท่านมาคุยกับท่านเธอร์เมอร์เมื่อสองสามอาทิตย์ก่อนท่าทางทั้งสองท่านน่านับถือมากทีเดียว”
“ใช่แล้วครับ ทั้งสองท่านเป็นคนน่ารัก”
“น่าเคารพนับถือ” เป็นวลีที่ผมเกลียดนัก โกหก ผมอยากจะอ้วกทุกครั้งที่ได้ยินคำ ๆ นี้
ชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนท่านสเปนเซอร์มีอะไรที่คมคายลึกซึ้งอยากจะบอกผม ท่านขยับเก้าอี้นั่งลึกลงไปอีก แล้วหมุนเก้าอี้ไปรอบ ๆ เหมือนเป็นสัญญาณเตือน ท่านวางนิตยสารดิ แอตแลนติก ม้นทลี่ ลงบนตัก พยายามเลื่อนหนังสือไปวางบนเตียงถัดจากที่ผมนั่งอยู่ แต่ก็พลาดจนได้ หนังสือหล่นลงพื้นทันใด
ผมก้มลงไปหยิบขึ้นมาวางบนเตียง วินาทีนั้นผมอยากจะเผ่นออกจากห้องของท่านไปเสียจริง ๆ ผมรู้สึกว่าการบรรยายอันชวนน่าขนลุกกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว จริง ๆ แล้วผมไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก กับความคิดของผมแต่ก็เบื่อการบรรยายเลกเชอร์ รวมทั้งกลิ่นยาดมวิคส์และภาพชายชราในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำไปพร้อม ๆ กัน ไม่ชอบเลยจริง ๆ พับผ่า
เข้าเรื่องเสียที “เรื่องของเธอเป็นยังไง?” อาจารย์สเปนเซอร์ถามอย่างตะกุกตะกัก “เธอลงทะเบียนเรียนกี่วิชาล่ะเทอมนี้”
“ห้าครับท่าน”
“ห้าเลยเหรอ แล้วสอบตกกี่วิชาล่ะ?”
“สี่ ครับ” ผมขยับตัวเล็กน้อยบนเตียงที่แข็งโป๊กที่สุดเท่าที่เคยนั่ง
“ผมสอบผ่านวิชาภาษาอังกฤษครับ” ผมตอบ “เพราะผมเรียนมาหมดแล้วทั้งเรื่องบีโอวูลฟ์ กับ ลอร์ด แรนดัล มาย ซัน ตอนที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนวูตัน เลยไม่ต้องทำการบ้านมากนักในวิชาภาษาอังกฤษ ยกเว้นพวกคำบุพบทที่ต้องทำบ้างเท่าน้้น”
ความจริงอาจารย์ไม่ได้ฟังผมหรอก ท่านแทบไม่เคยฟังใครขณะที่คู่สนทนากำลังเอื้อนเอ่ยสาธยายให้ท่านฟัง
“ฉันน่ะไม่ให้เธอสอบผ่านวิชาประวัติศาสตร์ไปได้ง่าย ๆ หรอกนะ เพราะเธอไม่รู้อะไรเลยสักนิด”
“ผมทราบดีครับ ไอ้หนูเอ๊ย ผมทราบครับ ท่านช่วยอะไรผมไม่ได้อยู่แล้ว”
“ไม่รู้อะไรเลยจริง ๆ” อาจารย์สเปนเซอร์ย้ำอีก
มันยิ่งทำให้ผมแทบจะบ้า ถ้ามีใครมาพูดตอกย้ำอยู่นั่นแล้ว หลังจากผมยอมรับไปตั้งแต่แรกแล้ว อาจารย์ยังจจะพูดซ้ำเป็นครั้งที่สามอีก“ไม่รู้อะไรเลยจริง ๆ ฉันล่ะข้องใจมาก ๆ เธอไม่เคยเปิดหนังสืออ่านเลยสักครั้งเดียวตลอดเทอมใช่มั้ย พูดตรง ๆ เลยลูกชาย”
“เอ่อ ผมเปิดดูครั้งสองครั้งเองครับ” ผมบอกท่าน ผมไม่อยากทำร้ายความรู้สึกของท่านหรอก เพราะท่านจริงจังกับวิชาประวัติศาสตร์มาก ๆ
“เธอเปิดอ่านจริงเหรอ” อาจารย์สเปนเซอร์ถามด้วยน้ำเสียงประชดประเทียดเสียดสีมาก “ข้อสอบ…เอ่อ…ของเธอวางอยู่บนสุดบนชั้นผ้าแพรกำมะหยี่นั้นแหละ หยิบเอามาให้ฉันหน่อยซิ”
มันแย่เอามาก ๆ แต่ผมก็ไปหยิบมาให้ท่าน ผมไม่มีทางเลือกอีกแล้วนี่ จากนั้นผมก็หย่อนก้นนั่งลงบนเตียงแข็งราวซีเมนต์อีก ไอ้หนูเอ๊ย บอกไม่ถูกเลยว่ามันน่าอึดอัดขนาดไหนที่ผมต้องมากล่าวอำลาท่าน
ท่านประจงหยิบข้อสอบของผมราวกับชิ้นส่วนอะไรสักอย่าง“เราเรียนเรื่องของชาวอียิปต์ตั้งแต่วันที่สี่พฤศจิกายน ถึงวันที่สองธันวาคม” ท่านเอ่ย “เธอเลือกที่จะตอบด้วยเรียงความ เธออยากรู้มั้ยว่าเธอเขียนยังไง”
“ม่ายล่ะครับอาจารย์” ผมตอบ
อย่างไรก็ตาม ท่านยังคงอ่านต่อไป ไม่มีใครมาห้ามอาจารย์สเปนเซอร์ได้หรอก่ หากท่านต้องการจะทำอะไร ท่านจะทำทันที
“ชนชาวอียิปต์ในสมัยโบราณ เป็นพวกคอเคเซียน อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกาที่ทราบเป็นทวีปที่ใหญ่ที่สุดในซีกโลกตะวันออก”
ผมนั่งแข็งทื่อและฟังเสียงสั่น ๆ ตะกุกตะกักนั้น มันรู้สึกแย่เอามาก ๆ เลย
“ ‘เรื่องชาวอียิปต์โบราณ เป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก สำหรับพวกเราในปัจจุบันหลายประการ วิทยาการสมัยใหม่ยังต้องไขปริศนาว่าส่วนผสมตัวยาอะไรบ้างที่ชาวอียิปต์ใช้ในการรักษาสภาพร่างกายของผู้ล่วงลับไปแล้ว ที่ทำให้ใบหน้าไม่เน่าเปื่อยสลายนานนับหลายศตวรรษ ปริศนาที่น่าสนใจนี้ยังคงเป็นเรื่องที่ท้าทายวิทยาการในยุคปัจจุบัน ในศตวรรษที่ยี่สิบ’”
ท่านหยุดชั่วขณะ วางกระดาษข้อสอบของผมลง ผมชักไม่ค่อยชอบใจแล้วล่ะ
“ความเรียงของเธอ…จะว่ายังไงดี แค่นี้เองรึ?” น้ำเสียงยังฟังเสียดเย้ยหนักเข้าไปอีก คุณคงไม่คิดหรอกว่าคนแ่จะทำท่าประชดประชันเสียดสีได้ขนาดนี้ “เอาล่ะ…เธอยังหยอดโน้ตถึงฉันด้วย…ตอนท้ายของหน้า” ท่านว่า
“ผมทราบครับ” ผมตอบทันทีเพราะอยากจะหยุดท่าน ไม่ให้อ่านต่อไปอีก แต่ก็ไม่ทันกาลแล้ว ท่านเหมือนขนมปังกรอบที่ไหม้เกรียมและร้อนลวกมือ
“ ‘เรียนท่านสเปนเซอร์’” ท่านเริ่มอ่านเสียงดังขึ้น
“ ‘สิ่งที่ผมรู้และเข้าใจเกี่ยวกับชาวอียิปต์ก็มีเท่านี้แหละครับ ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้นัก แม้ว่าการบรรยายของท่านน่าสนใจเพียงใดก็ตามมันสมควรแล้วที่ท่านจะให้ผมสอบตกวิชานี้ ในขณะที่วิชาอื่น ๆ ผมก็สอบตกเหมือนกัน ยกเว้นภาษาอังกฤษ ขอแสดงความเคารพอย่างสูง โฮลเด้น คอลฟีลด์’”
ท่านวางกระดาษข้อสอบลง แหงะหน้าจ้องผมราวกับตบลูกปิงปองเอาชนะผมได้อย่างนั้น ผมให้อภัยไม่ได้หรอกที่ท่านอ่านกระดาษข้อสอบของผมเสียงดังลั่น ผมจะไม่ทำเช่นนั้นกับท่าน ถ้าท่านเป็นคนเขียนเอง…
ไม่ทำจริง ๆ ประการแรกผมแค่เขียนโน้ตห่วย ๆ เพื่อที่จะไม่ให้ท่านรู้สึกแย่ ในตอนที่จะต้องให้ผมสอบตกในวิชาของท่านเท่านั้นเอง
“เธอโกรธฉันหรือเปล่าที่ให้เธอตกวิชานี้หือลูกชาย” ท่านกล่าว
“เปล่าครับ” ผมตอบ ให้ตายห่าสิ เลิกเรียกผมว่าลูกชายเสียทีเถอะ
ท่านพยายามเขี่ยกระดาษข้อสอบของผมที่อยู่บนเตียง แต่ก็พลาดอีกจนได้ ผมต้องก้มลงเก็บยื่นส่งให้ท่านอีกครั้ง และวางนิตยสารดิ แอตแลนติก มันทลี่ น่าเบื่อฉิบ…ต้องเก็บกระดาษข้อสอบทุก ๆ สองนาที
“เธอจะทำยังไง ในฐานะที่เป็นฉัน” ท่านพูด “พูดตรง ๆเลยลูกชาย”
ท่านคงเวทนาสงสารตัวเองที่ให้ผมสอบตกเหลือเกิน ผมฉวยโอกาสเล่าเรื่องโกหกยกเมฆแล้ว ผมตอบท่านไปตามความสัตย์จริงว่าผมจะทำแบบที่ท่านทำ ถ้าผมเป็นท่าน นั่นเป็นเรื่องที่คนทั่วไปไม่ใส่ใจว่าการเป็นครูมันลำบากหนักหนาแค่ไหน อะไรทำนองนั้น เหมือนกระทิงเฒ่าตัวหนึ่งจริง ๆ
น่าขันจังที่ผมคิดไปได้เรื่อยเปื่อยขณะปั้นน้ำเป็นตัว ผมอยู่ที่นิวยอร์กและกำลังหวนคิดถึงบึงในสวนสาธารณะเซ็นทรัลปาร์คทางตอนใต้ของเซ็นทรัลปาร์ค ผมเป็นห่วงกังวลว่าถ้าน้ำในบึงจับเป็นน้ำแข็งไปหมด มันจะเป็นยังไง แล้วพวกนกเป็ดน้ำจะไปอยู่เสียที่ไหนล่ะ ผมล่ะเป็นห่วงจริง ๆ ว่าพวกเป็ดจะไปไหน ถ้าบึงกลายเป็นแผ่นน้ำแข็งไปหมด ผมคิดว่าคงมีเจ้าหน้าที่สวนสัตว์มาจับมันไปใส่รถบรรทุกขนไปอยู่ในสวนสัตว์ที่ใดที่หนึ่ง หรือว่ามันก็แค่บินหนีไปเองหมด
ผมโชคดีจริง ๆ หมายถึงผมปั้นน้ำไปเรื่อยให้ท่านสเปนเซอร์ฟัง ขณะที่ในหัวกำลังคิดไปถึงพวกเป็ดโน่น มันตลกดีนะ คุณไม่ต้องคิดมากเลยขณะคุยกับอาจารย์ ชั่วแวบหนึ่งท่านขัดขึ้นขณะที่ผมปั้นแต่งเรื่องอยู่ ท่านชอบขัดคอคนเสมอ
“แล้วเธอรู้สึกอย่างไรต่อเรื่องนี้ ลูกชาย ฉันอยากรู้จริง ๆ น่าสนใจมาก”
“ท่านหมายถึงว่าผมสอบตก ต้องออกจากเพนซี่น่ะหรือครับ” ผมถาม ภาวนาให้ท่านเอาเสื้อคลุมปิดหน้าอกเหี่ยวซีดเซียวเสียมันไม่น่าดูเลย
“ถ้าจำไม่ผิด ฉันเชื่อว่าเธอมีปัญหาแบบเดียวกันนี้ที่โรงเรียนวูตัน และที่เอลค์ตัน ฮิลล์ ใช่มั้ย?” น้ำเสียงไม่ได้ประชดหรอก แต่มันก็ไม่น่าฟังอยู่ดีล่ะ
“ผมไม่ได้มีปัญหาที่เอลค์ตัน ฮิลล์ นะครับ” ผมตอบท่าน “ผมไม่ได้สอบตกหรอก ผมแค่ลาออกเองเท่านั้นครับ”
“ทำไมล่ะ? ถามหน่อยนะ”
“ทำไมน่ะเหรอ โอ…มันเป็นนิยายเลยล่ะครับ ผมหมายถึงว่ามันซับซ้อนเอามาก ๆ”
ผมไม่อยากเล่าเรื่องทั้งหมดหรอก ยังไงท่านก็ไม่เข้าใจอยู่ดี มันไม่ทำให้ท่านเข้าใจดีขี้นหรอก เหตุผลอันหนึ่งที่ผมกระเด็นออกจากเอลค์ตัน ฮิลล์ ก็เพราะว่ารอบ ๆ ผมเต็มไปด้วยพวกชอบตอแหลปลิ้นปล้อน แค่นั้นเอง พวกนี้โผล่สลอนโดยเฉพาะอาจารย์ใหญ่ คุณฮาส จอมโกหกตลบตะแลงที่สุดที่ผมเคยพบเจอ หนักเป็นสิบเท่าของตาเฒ่าเธอร์เมอร์เสียอีก
ช่วงวันอาทิตย์คุณฮาสจะสาละวนจับไม้จับมือกับผู้ปกครองนักเรียนทุกคนที่ขับรถมาส่งลูก ๆ ดูมีเสน่ห์น่ารักเหลือหลาย ยกเว้นกับผู้ปกครองที่ท่าทางเฉิ่ม ๆ คุณจะไม่มีวันพบเห็นอย่างที่เขาทำกับพ่อแม่ของเพื่อน ๆ ร่วมรุ่นของผมหรอก ถ้าแม่ของนักเรียนอ้วนเผละ หรือผอมแห้ง หรือพ่อของนักเรียนสวมสูทตัวโคร่ง ไหล่กางเทอะทะ รองเท้าหนังดำขาว คุณฮาสก็เพียงแค่จับมือปั้นหน้ายิ้ม แล้วสนทนาราวครึ่งชั่วโมงกับพ่อแม่ของนักเรียนบางคนเท่านั้น
ผมทนไม่ไหวเลยอยากจะคลั่งตาย มันน่าอึดอัดจริง ๆ ผมเกลียดโรงเรียนเส็งเคร็งอย่างเอลค์ตัน ฮิลล์ ก็ตรงเรื่องพวกนี้แหละ
ท่านสเปนเซอร์ถามผมบางเรื่องอีก แต่ผมไม่ได้ยินอะไรแล้วมัวแต่คิดถึงเรื่องตาเฒ่าฮาส “เรื่องอะไรครับท่าน” ผมสะดุ้งเล็กน้อย
“เธอรู้สึกใจหายมั้ยที่กำลังจะจากเพนซี่ไป”
“ก็นิดหน่อยครับ…แน่นอน…แต่ก็ไม่มากเท่าไหร่ ยังไงผมก็ยังไม่ไปในตอนนี้ มันยังไม่เกิดขึ้น สักระยะหนึ่งผมคงจะรู้สึกครับตอนนี้ผมคิดถึงแต่วันเวลาจะกลับบ้านในวันพุธนี้ ผมเหมือนเด็กอมมือเลยใช่มั้ยครับ”
“เธอไม่คิดห่วงอนาคตตัวเองมั่งเลยหรือ ลูกชาย”
“ผมก็ห่วงอนาคตตัวเองเหมือนกัน แน่นอนครับ” ผมคิดราวสักนาทีหนึ่ง “แต่ก็ไม่มากนัก…ผมว่า…ไม่มากนัก…ผมว่า”
“เธอต้องห่วงแน่” ท่านสเปนเซอร์พูดอีก “เธอต้องห่วงลูกชาย เธอจะต้องห่วงแน่เมื่อรู้สึกว่ามันสายไปเสียแล้ว”
ผมไม่ชอบเลยที่ท่านพูดอย่างนี้ ฟังดูน่าพะอืดพะอม กดดันอย่างไรไม่รู้ “ผมว่าคงต้องห่วงบ้างเหมือนกัน” ผมตอบ
“ฉันอยากให้เธอมีความรู้สึกบางอย่างบ้างในหัวของเธอ ไอ้ลูกชาย ฉันพยายามช่วยเธอแล้วนะ ฉันพยายามช่วยเธอเท่าที่ฉันพอทำได้”
ก็จริงอย่างที่ท่านทำ คุณก็เห็นแล้วใช่ไหม แต่ก็แค่เราทั้งสองยืนอยู่กันคนละฟาก แค่นั้นเอง “ผมเข้าใจครับท่าน” ผมพูด
“ขอบคุณมากครับ จริง ๆ ครับ ผมรู้สึกซาบซึ้งจริง ๆ”
ผมลุกจากเตียง ไอ้หนูเอ๊ย ผมไม่อาจนั่งตรงนี้ต่ออีกแม้ไม่ถึงสิบนาที เพื่อรักษาชีวิตตัวเองไว้
“เอ้อ…ผมจะต้องขอตัวกลับก่อนล่ะครับ ผมทิ้งอุปกรณ์ไว้ในโรงยิม ต้องไปเอากลับบ้านด้วย จริง ๆ ครับ”
ท่านจ้องเขม็งที่ผมแล้วพยักหน้าอีกครั้ง ทั้งหมดเกิดขึ้นในแวบเดียว แต่ผมอยู่ต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว วิถีทางของเรามันต่างกันสุดขั้ว แล้วก็เรื่องที่ท่านมักทำของหล่นจากเตียงตอนที่คว้าหยิบอะไรสักอย่าง รวมทั้งชุดเสื้อคลุมอาบน้ำเน่า ๆ เปิดโชว์หน้าอกแสนเหี่ยว แล้วยังกลิ่นยาดมแก้หวัดยี่ห้อวิคส์อีกด้วย มันตลบอบอวลฟุ้งไปทั่วห้อง
“อาจารย์ครับ ไม่ต้องห่วงผมนะครับ” ผมกล่าวขึ้น “จริง ๆ นะครับผมสบาย ๆ ผมต้องผ่านช่วงนี้ไปได้แน่ ๆ ทุกคนมักต้องผ่านช่วงชีวิตอย่างนี้ ทุกคนไม่ใช่หรือครับ”
“ฉันไม่รู้สิ ลูกชาย ไม่รู้สิ”
ผมเกลียดชักนักที่คนบางคนตอบแบบนี้ “เชื่อน่า แน่นอน ทุกคนต้องผ่านไปได้” ผมเอ่ยย้ำ “จริง ๆ ครับท่าน อย่าห่วงผมเลยครับ” ผมแทบอยากจะตบไหล่ของท่านเหลือเกิน “โอเคนะ” ผมบอกท่าน
“เธออยากดื่มช็อกโกแลตร้อนอีกสักถ้วยก่อนกลับมั้ยคุณนายสเปนเซอร์จะทำ…”
“อยากครับ แต่ผมต้องรีบไปแล้วล่ะ ผมต้องไปโรงยิมขอบคุณมากครับอาจารย์ ขอบคุณมากครับท่าน”
แล้วเราก็จับมืออำลากัน เรื่องห่วยแตกของผมก็จบลง แต่ถึงอย่างไรมันก็เศร้าฉิบ
“ผมจะโทรมาหานะครับ รักษาสุขภาพนะครับขอให้หายเป็นหวัดนะครับ”
“ลาก่อน ลูกชาย”
หลังจากปิดประตู คล้อยหันกลับไปยังห้องนั่งเล่น ผมได้ยินเสียงตะโกนไล่หลัง แต่ได้ยินไม่ชัดว่าท่านพูดอะไร ผมแน่ใจว่าท่านคงบอกว่า
“โชคดีนะ” มันฟังแย่มากเลยนะ ลองคิดดูดีๆสิ