ตอน 4
ผมไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี เลยลงไปห้องอาบน้ำระหว่างที่เจ้าสแตรดเลเตอร์โกนหนวดเครา
มีเพียงเราสองคนในนั้น เพราะทุกคนไปอยู่ที่สนามกีฬากันหมด ร้อนอบอ้าวมาก ไอน้ำจับกระจกหน้าต่างเป็นฝ้าไปหมด ในนั้นติดตั้งอ่างอาบน้ำชิดผนังนับสิบอ่าง
เจ้าสแตรดเลเตอร์ผิวปากเพลง ซอง ออฟ อินเดีย พลางขณะโกนหนวดไปด้วย มันผิวปากเสียงแแหลมเสียดหู ไม่ค่อยจะเข้าทำนองนัก แถมเลือกผิวปากเพลงยาก ๆ แม้แต่นักผิวปากเก่ง ๆ ยังต้องยอม อย่างซอง ออฟ อินเดีย หรือ สลอเตอร์ ออน เทนท์ แอฟเวนิว มันทำให้รู้สึกคลื่นไส้ปั่นป่วนไงไม่รู้
คุณจำได้ไหมที่ผมเคยพูดถึงเจ้าแอคลี่ย์ ที่ชอบทำเลอะเทอะเปรอะเปื้อน นั้นแหละ เจ้าสแตรดเลเตอร์ก็ไม่ต่างกัน เพียงแต่คนละแบบ
ไอ้สแตรดเลเตอร์นี่นิสัยเลอะเทอะ แต่เป็นความลับส่วนตัวบุคลิกก็ดูเนี้ยบดี แต่ความจริงถ้าได้เห็นใบมีดโกนหนวดของมันที่แสนจะเขรอะ มีเส้นขนหนวดเคราติดหนา ไม่เคยทำความสะอาดเลย มันดูเนี้ยบเสมอหลังเสร็จจากการจัดการกับตัวเองแล้ว แต่เป็นจอมโสโครกอยู่ดี ถ้าคุณรู้จักมันอย่างที่ผมรู้จัก
สิ่งที่มันทำให้ตัวเองดูดีตลอดเวลา เพราะมันเป็นพวกหลงตัวเองอย่างแรง มันคิดว่ามันเป็นไอ้หนุ่มมาดเท่ที่สุดในเวสเทิร์น เฮมิสเฟียร์
ก็จริงอยู่หรอก ผมยอมรับ แต่ก็เป็นในแบบหล่อเหลาสำอางอย่างที่พ่อแม่มักชอบกัน ในหนังสืออนุสรณ์ พ่อแม่มักชี้ให้ดูว่า “เด็กคนนี้เป็นใครกันนะ” มันเหมือนรูปถ่ายไอ้หนุ่มสุดหล่อเฟี้ยวในหนังสืออนุสรณ์ประจำปีนั่นแหละ
ผมเจอมาหลายรายในเพนซี่ที่บุคลิกหล่อเท่กว่าเจ้าสแตรดเลเตอร์มากมาย แต่รูปในหนังสืออนุสรณ์ประจำปี จะดูไม่หล่ออะไร บางคนจมูกโตเกินไป หรือไม่ก็หูกาง ผมเจอรูปแบบนี้บ่อย ๆ ไป
ผมยังคงแช่อยู่ในอ่าง ถัดจากเจ้าสแตรดเลเตอร์โกนหนวดอยู่เดี๋ยวปิดเดี๋ยวเปิดก๊อกน้ำ มีหมวกล่าสัตว์สวมอยู่ หันปีหน้าไปข้างหลังอย่างเดิม ผมหลงใหลมันจริง ๆ หมวกใบนี้
“นี่เพื่อน” สแตรดเลเตอร์ เอ่ย “วานอะไรหน่อยได้เปล่า”
“อะไรล่ะ” ผมย้อนถามเนือย ๆ
มันมักจะมีเรื่องวานให้คนอื่นทำโน่นทำนี่ตลอด คุณคบกับคนที่หลงตัวเองว่าหล่อ มักถูกหลอกใช้ไหว้วานให้ทำอะไรให้เสมอ เพียงเพราะมันเข้าใจว่าเราหลงคลั่งไคล้มันเสียเต็มประดา แล้วคุณก็จะเบื่อจะทำตามที่มันไหว้วานให้ทำ ช่างน่าอนาถจัง
“ออกไปไหนเปล่าคืนนี้” มันถาม
“อาจจะไปหรือไม่ ไม่รู้สิ ทำไมเหรอ”
“กูมีงานต้องท่องวิชาประวัติศาสตร์เป็นร้อย ๆ หน้าในวันจันทร์นี้” มันพูด
“มึงจะช่วยเขียนความเรียงวิชาภาษาอังกฤษให้ได้เปล่า กูแย่แน่ ถ้าไม่มีอะไรไปรายงานวันจันทร์หน้า ขอร้องหน่อยว่ะ ว่าไง”
มันฟังเสียดเย้ยชะมัดยาด
“กูเนี่ยนะ กำลังจะถูกไล่ออกจากที่นี่รอมร่อ แล้วมึงยังมาขอร้องให้แต่งความเรียงบ้า ๆ ให้อีกยังงั้นเหรอ” ผมชักหงุดหงิด
“ช่าย กูรู้ เรื่องของเรื่องคือกูจะแย่ถ้าไม่มีผลงาน ช่วย ๆ กันหน่อยน่า ได้รึเปล่า”
ผมไม่ตอบเออออกับมันทันที ยิ่งทำให้มันใจจดใจจ่อมากขึ้น
“เรื่องอะไรล่ะ” ผมถาม
“อะไรก็ได้ สาธยายไปเถอะ ห้องนอนหรือบ้าน หรือที่ ๆ มึงเคยไปอยู่อะไรก็ได้ เพียงแต่บรรยายเนื้อหาให้ยาวเท่าที่จะทำได้”
พูดแล้วก็หาวไปด้วย มันเป็นสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกปวดร้าวรวดพิลึกล่ะผมหมายถึงว่าใครก็ตามที่หาวไปพร้อม ๆ กับขอร้องให้คุณช่วยเหลืออะไรบางอย่าง
“ไม่ต้องแต่งเรื่องให้ดีเด่มากหรอก” มันพูด
“เจ้าเบื๊อกฮาร์ทเซลรู้ดีว่ามึงเก่งภาษาอังกฤษ แถมยังเป็นเพื่อนร่วมห้องพักอีกด้วย มึงก็อย่าเคร่งครัดละเอียดใส่จุด จุลภาคและเครื่องหมายวรรคตอนที่ถูกต้องก็ได้”
สิ่งนั้นยิ่งทำให้รู้สึกเจ็บปวดใจอย่างหนัก ถ้าคุณเก่งเรียงความภาษา แล้วมีใครสักคนมาพูดถึงจุดจุลภาคนั้น ไอ้สแตรดเลเตอร์ชอบทำอย่างนี้ มันอยากให้คุณคิดว่า เหตุผลเดียวที่มันไม่ได้เรื่องในการเขียนเรียงความ เพียงเพราะมันใส่จุดจุลภาคผิดที่แค่นั้นเอง
มันก็ไอ้ประเภทเดียวกับไอ้แอคลี่ย์ ผมเคยนั่งติดกับไอ้แอคลีย์ตอนไปดูแข่งบาสเกตบอล ทีมเรามีตัวเก่งชื่อ ฮาวี่ย์ คอยล์ ที่สามารถชู้ตจากกลางสนามลงห่วงได้ โดยไม่กระทบแป้นหรือห่วงเลย
ไอ้แอคลี่ย์จะเอาพร่ำว่าเกมที่ทีมเราเฉือนคู่แข่งได้ เป็นเพราะนายคอยล์มีรูปร่างที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อบาสเกตบอลต่างหาก โถ่ไอ้เวรผมละเกลียดนักพวกนี้
ผมเบื่อที่จะแช่ในอ่างอีกต่อไปแล้ว เลยก้าวออกไปไม่กี่ฟุต แล้วเริ่มออกท่าทางเต้นแท็ป หาอะไรสนุก ๆ เล่น จริง ๆ ผมเต้นแท็ปไม่เป็นหรอก แต่พื้นโรงอาบน้ำมันแข็งเป็นหิน เหมาะสำหรับการเต้นเคาะส้นเท้าดี
ผมเริ่มเลียนแบบท่าทางดาราในหนังเพลงเรื่องหนึ่งผมไม่ชอบดูหนังหรอก แต่ชอบเลียนแบบท่าทางเสียมากกว่า
ไอ้สแตรดเลเตอร์ จ้องมองเขม็งผ่านกระจกฝ้าขณะที่ยังโกนหนวดอยู่ ผมก็อยากให้มีคนดู ผมเป็นพวกชอบโชว์
“ข้าคือลูกชายผู้ว่าฯ” ผมส่งเสียงไปเรื่อยเปื่อย ทำท่าทางล้อเลียน โลดแล่นเต้นแท็ปไปทั่ว “ท่านไม่อยากให้ผมเป็นนักเต้นแท็ป ท่านอยากให้ผมเข้าออกฟอร์ด แต่ผมชอบเต้นแท็ปชนิดเข้าสายเลือด”
ไอ้สแตรดเลเตอร์ขำกลิ้ง มันก็ไม่ใช่คนไร้อารมณ์ขันเลย “มันเป็นคืนรอบปฐมทัศน์ของซิกเฟลด์ ฟอลลีย์ส” ผมแทบสำลักหายใจติดขัด“ท่านผู้นำต่อไม่ไหวแล้ว ท่านดื่มจัดเกินไป ดังน้ันใครจะดำรงตำแหน่งแทนท่าน ข้าหรือ บุคคลคนนั้น ลูกชายของผู้ว่าการ”
“มึงไปได้หมวกใบนั้นมาจากไหนวะ” ไอ้สแตรดเลเตอร์ถาม ม้นไม่เคยเห็นมาก่อน
ผมหายใจหายคอไม่ทัน เลยเลิกเล่นสนุก ถอดหมวกออกดูมันไม่น้อยกว่าสิบเก้าครั้ง “กูได้จากนิวยอร์กเมื่อเช้านี้เอง เหรียญเดียวแค่นั้น มึงชอบเหรอ”
สแตรดเลเตอร์ พนักหน้าหงึก ๆ “จ๊าบจริง” มันว่า ก็แค่ประจบเอาใจเท่านั้น ผมรู้ เพราะถัดจากน้้นมันก็พูดว่า “ฟังนะ เขียนเรียงความให้กูหรือเปล่า กูอยากรู้เดี๋ยวนี้เลย”
“ถ้ากูมีเวลานะ ถ้าไม่มี ก็ไม่” ผมพูดไปตามตรง แล้วเดินกลับไปลงแช่ในอ่างอาบน้ำอีกครั้งหนึ่ง “ใครวะคู่เดทของมึง” ผมถาม “ฟิตซ์เจอรัลด์ใช่รึเปล่า”
“ส้นแน่ะ ไม่ใช่ บอกใบ้ให้เลย กูไม่ควงยายหมูตอนนั่นหรอกว่ะ”
“งั้นเหรอ ยกให้กูได้มั้ย ไอ้หนู กูไม่ได้ล้อเล่นนะ สเปกกูเลย”
“เอาไปเลย ยายนี่แก่กว่ามึงนะ”
ทันใดนั้น อย่างไม่คาดคิด มีแต่ความคึกคัก ผมพรวดพราดลุกจากอ่างอาบน้ำแล้วพุ่งเข้าปล้ำไอ้สแตรดเลเตอร์ โดยคิดเลยว่าการโผเข้าล็อกคอกระชากจากข้างหลัง อาจจะทำให้ถึงตายได้ และยังฟัดมันเหมือนเสือดำตะปบเหยื่อ
“เฮ้ย พอทีไอ้โฮลเด้น กูขอร้องเหอะ” ไอ้สแตรดเลเตอร์พร่ำ ไม่รู้สึกสนุกไปด้วยกับผม ขณะที่มัวบรรจงโกนหนวดอยู่ “เฮ้ย มึงอยากให้กูเชือดหัวกูหลุดเลยรึวะ”
ผมไม่ยอมปล่อยมือ ล็อกตัวรัดอย่างแน่นหนา “หาทางแก้เอาเองสิวะ” ผมพูด
“พระเจ้า” มันวางมีดโกนลง แล้วสอดแขนขึ้นพยายามแหวกตัวเองออกจากการกอดรัดอย่างแน่นหนาของผม มันแข็งแรงเอาการอยู่เลยล่ะ ตรงข้ามผมกลับอ่อนปวกเปียก
“เอาล่ะ เลิกเล่นบ้า ๆ ได้แล้ว” มันโวยแล้วหันกลับโกนหนวดอย่างประณีตบรรจงต่อ มันมักจะโกนซ้ำสองเสมอ ๆ ให้เรียบกริบ แต่ขอโทษมีดโกนมันสุดเขรอะเหลือเกิน
“แล้วใครวะที่เป็นคู่เดตของมึง ถ้าไม่ใช่ฟิตซ์เจอรัลด์” ผมถามมันขณะหย่อนตัวนั่งลงในอ่างอาบน้ำอีกครั้ง “ใช่ฟิลลิส สมิธ หรือเปล่า”
“ไม่ใช่ อยากให้เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน แต่อะไร ๆ มันมั่วไปหมดกูรู้จักเพื่อนร่วมห้องพักกับแฟนของไอ้บัด ธอว์ เอ้อ เกือบลืมว่ะ เธอบอกว่ารู้จักมึงด้วยนะ”
“ใครกันนะ” ผมพูดขึ้น
“คู่เดตของกูเหรอ”
“เออ” ผมพูด “ชื่ออะไร กูชักสนใจแล้วสิ”
“เดี๋ยวสิ กำลังคิดอยู่…เอ่อชื่อ จีน กัลลาเกอร์”
ไอ้หนูเอ๋ย ผมแทบจะบ้าตาย พอสิ้นคำของไอ้สแตรดเลเตอร์
“เจน กัลลาเกอร์”
ผมพูดขึ้นขณะโผล่พรวดพราดจากอ่างอาบน้ำเมื่อได้ยินมันเอ่ยถึงเธอ ผมแทบจะช็อกจริง ๆ
“มึงพูดถูกแล้วล่ะ กูรู้จักเธอ พักอยู่ใกล้กันกับกู ช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา เธอเลี้ยงโดเบอร์แมน พินส์เชอร์ตัวเบ้อเริ่ม นั่นเป็นเหตุที่กูได้รู้จักเธอ หมาของเธอชอบข้ามเข้ามาใน–”
“มึงยืนบังแสงสว่างอีกแล้วโว้ย โฮลเด้น” ไอ้สแตรดเลเตอร์พูด“มึงมายืนตรงนี้สิ”
ไอ้หนูเอ๊ย ตื่นเต้นจริง ๆว่ะ
“ตอนนี้เธออยู่ไหนล่ะ” ผมถามมัน “กูจะได้ลงไปทักทายมั่ง เธออยู่ที่ไหน ในเรือนรับรองเหรอ”
“ใช่แล้ว”
“เธอพูดถึงกูยังไงบ้างวะ เธอไปบัลติมอร์มาแล้วหรือยัง เธอบอกว่าจะไปที่นั่น แล้วยังจะไปชิพลีย์อีกด้วย กูคิดว่าเธอคงจะไปชิพลีย์มากกว่า ว่าแต่เธอพูดอะไรถึงกูอีกวะ” ผมตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
“ไม่รู้ว่า ให้ตายเถอะ ลุกขึ้นได้แล้วรึยัง มึงนั่งทับผ้าเช็ดตัวของกู” สแตรดเลเตอร์ ฉุนหนัก ขณะที่ผมนั่งทับผ้าเช็ดตัวของมัน
“เจน กัลลาเกอร์” ผมพูดย้ำอีก ผมลืมไม่ลงเลย “สาบาน”
ไอ้สแตรดเลเตอร์ป้ายครีมใส่ผมของมัน ใช่ครีมใส่ผมของผมนั่นเอง
“เธอเป็นนักเต้นตัวยงเลย” ผมพูด “บัลเล่ต์ เธอซ้อมวันละตั้งสองชั่วโมงเลยล่ะ ทุ่มเทอย่างเต็มที่ เธอห่วงแต่ว่าจะทำให้ช่วงเรียวขาของเธอไม่น่าดู แข็งกระโดกกระเดกอะไรอย่างนั้น กูยังเคยเล่นหมากรุกกับเธอบ่อย ๆ เลย”
“มึงเคยเล่นอะไรกับเธอบ่อย ๆ นะ”
“หมากรุก”
“หมากรุกเหรอ ให้ตายห่า”
“ก้อใช่น่ะสิ เธอไม่ขยับเดินตัวขุนเลย เธอควรจะทำยังไงนะเธอไม่ยอมเดินขุนเลยจะปล่อยขุนไว้บนกระดานหมากรุกแถวหลังสุดเสมอ ให้ตัวหมากรุกยืนเรียงเป็นตับอยู่ตรงตารางท้ายสุดตลอด ไม่ยอมขยับเดินเลย เธอชอบอย่างที่เห็นหมากรุกทั้งหมดเรียงเป็นแถวตรงตาหมากรุกหลังสุด”
ไอ้สแตรดเลเตอร์ปิดปากเงียบสนิท เรื่องพรรค์นี้ไม่น่าสนใจนัก
“แม่ของเธอเป็นสมาชิกสโมสรเดียวกับที่พวกเราทำอยู่”ผมพูด
“กูเคยเป็นแคดดี้ครั้งหนึ่ง หาเงินใช้เล็ก ๆน้อย ๆ เคยเป็นแคดดี้ให้แม่ของเธอสักสองสามหนเห็นจะได้ เธอเดินวนอ้อมราวร้อยเจ็ดสิบหลาในเก้าหลุม”
สแตรดเลเตอร์แทบไม่ได้ใส่ใจฟัง มันมัวแต่หวีผมเรียบแปล้
“กูจะลงไปทักทายเธอสักหน่อยนะ” ผมบอกมัน
“ทำไมไม่ไปเสียล่ะวะ”
“กูจะไปเดี๋ยวนี้เลย”
มันเริ่มหวีผมใหม่อีกครั้ง มันใช้เวลานับชั่วโมงในการหวีผมมั้ง
“พ่อกับแม่ของเธอแยกทางกัน แม่ของเธอแต่งงานใหม่กับไอ้ขี้เมา่คนหนึ่ง” ผมบอก
“คนที่มีขนเต็มแข้งเต็มขา กูจำได้ดีเลยล่ะมันชอบใส่กางเกงขาสั้นตลอด เจนเล่าให้ฟังว่ามันเป็นนักเขียนบทละครหรืออะไรนี่แหละ แต่ที่กูเห็น มันเอาแต่กรึ๊บเหล้าเมาแประแล้วก็ฟังนิยายสืบสวนทางวิทยุ ทั้งชอบเดินแก้ผ้าโทง ๆ ไปทั่วบ้าน แม้ว่าเจนจะอยู่ในบ้านก็ตาม”
“ฮะ ว่าไงนะ”ไอ้สแตรดเลเตอร์ ร้องเสียงหลง นั่นไงมันชักสนใจเข้าแล้ว เรื่องพ่อเลี้ยงขี้เมา เดินแก้ผ้าโทง ๆ ไปทั่วบ้านโดยที่เจนก็อยู่ใกล้ ๆ กัน ไอ้สแตรดเลเตอร์ นับว่าเป็นผู้ชายี่เซ็กซี่คนหนึ่ง
“ชีวิตวัยเด็กของเธอค่อนข้างแย่ล่ะนะ กูไม่พูดเล่น”
เรื่องพวกนี้ไม่ดึงดูดความสนใจของไอ้สแตรดเลเตอร์นักหรอก มีเพียงเรื่องพรรค์อย่างว่าเท่านั้น
“เจน กัลลาเกอร์ โธ่เอ๋ย กูไม่อาจสลัดภาพของเธอหลุดออกจากหัวได้ ไม่ได้เลยจริง ๆ กูเห็นจะต้องไปทักทายเธอสักหน่อยแล้ว”
“แล้วมึงมัวทำห่าอะไรอยู่ล่ะ มัวแต่พร่ำเพ้ออยู่ได้” ไอ้สแตรดเลเตอร์พูด
ผมเดินผ่านช่องหน้าต่างไปโดยไม่เห็นอะไรข้างนอกนั้นเพราะมันเต็มไปด้วยฝ้าไอน้ำจากความร้อนในโรงอาบน้ำ “แต่ยังไม่มีอารมณ์ตอนนี้ว่ะ” ผมพูดขึ้น ไม่มีจริง ๆ คุณต้องมีอารมณ์ในบางสิ่งที่คิดจะทำบ้าง “กูคิดว่าเธอไปชิพลีย์แล้ว สาบานได้” ผมเดินแกร่วไปมาในโรงอาบน้ำ ไม่มีอะไรจะทำ “เธอรู้สึกยังไงกับเกมบ้าง”
“เออ ไม่รู้ว่ะ”
“เธอเล่าเรื่องที่เล่นหมากรุกตลอดเวลาหรือเปล่า”
“ไม่รู้สิวะ ให้ตายสิ กูเพิ่งเจอเธอไม่นานนี้เอง” ไอ้สแตรดเลเตอร์ ชักรำคาญ มันหวีผมเรียบแปล้เสร็จแล้ว แล้วก็โยนก้อนกระดาษชำระที่เช็ดเขรอะทิ้งเกลื่อน
“ฟังนะเพื่อน ฝากความคิดถึงไปให้เธอมั่งได้เปล่า”
“โอเค” ไอ้สแตรดเลเตอร์ ตอบ แต่ผมเชื่อว่ามันไม่ทำตามที่มันรับปากหรอก คนอย่างไอ้สแตรดเลเตอร์ไม่มีวันที่คุณจะฝากความคิดถึงไปให้คนอื่นได้หรอก
มันกลับไปที่ห้อง แต่ผมยังคงแช่อยู่ที่โรงอาบน้ำชั่วครู่หนึ่งหวนคำนึงถึงสาวเจน จากนั้นจึงค่อยลุกกลับไปห้องพัก
สแตรดเลเตอร์ผูกไทอยู่หน้ากระจก เมื่อตอนผมเดินเข้าไปในห้อง มันใช้ครึ่งหนึ่งของชีวิตอยู่หน้ากระจก ผมนั่งลงที่เก้าอี้ จ้องมองมันสักพักหนึ่ง
“นี่” ผมพูด “มึงอย่าไปบอกเธอนะว่า กูถูกเตะโด่งออกจากโรงเรียนแล้ว”
“เออน่า”
นี่คือส่วนเสี้ยวที่ดีอย่างหนึ่งของไอ้สแตรดเลเตอร์ คุณไม่ต้องไปสาธยายให้มากความ เหมือนอย่างไอ้แอคลี่ย์ เรื่องของเรื่องมันก็ไม่ได้สนใจอะไรด้วย นั่นไงล่ะความแตกต่าง ส่วนไอ้แอคลี่ย์น่ะตรงกันข้ามเลย ชอบแส่ไปทุกเรื่อง
มันสวมเสื้อคลุมของผมอีก
“พระเจ้า อย่าทำเสื้อเสียทรงไปหมดนะเว้ย” ผมเตือนมันเพราะผมเพิ่งใส่เพียงครั้งสองครั้งเท่านั้น
“เออน่า บุหรี่ของกูวางไว้ตรงไหน เห็นมั้ยวะ”
“บนโต๊ะโน่น” มันไม่จำเลยว่าวางอะไรไว้ตรงไหนบ้าง
“ใต้ผ้าพันคอของมึงนั่นไง” มันคว้ายัดใส่กระเป๋าเสื้อโค้ตทันที ก็เสื้อโค้ตของผมนั่นแหละ
ผมหมุนปีกหมวกกลับไปอยู่ด้านหน้าเหมือนเดิม รู้สึกประสาทจะกินนิดหน่อย “เออนี่ มึงจะพาเธอไปไหนวะ” ผมรุกถาม “รู้ที่จะไปรึยัง”
“ยังเลยว่ะ อาจจะไปนิวยอร์กก็ได้ ถ้าพอมีเวลานะ แต่เธอมีเวลาแค่สามทุ่มครึ่งเท่านั้น”
ผมไม่ชอบอย่างที่มันพูดเลยสวนกลับไปว่า
“เหตุผลที่เธอให้เวลาได้แค่นั้นเพราะเธอไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าคนเสน่ห์แรงอย่างมึงเนี่ยเป็นยังไง ถ้าเธอรู้นะ อาจจะไปกับมึงจนถึงสิบโมงครึ่งของเช้าวันพรุ่งนี้ก็ได้”
“ถูกเป๊ะลงว่ะ” ไอ้สแตรดเลเตอร์ พูด คุณไม่สามารถแหย่ยั่วมันให้โกรธง่าย ๆ หรอก มันเป็นคนหนักแน่นเอาการ “ไม่ล้อเล่นนะ ช่วยจัดให้เข้าที่เข้าทางหน่อยสิ” มันบอก หลังจากสวมเสื้อโค้ตเรียบร้อย พร้อมที่จะออกไปแล้ว “อย่าหักโหมมากนักล่ะ แต่ให้สำนวนเจ๋งเป้งหน่อยก็โอเคนะ”
ผมไม่ตอบ ไม่รํู้สึกอยากจะตอบ ทั้งหมดที่พูดก็แค่ว่า “ถามเธอหน่อยสิว่ายังเก็บขุนไว้ที่ตารางหมากรุกแถวหลังสุดอยู่หรือเปล่า”
“ก็ได้” สแตรดเลเตอร์ตอบ แต่ผมก็รู้หรอกว่ามันไม่ทำตามที่ผมฝากหรอก “ใจเย็น ๆ น่าไอ้เพื่อนยาก” มันเผ่นแผล็วออกจากห้องไปอย่างเร่งรีบ
ผมนั่งนิ่งราวสักครึ่งชั่วโมงหลังจากไอ้สแตรดเลเตอร์จากไปแล้ว นั่งเก้าอี้จ่อม ไม่ทำห่าอะไรเลย ยังคงคิดเรื่อยไปถึงเจน กับไอ้สแตรดเลเตอร์ที่ควงเธอ มันทำให้รู้สึกกระอักกระอ่่วนใจอย่างบอกไม่ถูก ผมบอกแล้วไงว่าไอ้สแตรดเลเตอร์เป็นไอ้หนุ่มเซ็กซี่คนหนึ่ง
ทันใดนั้น ไอ้เจ้าแอคลี่ย์ก็โผล่เข้ามาในห้องทางฉากกั้นห้องน้ำเหมือนอย่างเคย คงมีเพียงหนเดียวในชีวิตกระมังที่ผมรู้สึกยินดีที่ได้พบไอ้หมอนี่ มันทำให้รู้สึกผวา จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเสมอ ๆ
มันมาติดพันนัวเนียใกล้เวลามื้อค่ำ คุยเรื่อยเปื่อยถึงคนในเพนซี่ที่มันเกลียดเข้าไส้ แล้วชอบบีบหัวสิวเม็ดเบ้อเริ่มตรงคาง มันไม่เคยใช้ผ้าเช็ดหน้าเลยสักหน
เชื่อเลยล่ะว่าไอ้คนพรรค์นี้มันคงไม่เคยพกผ้าเช็ดหน้าติดตัวหรอก ผมไม่เคยเห็นมันใช้ผ้าเช็ดหน้าเลยสักครั้งเดียว