Saturday, May 18, 2024
More
    Homeบทความทั่วไปวรรณกรรมแปล “ผู้พิทักษ์ทุ่งข้าวไรย์” ตอน 3

    วรรณกรรมแปล “ผู้พิทักษ์ทุ่งข้าวไรย์” ตอน 3

    ตอน 3

    ผมนี่ล่ะคือจอมหลอกลวงปลิ้นปล้อนที่สุดเท่าที่คุณเคยเจอในชีวิตเลยนะ ทุเรศมาก ถ้าผมจะมุ่งตรงไปยังร้านขายหนังสือแมกกาซีนหานิตยสารสักเล่มหนึ่ง แม้ใครจะถามผมว่ากำลังจะไปไหน ผมจะโกหกทันทีว่าไปดูละครโอเปร่าโน่น

    บัดซบไหม การที่ผมบอกอาจารย์สเปนเซอร์ว่าจะต้องไปโรงยิม ไปเก็บข้าวของอะไรนั้นโคตรโกหกเลยล่ะ ผมไม่เคยมีอะไรทิ้งไว้ในโรงยิมนั่นหรอก

    ที่ ๆ ผมอยู่ตรงไหนในเพนซี่เหรอ ก็อยู่ตรงออสเซนเบอร์เกอร์เมมโมเรียล วิง ของหอพักหลังใหม่ เป็นหอเฉพาะรุ่นพี่ ตั้งชื่อตามศิษย์เก่านาม “ออสเซนเบอร์เกอร์”

    เขารวยมาจากทำธุรกิจสัปเหร่อน่ะ หลังเรียนจบเพนซี่ เขายึดอาชีพรับจ้างจัดงานศพทั่วประเทศทีเดียว คุณอาจสมัครเป็นสมาชิกทั้งครอบครัวเลยก็ได้ แค่จ่ายค่าสมาชิกคนละห้าเหรียญเท่านั้นเอง

    คุณอาจจะเคยเห็นตาออสเซนเบอร์เกอร์สักครั้ง เขาจะยัดศพใส่กระสอบโยนทิ้งแม่น้ำ แต่ถึงอย่างไรเขาก็บริจาคเงินให้เพนซี่โขทีเดียว ถึงได้มีชื่อบนปีกหนึ่งของอาคารหอพัก

    ในนัดแข่งฟุตบอลนัดแรกของปี เขามักจะมาปรากฏตัวที่โรงเรียน ด้วยรถคาดิลแลคคันเบ้อเร่อ พวกเรานักเรียนก็ลุกยืนบนอัฒจันทร์ปรบมือต้อนรับเกรียวกราว พอเช้าวันต่อมาเขาจะมากล่าวสุนทรพจน์ในโบสถ์นานราวสิบชั่วโมง

    เขาเริ่มต้นด้วยมุกตลกก่อนสักห้าสิบเรื่อง เพียงเพื่อไม่ให้ใครเห็นว่าเขาเป็นคนฉลาดหลักแหลมคนหนึ่ง มันสำคัญนักล่ะ แต่เขาจะให้โอวาทแก่พวกเราว่าเขาไม่รู้สึกละอายเลยยามตกทุกข์ได้ยาก อะไรเทือกนั้น แล้วก็คุกเข่าลงสวดภาวนาขอพรพระผู้เป็นเจ้า

    เขาพร่ำว่าเราควรสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ สนทนากับพระเจ้าทุกหนทุกแห่ง เขาบอกว่าเราควรคิดถึงจีซัสไครสต์ เสมือนเพื่อนคู่คิด เขานั้นพูดคุยกับจีซัสตลอดเวลาเลยนะ แม้ขณะขับรถ

    โถ่เอ๊ย…ผมไม่เคยเห็นใครเป็นจอมโป้ปดมดเท็จ ขนาดที่กำลังเข้าเกียร์หนึ่ง ยังสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้าขอให้รถวิ่งอืดลงอีกสักหน่อยนะ

    ส่วนที่ดีที่สุดในสุนทรพจน์ของเขาอยู่ตรงช่วงกลาง ๆ เขาจะเล่าเรื่องความโก้หรูเรี่ยมเร้ ฉลาดปราดเปรื่อง จนทำให้ไอ้พวกหนุ่มนั่งแถวหน้า เอ็ดการ์ มาร์เซลล่่า ปล่อยลมเหม็นคลุ้ง สุดอุบาทว์ที่ทำอย่างนั้นในโบสถ์

    แต่มันก็น่าขำอยู่หรอก ไอ้มาร์เซลล่านี่มันแทบทำให้หลังคาโบสถ์เปิดเปิงไปเลยทีเดียว แต่ก็แทบไม่มีใครกล้าหัวเราะเสียงดังเลยสักคน ส่วนนายออสเซนเบอร์เกอร์ก็ทำเป็นไม่ได้ยินเสียงตดเจ้ามาร์เซลล่า แต่อาจารย์ใหญ่เธอร์เมอร์ที่นั่งด้านขวามือของเขา เชื่อว่าต้องได้ยินเสียงแน่นอน

    ไอ้หนูเอ๊ย สุดฉุนกึ้ก…ไม่พูดอะไรเลยสักคำ

    แต่พอคืนถ้ดมา ท่านบังคับพวกเราให้ไปที่ห้องโถงของอาคารวิชาการ แล้วอบรมสั่งสอน ท่านบอกว่า คนที่ก่อเรื่องรบกวนในโบสถ์ ไม่สมควรจะเรียนที่เพนซี่ เราพยายามกันเจ้ามาร์เซลล่าไม่ให้อาจารย์ใหญ่เห็น ขณะที่ท่านกำลังอบรมด้วยสีหน้าอารมณ์ขุ่นขี้ง นั่นแหละคือช่วงเวลาที่ผมอยู่ที่เพนซี่ ที่ปีกอาคารหอพักใหม่ชื่อ  อนุสรณ์ตาออสเซนเบอร์เกอร์

    ค่อยสบายใจหน่อยหนึ่งที่ได้กลับมาถึงห้องพัก หลังออกจากบ้านอาจารย์สเปนเซอร์ เพราะคนอื่น ๆ ไปอยู่ที่เกมการแข่งขันฟุตบอลกันหมด ห้องก็อุ่นขึ้นบ้างแล้ว มันช่างน่าสบายจริง ๆ

    ผมถอดเสื้อคลุม คลายเนกไท และปลดกระดุมเสื้อเชิ้ต แล้วจึงหยิบหมวกที่ซื้อมาจากนิวยอร์ก เมื่อตอนเช้านี้ขึ้นมาสวม หมวกล่าสัตว์สีแดง มีปีกหน้ายาวมาก ผมเห็นอยู่ในร้านขายเครื่องกีฬาตอนออกจากสถานีรถไฟใต้ดิน ก่อนที่จะนึกได้ว่าผมลืมอุปกรณ์ฟันดาบห่วย ๆ หมวกใบนี้ราคาแค่เหรียญเดียว ผมสวมโดยให้ปีกหน้าหมวกหมุนกลับไปด้านหลัง…

    เฉิ่มมั้ยล่ะ ผมยอมรับ

    แต่ผมชอบอย่างนี้นี่ ผมว่าเข้าท่าดีออก แล้วหยิบหนังสือที่กำลังอ่านและนั่งบนเก้าอี้ของผม มันมีเก้าอี้สองตัวในแต่ละห้องพัก ของผมกับเพื่อนร่วมห้องชื่อ วอร์ด สแตรดเลเตอร์ อีกตัวหนึ่ง ตรงที่วางแขนรูปร่างพิลึก เป็นเพราะส่วนมากคนชอบนั่งบนที่วางแขน แต่มันก็เป็นเก้าอี้ที่นั่งสบายดีอยู่นะ

    หนังสือที่ผมอ่าน เอามาจากห้องสมุดด้วยความผิดพลาดอะไรสักอย่าง เขาหยิบเล่มผิดมาให้ ผมไม่ทันสังเกตจนเมื่อกลับมาถึงห้องพักแล้วนั่นแหละ

    เขาหยิบเรื่อง “เอาท์ ออฟ แอฟริกา” เขียนโดยไอแซค ไดนีเซน ตอนแรกคิดว่าคงเป็นพวกนิยายน้ำเน่าแน่ ๆ กลับไม่ใช่เลยแฮะ โอ้โหเป็นหนังสือที่ดีมากเล่มหนึ่ง ผมไม่ใช่พวกหนอนวรรณกรรมหรอก แต่ก็อ่านไปได้ตั้งหลายหน้า

    นักเขียนคนโปรดของผมมีเพียง ดี.บี.พี่ชายของผม แล้วก็อีกคนคือ ริง ลาร์ดเนอร์  พี่ชายผมซื้อหนังสือของ ริง ลาร์ดเนอร์ ให้เป็นของขวัญวันเกิด ก่อนหน้าที่จะเข้าเรียนที่เพนซี่เล็กน้อย เนื้อหาเต็มไปด้วยบทละครชวนหัวและพิลึกพิลั่น

    มีเรื่่องของตำรวจจราจรที่ไปตกหลุมรักสาวน้อยนักซิ่ง เพียงแต่ตำรวจคนนี้มีครอบครัวแล้ว เลยชวดที่จะได้เชยชมสาวน้อยนักซิ่ง ต่อมาสาวน้อยคนนี้ประสบอุบัติเหตุถึงเสียชีวิต เพราะเธอนิยมความเร็วดุจนรกนั่นเอง เรื่องนี้ทำให้ผมแทบคลั่งทีเดียว

    สิ่งที่ผมชอบที่สุดก็คือหนังสือนี่แหละ อย่างน้อยก็มีอะไรสนุก ๆ ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ผมอ่านหนังสือคลาสสิกก็ไม่น้อย อย่างเรื่อง เดอะ รีเทิร์น ออฟ เดอะ เนทีฟ ชอบมากเลยล่ะ ผมยังชอบอ่านนิยายสงครามอีกด้วย รวมทั้งเรื่องลึกลับ ซ่อนเงื่อน แต่ก็ไม่ประทับใจอะไรนัก

    วรรณกรรมที่เข้าถึงจิตใจของผมต้องเมื่ออ่านจบแล้ว อยากให้ผู้ประพันธ์เป็นเพื่อนสนิทที่คุณสามารถจะโทรหาได้ทุกเมื่อ ซึ่งมันไม่เกิดขึ้นบ่อยนักหรอก ผมไม่อยากติดต่อไอแซค ไดนีเซน และ ริง ลาร์ดเนอร์ ยกเว้นที่ ดี.บี. บอกผมว่าพวกนี้ตายแล้ว

    คุณลองอ่านเรื่อง ฮิวแมน บอนดิจ ของ ซอมเมอร์เซ็ตมอห์ม ผมอ่านตอนปิดเทอมซัมเมอร์ที่ผ่านมา เป็นงานวรรณกรรมที่เยี่ยมมาก แต่ผมก็ไม่คิดจะโทรหาซอมเมอร์เซ็ต มอห์ม ไม่รู้สินะเขาคงไม่ใช่คนแบบที่ผมอยากจะคุยด้วยหรอก ผมอยากคุยกับโทมัส ฮาร์ดี้ มากกว่า ผมชอบ ยูสตาเชีย วาย(ตัวละครหนึ่งใน เดอะ รีเทิร์น ออฟ เดอะ เนทีฟ-ผู้แปล)

    ผมสวมหมวกใบใหม่ แล้วนั่งลงเริ่มอ่านเรื่อง เอาต์ ออฟ แอฟริกา

    ผมอ่านจบไปแล้วรอบหนึ่ง แต่อยากอ่านซ้ำบางตอน ผมอ่านได้เพียงสามหน้า เมื่อได้ยินเสียงคนโผล่มาตรงม่านกั้นห้องอาบน้ำไม่ต้องชะเง้อดูให้เสียเวลา ก็รู้แล้วว่าเป็นใคร เจ้าโรเบิร์ต แอคลีย์มันอยู่ห้องติดกัน มีแค่ห้องอาบน้ำห้องเดียวที่ใช้ร่วมกันระหว่างสองห้องพักในด้านนี้ของอาคาร

    ไอ้นี่ใช้ห้องอาบน้ำวันละแปดสิบห้าครั้งเห็นจะได้ มันน่าจะเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ในหอเหมือนผมไม่ยอมลงไปดูเกมฟุตบอลร่วมกับคนอื่น ๆ มันแทบจะไม่โผล่ไปไหนเลย เป็นพวกชอบกล เป็นรุ่นพี่ผมที่อยู่เพนซี่ตลอดสี่ปี แต่ไม่มีใครเรียกฉายาอะไรนอกจาก “แอคลี่ย์”

    แม้แต่นายเฮิร์บ เกล เพื่อนร่วมห้องของมันยังไม่เรียกว่า บ๊อบ หรือแอค นี่ถ้ามันมีเมีย เมียคงเรียกมันว่า แอคลี่ย์ เหมือนกัน

    มันเป็นคนรูปร่างสูง ไหล่ผึ่ง สูงสักหกฟุตสี่นิ้วเห็นจะได้ ฟันงี้เขรอะ ทุกครั้งที่มันใช้ห้องน้ำต่อจากผมไม่เคยเห็นมันแปรงฟันเลย ดูเหมือนกับมีตะไคร่น้ำจับฟัน น่าแหวะฉิบ แทบจะอ้วก

    ถ้าเจอมันที่โรงอาหารตอนที่ปากมันเต็มไปด้วยมันบด หรือถั่วอะไรก็แล้วแต่ หน้ายังมีสิวเปรอะอีกด้วย ไม่ใช่แค่ที่หน้าผากหรือคางอย่างคนอื่นเขาเป็น มันโผล่ไปทั่วทั้งใบหน้าเลยล่ะ บุคลิกภาพสุดแย่แล้ว ยังทำตัวไม่น่าคบค้าสมาคม ปากไม่มีหูรูด ผมน่ะไม่ถืออะไรกับมันหรอก จริง ๆ นะ

    ผมรู้สึกได้ว่ามันยืนอยู่บนขอบคิ้วท่อน้ำฝักบัว ด้านหลังเก้าอี้ของผมนี่เอง จ้องมองว่าเจ้าสแตรดเลเตอร์อยู่ในห้องด้วยหรือเปล่า มันไม่ชอบขี้หน้าสแตรดเลเตอร์ และจะไม่ย่องเข้ามาในห้องอย่างเด็ดขาดถ้าเจ้าสแตรดเลเตอร์อยู่ ไอ้นี่เกลียดทุกคนแหละ

    จากนั้นมันก้าวลงจากขอบคิ้วท่อฝักบัวเข้ามาในห้องผม

    “ไงพวก” มันทัก

    มันชอบทักแบบนี้ เหมือนกับว่ามันเซ็งชีวิตเสียเต็มประดามันจะทำท่าเหมือนไม่ได้เข้ามาเยี่ยมทักทาย แต่ทำเหมือนกับว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดเสียมากกว่า โถ่เอ๊ย…

    “เออ หวัดดี” ผมตอบ ไม่เงยหน้ามองมัน

    คนอย่างเจ้าแอคลี่ย์นี่ ถ้าหากเสียเวลาละจากหนังสือที่อ่านอยู่ ก็เหมือนกับคนไร้ตัวตน ถึงยังไงคุณก็ไม่มีตัวตนอยู่ดี แต่ไม่เร็วไปถ้าคุณไม่แหงะหน้าขึ้นมามองทันที

    มันเริ่มเดินเกร่รอบห้อง ด้วยท่วงท่าเนิบนาบ แบบที่มันชอบทำหยิบสิ่งของส่วนตัวจากโต๊ะชั้นวางผ้ากำมะหยี่ มันหยิบจับข้าวของส่วนตัวของคุณพลิกขึ้นมาดู ไอ้หนูเอ๊ย คุณแทบประสาทกิน “เป็นไงวะแข่งฟันดาบ” มันสะเออะถาม ก็แค่อยากให้ผมเลิกสนใจอ่านหนังสือแล้วหาอะไรสนุก ๆ ทำ ไม่ได้สนใจเรื่องแข่งฟันดาบนั่นหรอก “เราชนะเปล่าวะ”

    “ไม่มีใครชนะว่ะ” ผมตอบ ไม่เงยหน้ามองมัน

    “ว่าไงนะ” มันงงสิ มันทำให้คุณต้องพูดย้ำซ้ำสองจนได้

    “ไม่มีใครชนะ” ผมตอบย้ำอีก พร้อมกับชำเลืองดูว่ามันกำลังยุ่งขิงอยู่กับอะไรบนโต๊ะของผม

    มันจ้องมองภาพถ่ายของหญิงสาวที่ผมเคยคบตอนอยู่นิวยอร์ก แซลลี่ เฮย์ส มันหยิบภาพขึ้นดูหนแล้วหนเล่า ไม่ต่ำกว่าห้าพันครั้งได้มั้ง ตั้งแต่เอามาตั้งโชว์ แล้วเสือกวางผิดที่ผิดทางเสียด้วย เหมือนมันแกล้งทำ

    “ไม่มีใครชนะเหรอะ” มันสำราก “เป็นงั้นได้ไงวะ”

    “กูลืมดาบฟอยล์กับอุปกรณ์ที่สถานีรถไฟใต้ดิน” ผมยังไม่เงยหน้าดูมัน

    “ที่สถานีรถไฟใต้ดิน ตายห่า เอ็งทำหายยังงั้นเหรอ”

    “พวกเราขึ้นรถไฟผิดขบวน กูมัวแต่ง่วนดูแผนที่บนผนัง”

    มันผลุนผลันเข้ามายืนค้ำบังแสงสว่าง “เฮ้ยมีง” ผมโพล่งขึ้น “กูอ่านประโยคเดียวนี้ตั้งยี่สิบเที่ยวแล้ว ตั้งแต่มึงเข้ามานะ”

    มีแต่เจ้าแอคลี่ย์นี่แหละที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย แม้จะถูกพูดกระทบแดกดัน ไม่ใช่คนอย่างมันแน่นอน “คิดสิ พวกเขาต้องให้มึงชดใช้คืนนะเว้ย”

    “ไม่รู้สิ กูไม่สนหรอก ทำไมมึงไม่นั่งให้เป็นที่เป็นทางวะ ไอ้หนูแอคลี่ย์ มึงยืนบังแสงอยู่นะ”

    มันไม่ชอบถูกเรียกว่าไอ้หนูแอคลี่ย์ มันบอกผมเสมอว่าผมคือไอ้เด็กเวร เพราะว่าอายุแค่สิบหก ส่วนมันสิบแปด มันแทบคลั่งเมื่อผมเรียกมันว่า “ไอ้หนูแอคลี่ย์”

    มันยังคงยืนอยู่อย่างนั้น เป็นมนุษย์จำพวกไม่ยอมหลบแสงทั้งที่คุณอ้อนวอนมันแล้ว แต่มันขยับออกในที่สุด กว่าจะทำอย่างนั้นได้ต้องใช้เวลานานทีเดียว “อ่านห่าอะไรอยู่วะ” มันถาม

    “หนังสือห่วย ๆสิวะ”

    มันพลิกหน้าปกหนังสือที่ผมอ่านดูชื่อเรื่อง และพูดว่า “ดีปล่าววะ”

    “ประโยคนี้ที่กูอ่านมันสุดแย่ว่ะ”

    ผมถากถางมันอย่างอารมณ์ขึ้นมันยังทำไม่รู้ไม่ชี้ แล้วก็เดินเกร่ไปรอบห้องอีก หยิบโน่นหยิบนี่ที่เป็นของส่วนตัวของผมไม่หยุด จนที่สุดไปหยิบของเจ้าสแตรดเลเตอร์ ผมวางหนังสือลงบนพื้นห้อง คุณไม่สามารถอ่านอะไรได้หรอกขณะที่มีคนอย่างไอ้แอคลี่ย์มาเดินวนรอบ ๆ มันเป็นไปไม่ได้เลยให้ตายเถอะ

    ผมเลื่อนตัวเหยียดเท้าจากเก้าอี้และจ้องเขม็งเจ้าแอคลี่ย์ที่ ทำตัวราวกับเดินอยู่ในบ้านของมันเอง ผมเหนื่อยแทบขาดใจ หลังจากเดินทางกลับจากนิวยอร์ก เริ่มจะหาวหวอดแล้ว พยายามสะบัดศีรษะไล่ความง่วงงุนเล็กน้อย บางครั้งก็ทำแก้เซ็งไปอย่างนั้น แล้วหมุนปีกหมวกกลับมาด้านหน้าดึงหลุบลงบังสายตา จะได้ไม่ต้องมองเห็นอะไรแวบผ่าน

    “กูว่ากูกำลังจะตาบอดแล้วว่ะ” ผมพูดด้วยเสียงห้าว “แม่ครับ ทุกสิ่งทุกอย่างในนี้มันมืดสนิทจริง ๆ เลย”

    “มึงนี่ท่าจะบ้าแล้ว ให้ตายห่าสิวะ” เจ้าแอคลี่ย์ ทำค้อนเข้าให้

    “แม่ครับ ยื่นมือมาให้ผมหน่อยสิครับ ทำไมแม่ไม่ยื่นมือมาสักทีล่ะ”

    “ขอร้องเถอะ มึงอย่าเล่นเป็นเด็กอมมือน่า”

    ผมได้โอกาสแล้วเริ่มคลำสะเปะสะปะไปข้างหน้า เหมือนคนตาบอด แต่ยังไม่ขยับตัวลุกขึ้น ปากพร่ำไปเรื่อย ๆ ว่า

    “แม่ครับทำไมแม่ไม่ยื่นมือมาให้ผมล่ะ”

    แล้วส่ายศีรษะไปมาอย่างดูเป็นจริงเป็นจัง มันทำให้ดูตลกดี แต่คงจะทำความรำคาญให้ไอ้เจ้าแอคลี่ย์มาก ผมงี้สะใจมากที่ได้แกล้งเจ้าแอคลี่ย์ สุดท้ายผมก็หยุดหมุนปีกหมวกกลับไปข้างหลังเหมือนเดิม แล้วปล่อยตัวตามสบายๆ

    “นี่ของใครวะ” เจ้าแอคลี่ย์ถาม พร้อมกับถือยางรัดหัวเข่าหรือสนับเข่าของเพื่อนร่วมห้องผม มันชอบหยิบจับสิ่งของเสมอ ๆ แม้แต่สายรัดข้อมือของคุณ ผมบอกไปว่าของเจ้าสแตรดเลเตอร์ มันโยนลงบนเตียงของสแตรดเลเตอร์ทันที ดูสิ มันเหยิบจากโต๊ะแล้วดันโยนทิ้งบนเตียง

    มันก้าวเข้ามานั่งบนที่วางแขนของเก้าอี้เจ้าสแตรดเลเตอร์ ไม่เคยเห็นมันนั่งดี ๆ บนเก้าอี้เลย “มึงไปได้หมวกใบนี้มาจากไหนวะ” มันถาม

    “นิวยอร์ก”

    “เท่าไหร่”

    “เหรียญเดียว”

    “มึงโดนปล้นแล้ว” มันเริ่มแคะเล็บนิ้วมือด้วยก้านไม้ขีด

    ไอ้นี่ชอบแคะเล็บจัง ตลกดีที่มันทำ ฟันมันยังเขรอะ ใบหูก็โสโครกสุด ๆ แต่มันกลับชอบทำความสะอาดซอกเล็บอยู่นั่นแล้ว ไอ้ห่ามันคิดว่าจะทำให้มันดูเป็นหนุ่มสำอางกระนั้นเชียว แล้วมันก็จ้องดูหมวกของผมอีกรอบ ขณะที่ยังคงแคะเล็บอยู่

    “แถวบ้านกูนะ หมวกอย่างนี้เขาสวมตอนเข้าป่าไปล่ากวางเท่านั้นแหละ” มันสำรากคำพูดออกมา “หมวกล่ากวางต่างหากว่ะ”

    “เหมือนห่าอะไรวะ” ผมถอดหมวกแล้วจ้องดูที่หมวก หรี่ตาข้างหนึ่งเหมือนเล็งเป้าไปที่หมวก  “นี่หมวกใส่ไล่ยิงคนต่างหากเว้ย” ผมโพล่งขึ้น “กูจะยิงคนในหมวกนี้ว่ะ”

    “พ่อแม่มึงรู้ยังวะ ว่ามึงโดนไล่ออกแล้ว”

    “ไม่รู้”

    “ไอ้สแตรดเลเตอร์มันไปไหนวะ”

    “ลงไปดูเกมโน่น มันมีนัดของมัน”  

    ผมตอบพลางหาว ผมหาวได้ตลอดเลยเพราะห้องมันอบอ้าวชวนง่วงเหงาหาวนอน ที่เพนซี่คุณอาจจะแข็งตายด้วยความหนาวเหน็บหรือตับแตกตายเพราะอากาศร้อนฉิบ…

    “ไอ้สแตรดเลเตอร์ผู้ยิ่งใหญ่” เจ้าแอคลี่ย์พูดลอย ๆ

    “เฮ้ย…ขอยืมกรรไกรตัดเล็บสักแป๊บได้มั้ยวะ มีใครช่วยเก็บเข้าของให้แล้วยัง”

    “ม่าย กูเก็บใส่กระเป๋าเรียบร้อยแล้ว วางอยู่บนตู้เสื้อผ้านั่นไง”

    “สักแป๊บนะ ยืมได้ป่าว” แอคลี่ย์พูด “กูเล็บยาวจัง ขอตัดสักหน่อยนะ”

    มันไม่สนใจเลยว่าคุณจะเก็บของเข้าที่เข้าทางและวางบนหลังตู้เสื้อผ้าแล้วก็ตาม ผมต้องดึงกระเป๋าลงมาให้มัน อยากจะบ้าที่ต้องทำอย่างนั้น วินาทีต่อมาผมเปิดตู้เสื้อผ้า ไม้ตีเทนนิสของเจ้าสแตรดเลเตอร์ในกล่องไม้ก็หล่นใส่ศีรษะดังพลั่ก เจ็บไม่น้อยเลยล่ะอยากฆ่าไอ้เจ้าแอคลี่ย์จริงๆ มันยังมีหน้าหัวเราะเสียงสูงดังสนั่นห้อง  ทั้ง ๆที่ผมหอบกระเป๋าใส่เสื้อผ้าลงมาเปิดหากรรไกรตัดเล็บให้มันแท้ ๆ เหมือนถูกทุบหัวเลย ไอ้แอคลี่ย์มันบ้าจี้อะไรขนาดนั้น

    “มึงช่างมีอารมณ์ขันจริงนะไอ้หนูแอคลี่ย์”

    ผมพูดกระแทกใส่ “มึงรู้เปล่า” ผมส่งกรรไกรตัดเล็บให้มัน “มึงให้กูเป็นผู้จัดการส่วนตัวมั้ยกูจะพาไปออกรายการวิทยุ”

    ผมนั่งลงที่เก้าอี้อีกคร้้ง มันเริ่มตัดเล็บที่ยาวยังกับเขาวัวโต ๆ “ใช้โต๊ะได้มั้ยวะ”ผมถาม “ตัดมันบนโต๊ะได้มั้ยวะ คืนนี้กูไม่อยากเดินย่ำลงบนเศษเล็บของมึงนะเว้ย” มันยังคงตัดเล็บกระเด็นหล่นลงพื้นอยู่นั่นแล้ว ไอ้เวรนี่นิสัยเลวจริงๆ

    “ใครวะเป็นคู่เดทไอ้สแตรดเลเตอร์” มันถามขึ้น ยังสะเออะอยากรู้ว่าเจ้าสแตรดเลเตอร์ควงสาวคนไหนอีก ดูมัน แม้จะเกลียดขี้หน้าเจ้าสแตรดเลเตอร์แค่ไหนก็ตาม

    “ไม่รู้สิ ทำไมวะ”

    “ไม่มีอะไรหรอก ไอ้หนู กูทนไอ้เหี้ยนี่ไม่ไหวว่ะ มันเหี้ยจริง ๆ กูรับไม่ได้ว่ะ”

    “มันชอบมึงนะ มันบอกกูว่ามันคิดว่ามึงเหมือนเจ้าชายฉิบโผง” ผมบอก ผมชอบเรียกเจ้าชายบ่อย ๆ ยามที่รู้สึกครึ้มอกครึ้มใจ มันช่วยแก้เซ็งได้เหมือนกัน

    “มันเป็นพวกมีทัศนคติสุดโต่ง” เจ้าแอคลี่ย์ เอ่ย “กูแค่ทนไม่ได้กับไอ้เวรนี่ มึงคิดดูสิ มัน…”

    “เฮ้ย มึงจะตัดเล็บลงบนโต๊ะไม่ได้รึไงวะ” ผมพูด “กูขอร้องมึงตั้งห้าสิบ…”

    “มันเป็นพวกมีทัศนคติสุดโต่งตลอดเวลาเลยล่ะ” เจ้าแอคลี่ย์พูด “กูไม่เคยคิดเลยว่าไอ้เวรตะไลนี่มันฉลาดปราดเปรื่องตรงไหนมันคิดว่ามันเป็นอย่างน้้น มันคิดว่ามันสุดยอด…”

    “แอคลี่ย์ ให้ตายห่าสิวะ มึงจะตัดเล็บเน่า ๆ ลงบนโต๊ะไม่ได้รึไง กูขอร้องมึงห้าสิบหนแล้วนะ”

    มันค่อยเริ่มตัดเล็บลงบนโต๊ะ มีหนทางเดียวที่จะไม่ให้มันทำอะไรต้องตะคอกเสียงดังใส่มันเท่านั้น

    ผมมองมันชั่วขณะหนึ่ง แล้วพูดว่า

    “เหตุที่มึงไม่ชอบหน้าไอ้สแตรดเลเตอร์ก็เพราะว่ามันพูดถึงเรื่องการแปรงฟันของมึงไง มันไม่ได้พูดเหน็บแนมมึงให้เสียหายหรอก ให้ร้องไห้โวยวาย มันไม่ได้พูดอะไรตรง ๆ แต่มันไม่ทำอะไรให้เสียหายใช่มั้ย ทั้งหมดมันต้องการให้มึงดูดีขึ้น่ มีความรู้สึกดี ๆ ถ้ามึงหัดแปรงฟันซะบ้างไง”

    “กูก็แปรงฟันนะ อย่ามาพูดแบบนี้กะกู”

    “ม่าย มึงไม่เลย กูเห็นมึงไม่แปรงฟัน”ผมพูด ผมไม่ได้พูดเลอะเทอะ ยังเสียใจแทนมันเลย ผมว่ามันไม่ค่อยดีนักถ้ามีใครมาบอกคุณว่าไม่ได้แปรงฟันใช่มั้ย “สแตรดเลเตอร์พูดถูกนะ มันไม่ได้เลวนักหรอก” ผมพูดอีก “มึงไม่รู้จักมันดีต่างหาก นั่นแหละเรื่องใหญ่”

    “กูก็จะยังด่ามันไอ้เหี้ยอยู่ดี มันไอ้เหี้ยชอบอวดเก่ง”

    “มันขี้อวดก็จริงแต่มันก็ใจกว้างนะในบางเรื่อง” ผมบอก

    “เอายังงี้ สมมติว่าไอ้สแตรดเลเตอร์ผูกไทหรืออะไรสักอย่างที่มึงชอบจริง ๆ มึงบอกไปเลยว่ามันผูกไทสุดเท่อยากที่มึงอยากได้มากๆ เท่านั้นล่ะมันจะทำยังไงรู้มั้ย มันก็ถอกเนกไทเส้นนั้นให้มึงเลยทันที เชื่อเถอะ หรือไม่ก็ถอดวางไว้บนเตียงนอนของมีง นั่นไงมันยกเนกไทให้มึงแล้ว ส่วนมากบางคนก็แค่__”

    “ระยำ” แอคลี่ย์ พูด “ถ้ากูมีเงินอย่างมันก็ก็ทำได้ละว้า”

    “ไม่หรอก มึงไม่ทำหรอก” ผมส่ายศีรษะ “ไม่เลย มึงจะไม่ทำเลย ไอ้หนูแอคลี่ย์ ถ้ามึงรวยอย่างมัน มึงจะเป็นหนึ่งในที่สุด-”

    “หยุดเรียกกูว่าไอ้หนูแอคลี่ย์ ไอ้ห่านี่ กูแก่พอที่จะป็นพ่อของมึงนะ”

    “ไม่ได้เลย มึงไม่ใช่” ไอ้หนูเอ๊ย มันชวนให้น่าโมโหเป็นบางครั้ง ไม่เคยปล่อยให้คุณลืมเรื่องอายุสิบหก ส่วนมันสิบแปดแล้ว“อันแรกคือ กูไม่นับมึงเป็นสมาชิกในครอบครัวหรอกว่ะ” ผมสวนกลับ

    “เอาล่ะ เลิกเรียกกู-”

    ทันใดนั้นประตูห้องเปิดผลัวะ  ไอ้สแตรดเลเตอร์โผล่เข้ามาด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลน

    มันก็เป็นอย่างนี้เสมอแหละ ทุกนาทีเป็นเรื่องสำคัญทั้งนั้น มันตรงมาหาผมด้วยท่าทางขี้เล่นยั่วอารมณ์นัก “ฟังนะ เพื่อน” มันเอ่ยขึ้น “มึงออกไปไหนมั้ยคืนนี้”

    “ไม่รู้ว่ะอาจจะไป ไปทำห่าอะไรมาวะ มีหิมะติดเต็มเสื้อผ้าหมด” มีหิมะจับเต็มเสื้อโค้ตของมัน

    “เออ ฟังนะ ถ้ามึงไม่ออกไปไหนคืนนี้ กูขอยืมเสื้อแจ็กเกตเขี้ยวฮาวน์ของมึงได้รึป่าว”

    “ใครชนะวะ” ผมพูด

    “กูดูแค่ครึ่งเดียวก็เผ่นออกมาแล้ว” เจ้าสแตรดเลเตอร์ ตอบ

     “ไม่พูดเล่นนะ มึงจะใช้เสื้อแจ็กเกตหรือเปล่า กูทำเสื้อสักหลาดของกูเปรอะหมดแล้ว”

    “ไม่โว้ย กูไม่อยากให้มึงทำให้ตรงไหล่ยืดหรอก” ผมบอกเราทั้งคู่รูปร่างสูงไล่เลี่ยกัน แต่มันหนักกว่าผมเกือบสองเท่า แถมยังไหล่กว้างกว่าเยอะ

    “กูไม่ทำให้มันยืดหรอกน่า” มันก้าวไปที่ตู้เสื้อผ้าอย่างรีบร้อน“ว่าไงไอ้หนูแอคลี่ย์” มันเอ่ยทักทายเจ้าแอคลี่ย์ มันก็เป็นคนอัธยาศัยดีกับเขาเหมือนกันนะ แต่แบบว่าตอแหลเล็กน้อย ถึงอย่างไรก็ยังงดีที่อุตส่าห์พูดทักทายเจ้าแอคลี่ย์

    เจ้าแอคลี่ย์ทำฟึดฟัดที่ถูกทักทายด้วยถ้อยคำว่า “ว่าไงไอ้หนู” มันไม่ตอบสแตรดเลเตอร์ มันระงับอารมณ์ขุ่นมัวไม่ได้ หันกลับมาพูดกับผมว่า “กูไปดีกว่า แล้วเจอกันนะ”

    “โอเค” ผมตอบ ไม่เคยรู้สึกใจหายวูบที่มันกลับไปยังห้องของมันเลย

    ส่วนเจ้าสแตรดเลเตอร์ เริ่มถอดเสื้อโค้ตแล้วคลายเนกไท “กูว่าโกนหนวดเคราสักหน่อยดีมั้ยเนี่ย” มันพร่ำกับตัวเอง ไอ้นี่หนวดเคราดกหนาจริง ๆ

    “แล้วไหนล่ะคู่เดตของมึง” ผมถาม

    “รออยู่ที่ห้องโถงโน่น”

    แล้วมันก็ผลุนผลันออกจากห้อง มีผ้าเช็ดหน้าและผ้าเช็ดตัวหนีบใต้รักแร้ ไม่สวมเสื้อผ้า มันเดินแก้โทงๆ คงคิดว่าตัวเองหุ่นดีระยำ ให้ตายห่่า หุ่นมันก็ไม่เลวเท่่าไหร่ ผมยอมรับ

    RELATED ARTICLES
    - Advertisment -

    Most Popular

    Recent Comments