Monday, May 20, 2024
More
    Homeบทความทั่วไปวรรณกรรมแปล “ผู้พิทักษ์ทุ่งข้าวไรย์” ตอน9

    วรรณกรรมแปล “ผู้พิทักษ์ทุ่งข้าวไรย์” ตอน9

    ​ตอน 9

    สิ่งแรกที่ผมทำเมื่อลงจากรถไฟที่สถานีเพนน์

    ผมมุ่งตรงไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะทันที ผมอยากจะแจ้งข่าวให้ใครสักคนรู้ วางสัมภาระไว้ข้างตู้พอมองเห็นถนัด

    แต่เมื่อเข้าไปในตู้โทรศัพท์แล้วกลับคิดไม่ออกว่าจะโทรไปหาใคร ดี.บี.พี่ชายผมก็อยู่ฮอลลีวูดน้องสาวโฟบี้ เข้านอนตั้งแต่สามทุ่มแล้ว เลยปลุกเธอมารับสายไม่ได้ เธอไม่ใส่ใจอะไรนักหรอกถ้าผมจะปลุกเธอ แต่มันแย่ตรงที่ว่าเธอไม่ได้รับอนุญาตให้รับโทรศัพท์ในบ้าน มีเพียงคุณพ่อกับคุณแม่เท่านั้นที่รับสายเอง เลิกคิดไปได้เลยเรื่องนี้

    แล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่าน่าจะโทรไปหาแม่ของเจน กัลลาเกอร์ เผื่อจะรู้ว่าเจนปิดภาคเรียนเมื่อไหร่ แต่ก็อีกนั่นแหละ ผมไม่มีอารมณ์อยากจะโทร อีกอย่างหนึ่งมันดึกมากเกินไป

    แล้วผมก็คิดจะโทรไปหาผู้หญิงที่ผมเคยไปเที่ยวกับเธอหลายครั้ง “แซลลี่ เฮย์ส” ผมรู้ดีว่าเธอเริ่มหยุดช่วงเทศกาลคริสต์มาสแล้ว เธอเล่ามาในจดหมายเพ้อเจ้อยืดยาวมาก เชิญชวนผมไปช่วยประดับต้นคริสต์มาสช่วงคริสต์มาสอีฟ

    แต่ผมก็เกรงว่าแม่ของเธอจะเป็นคนรับสาย แม่เธอรู้จักกับแม่ผมดีผมวาดภาพออกเลยว่าเธอจะแจ้นโทรไปบอกแม่ผมว่าผมอยู่ที่นิวยอร์ก แล้วผมก็ไม่ชอบคุยกับคุณนายเฮย์สทางโทรศัพท์นักหรอก เธอเคยบอกแซลลี่ว่าผมเป็นพวกกุ๊ย เธอว่าเพราะนิสัยหยาบกระด้างป่าเถื่อน ไม่มีจุดมุ่งหมายอะไรในชีวิต

    และแล้วผมก็คิดว่าน่าจะโทรไปหาไอ้หมอนี่ที่เคยเรียนด้วยกันที่โรงเรียนวูตัน ตอนผมอยู่ที่นั่น เจ้าคาร์ล ลูเช่ แต่ผมก็ไม่ได้ชอบมันนัก

    สรุปแล้วผมก็จบลงโดยไม่โทรไปหาใครเลย ผมออกจากตู้โทรศัพท์ หลังจากเข้าไปขลุกอยู่นานราวยี่สิบนาที คว้ากระเป๋าเดินทางขึ้นมาหิ้วเดินไปตามอุโมงค์ออกไปโบกรถแท็กซี่

    ผมีอาการเบลอหนัก จนต้องควักที่อยู่ตามบัตรยื่นให้โชเฟอร์แท็กซี่ดูจุดหมายปลายทาง ผมหมายถึงว่าผมลืมเสียสนิทว่าต้องไปเปิดห้องพักโรงแรมสักสองสามวัน ยังไม่กลับบ้านจนกว่าวันหยุดยาวจะเริ่มต้น ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลยจนเมื่อนั่งรถไปได้ครึ่งทาง ผ่านสวนสาธารณะ ทันใดนั้นผมโพล่งขึ้นทันที

    “เดี๋ยวนะ ช่วยกลับรถให้หน่อยนะ ถ้ากลับรถได้ ผมให้ที่อยู่ผิดไปแล้วล่ะ ผมต้องการย้อนกลับเข้าไปในเมืองมากกว่าครับ”

    โชเฟอร์ก็ไหวพริบดีพอตัว “ผมกลับรถแถวนี้ไม่ได้หรอก หนุ่ม ตรงนี้เป็นทางวันเวย์ ต้องขับตรงไปจนถึงสายเก้าสิบโน่น”

    ผมไม่อยากพูดให้มากความ “ก็ได้” ผมตอบ

    แล้วผมก็พลันนึกขึ้นได้ “เดี๋ยวนะ” ผมพูดกับโชเฟอร์

    “คุณพอจะเคยเห็นพวกเป็ดในบึงเซ็นทรัลปาร์คทางใต้หรือเปล่า นั่นแหละที่เป็นบึงเล็ก ๆ คุณรู้มั้ยว่าพวกมันไปอยู่ที่ไหนกันหมด พวกเป็ดน่ะ ตอนที่น้ำจับเป็นน้ำแข็งไปหมด พอรู้บ้างมั้ยครับ ผมเชื่อว่ามันยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร”

    เขาหันมามองผมเหมือนคนขวางโลก “นี่พวก ถามจริง ๆ ต้องการอะไรเหรอ” เขาพูด “ล้อกันเล่นงั้นเหรอ”

    “เปล่า ผมอยากรู้จริง ๆ ครับ”​

    เขาไม่พูดอะไรอีก รวมทั้งผมด้วย กระทั่งเราออกจากสวนสาธารณะที่ถนนสายเก้าสิบ จากนั้นเขาพูดขึ้นว่า “เอาล่ะเพื่อนจะไปไหนต่อล่ะ”

    “เอ้อ เรื่องของเรื่องผมไม่อยากไปพักโรงแรมทางย่านตะวันออกที่ ๆ ผมรู้สึกคุ้นเคยดี ผมชอบเที่ยวไปในที่ ๆ ไม่รู้จัก”

    ผมบอกผมเกลียดการพูดเหลวไหลจัง อย่างที่ว่า “เที่ยวไปเรื่อยในที่ ๆ ไม่รู้จัก” แต่เมื่อผมพบพวกไร้สาระเพ้อเจ้อ ผมก็ออกท่าทางแบบนั้นด้วย

    “คุณรู้จักวงดนตรีทีทาฟหรือนิวยอร์กเกอร์บ้างหรือเปล่าล่ะ”

    “ไม่รู้ว่ะเพื่อน”

    “งั้นพาผมไปที่เอ็ดมอนท์ดีกว่า” ผมบอก “คุณจะแวะดื่มค็อกเทลกับผมสักหน่อยเอามั้ยล่ะ ผมพกมาด้วย”

    “ทำอย่างนั้นไม่ได้นะเพื่อน เสียใจนะ” เขาเริ่มท่าทีเป็นมิตรขึ้นบ้าง บุคลิกภาพน่าเกรงขามทีเดียว

    เราไปถึงโรงแรมเอ็ดมอนท์ ผมติดต่อเปิดห้องพัก หยิบหมวกล่าสัตว์ขึ้นมาสวมระหว่างนั่งแท็กซี่ไปตลอดทาง แค่นึกสนุกกับมันเท่านั้น แต่ก็ถอดออกก่อนจะเข้าไปเปิดห้องพักโรงแรม ไม่อยากให้ดูเหมือนคนเฉิ่ม ๆ อย่างนั้น มันเป็นการพูดประชดประชันแค่นั้นจริง ๆ ผมไม่รู้ว่าทำไมโรงแรมสั่ว ๆ ที่ไหนมักเต็มไปด้วยพวกทึ่มพวกเฉิ่มไปหมดทุกที่นะ

    พนักงานรับจองห้อง เลือกห้องพักสุดเส็งเคร็ง ไม่มีอะไรจะดูเลยนอกหน้าต่างนั้น ยกเว้นทางปีอาคารด้านหนึ่งของโรงแรม แต่ผมก็ไม่สนใจอะไรนัก ผมรู้สึกหดหู่เกินกว่าจะใส่ใจว่าทิวทัศน์ข้างนอกดีหรือไม่

    พนักงานยกกระเป๋าที่พาผมไปยังห้องพักเป็นชายวัยราวหกสิบห้าได้กระมัง ท่า่ทางเขายิ่งดูหดหู่กว่าห้องพักเสียอีก

    เขาเป็นคนผมบางมาก ชอบหวีเส้นผมจากด้านข้างข้ามมาปิดบังส่วนที่โล้นเลี่ยนกลางกระหม่อม ผมชอบให้หัวล้านไปเลยดีกว่าทำอย่างนั้น

     ถึงยังไงก็ตามมันเป็นงานที่วิเศษเหลือสำหรับชายสูงอายุหกสิบห้าปี แบกยกกระเป๋าสัมภาระให้แขกที่เข้าพัก แล้วยืนรอรับทิป ผมคาดว่าเขาคงไม่ใช่คนที่มีความรู้มากนัก แต่มันก็ดูแย่อยู่ดี

    พอคล้อยหลังแล้ว ผมมองออกนอกหน้าต่างสักพัก ขณะที่ยังสวมเสื้อโค้ตอยู่ ผมไม่มีอะไรจะทำอีก คุณอาจจะรู้สึกประหลาดใจว่ามีอะไรอยู่อีกด้านหนึ่งของโรงแรม พวกเขาไม่ดึงม่านหน้าต่างปิดบังเลย

    ผมเห็นชายคนหนึ่ง ผมสีดอกเลา ดูเป็นคนมาดดี นุ่งกางเกงขาสั้น ทำอะไรบางอย่างที่คุณไม่อยากเชื่อสายตา ตอนแรกเขาเปิดกระเป๋าเดินทางที่วางบนเตียง ดึงชุดของผู้หญิงหลายชุดออกมาทาบตัวเองแล้วก็สวมใส่

    เสื้อผ้าของผู้หญิงจริง ๆ นะ มีทั้งผ้าไหม รองเท้าส้นสูง ยกทรง และยังมีชุดชั้นในรัดทรวดทรง มียางยึดเกี่ยวถุงน่องปล่อยห้อยลง แล้วเขาก็สวมชุดสีดำรัดรูปสาบานได้ แล้วก็เดินบิดไปมาอยู่ในห้อง ค่อย ๆ เยื้องย่างก้าวสั้นๆ อย่างที่ผู้หญิงกรีดกราย และวางท่าสูบบุหรี่ จ้องมองเงาตัวเองในกระจก เขาอยู่ตามลำพังนอกเสียจากว่าจะมีใครอยู่ในห้องน้ำเท่านั้นแหละ

    ผมมองไม่ถนัดนัก จากนั้นที่หน้าต่างตรงกันนี้เอง ผมเห็นชายหญิงคู่หนึ่งพ่นน้ำออกจากปากใส่กันและกัน มันมองเหมือนลูกโป่ง แต่มองไม่ออกว่าในแก้วที่ถืออยู่นั้นเป็นอะไร

    ตอนแรกเขายกดื่มกลืนเข้าไปแล้วก็พ่นออกมาเป็นลำไปทั่วร่างเจ้าหล่อน แล้วฝ่ายหญิงก็ทำแบบเดียวกันใส่เขา ผลัดกันทำอย่างนั้นบ้าจริง ๆ คุณน่าจะได้เห็นทั้งคู่นะ ทั้งคู่ส่งเสียงครางกระเส่าราวกับว่าสนุกสุดหฤหรรษ์ที่สุดที่เพิ่งเคยประสบมา

    จริง ๆ นะ ไอ้โรงแรมแบบนี้มีแต่พวกวิปริต ผมเองอาจจะเป็นคนห่วยแตกที่ดูปกติคนเดียวเท่านั้นในที่แบบนี้ ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก ผมจะส่งโทรเลขไปบอกไอ้สแตรดเลเตอร์ว่าน่าจะจับรถไฟเที่ยวแรกไปนิวยอร์ก มันน่าจะเป็นราชาแห่งโรงแรมได้เลยล่ะไอ้หมอนี่

    มันแย่อยู่ตรงที่ว่าเรื่องสวะๆที่เห็น แม้คุณไม่อยากจะเห็นมันเกิดขึ้น อย่างกรณีหญิงสาวรายนั้นอมน้ำแล้วพ่นเปรอะไปทั่วใบหน้า เธอสวยไม่น้อยเลยล่ะ

    มันเรื่องสำคัญเลยทีเดียวในห้วงมโนภาพของผม ผมอาจจะเป็นจอมบ้าเซ็กซ์เท่าที่คุณเคยพบเห็นบางเวลาผมหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องพวกนี้ ผมไม่ลังเลเลยถ้าโอกาสมาถึงเมื่อไหร่ ผมแทบจะไม่รู้เลยว่ามันสนุกมากยังไงในวิถีชีวิตที่ไร้สติเช่นนั้น ยิ่งถ้าเมาด้วยแล้ว พาผู้หญิงไปและพ่นน้ำใส่กันหรือทำอะไรต่อมิอะไรให้เปรอะใบหน้าเธอ

    ความจริงผมไม่ชอบความคิดอย่างนั้นหรอก มันทุเรศสิ้นดี คิดดูดี ๆ สิ ผมว่าถ้าคุณไม่ชอบสาว ๆ คุณก็ไม่ควรจะควงเธอไปไหนต่อไหน แต่ถ้าคุณชอบเธอ ก็ควรจะทะนุถนอมใบหน้าเธอด้วยใช่มั้ยล่ะ คุณควรระมัดระวังไม่ควรทำอะไรให้ใบหน้าของเธอเลอะเทอะ

    มันช่างแย่จริง ๆ ที่การทำอะไรอย่างนั้นเป็นของสนุกสุดเหวี่ยง ผู้หญิงน่ะช่วยอะไรไม่ได้นักหรอกตอนที่คุณไม่ทำอะไรเละเทะ ตอนที่คุณไม่อยากทำให้เกิดความเสียหายยับเยิน

    ผมรู้จักสาวคนหนึ่งสักสองสามปีก่อน เป็นคนใจแตกมากกว่าที่คิด ไอ้หนูเอ๊ย เละเทะเสียจริงเชียว เราสนุกกันสุดเหวี่ยงเลยในแบบเละตุ้มเป๊ะ

    เรื่องเซ็กซ์เป็นเรื่องที่ผมไม่เข้าใจเลยให้ตายเถอะ คุณไม่มีทางรู้ว่าคุณไปอยู่ตรงจุดไหน ผมรวบรวมกฎแห่งเซ็กซ์ของผมขึ้นเอง แล้วก็แหกกฏเสียเอง ปีก่อนผมสร้างกฎขึ้นมาว่าจะเลิกมั่วกับสาวๆ เพราะมันทำให้แสบทรวงมาก แต่ผมก็ทำลายกฎนั่นทิ้งไปเสียแล้ว แม้ว่าผมเพิ่งจะสร้างขึ้นในสัปดาห์เดียวกันกับคืนที่เกิดเหตุขึ้น ผมใช้เวลาตลอดคืนกับหญิงสาวชื่อแอนน์ หลุยส์ เชอร์แมน

     เซ็กซ์เป็นสิ่งที่เข้าใจยากจริง ๆ สาบานได้

    ผมเริ่มสนุกกับความคิดแปลกๆ ขณะยืนอยู่ตรงนั้น กับความรู้สึกคิดถึงสาวเจนคู่ควงเก่า ผมหมายถึงว่าผมจะโทรทางไกลไปหาเธอที่บี.เอ็ม. ที่ๆเธอไป แทนการโทรไปหาแม่เธอ ถามว่าเธอจะกลับเมื่อไหร่ คุณจะโทรไปปลุกนักเรียนกลางดึกไม่ได้หรอก

    แต่ผมคิดหาวิธีได้แล้ว ผมจะบอกคนที่รับสายว่าผมเป็นลุงของเจน บอกว่าป้าของเธอประสบอุบัติเหตุรถชนเสียชีวิต ผมต้องการแจ้งข่าวให้เธอทราบเป็นการด่วน มันต้องได้ผลแน่ แต่เหตุผลเดียวที่ผมไม่ทำเช่นน้้น เพราะไร้อารมณ์เหลือเกิน ถ้าคุณไม่มีอารมณ์คุณทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก เชื่อเถอะ

    สักพักหนึ่งผมนั่งลงกับเก้าอี้และดูดบุหรี่ไปสองสามมวน ผมรู้สึกเซ็งอย่างบอกไม่ถูก แต่ทันใดผมคิดได้อย่างหนึ่ง ผมล้วงกระเป๋าสตางค์ออกมาค้นหาที่อยู่ของเพื่อนคนหนึ่งที่รู้จักกันในงานปาร์ตี้ฤดูร้อนที่แล้วที่พรินซ์ตัน เป็นการ์ดสีสันหวือหวา ซึ่งคุณต้องอ่าน มีที่อยู่ของผู้หญิงคนหนึ่ง เธอไม่ใช่พวกโสเภณีหรอก  แต่ไม่เป็นไรถ้าจะลองติดต่อเธอสักครั้ง

    ไอ้เพื่อนที่พรินซ์ตันคนนี้ให้ผมมามันควงเธอออกงานเต้นรำที่พรินซ์ตันคร้้งหนึ่ง เกือบโดนไล่ออกจากงานเลี้ยงเลยโทษฐานควงสาวคนนี้ไปงาน ก็เธอเป็นนักเต้นอะโกโก้ทำนองนั้น

    ถึงอย่างไรผมก็ตรงไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะ แล้วหมุนเบอร์ไปหาเธอ เธอชื่อว่า เฟธ คาเวนดิช พักอยู่ที่โรงแรมสแตมฟอร์ด อาร์มส ถนนสายหกสิบห้า บรอดเวย์ ไม่ต้องสงสัยเลย โสเภณีชัด

    ชั่วแวบผมคิดว่าเธอไม่ได้อยู่แน่ ไม่มีเสียงจากปลายสาย ทันใดมีใครบางคนยกหูโทรศัพท์ขึ้น

    “ฮัลโหล” ผมกรอกเสียงทำให้ฟังทุ้มนุ่มลึก เพื่อไม่ให้จับได้ว่าอายุประมาณเท่าไหร่ ความจริงเสียงผมก็ฟังห้วน ๆ อยู่แล้ว

    “ฮัลโหล” ผู้หญิงคนนั้นตอบ น้ำเสียงไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าใด

    “เอ้อ คุณเฟธ คาเวนดิช หรือเปล่าครับ”

    “นั่นใครล่ะ” เธอพูด “ใครกันนะที่โทรมาปลุกกันดึกดื่นขนาดนี้ หา”

    เสียงนั้นทำให้ผมเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย

    “เอ่อ ผมรู้แล้วว่าดึก” ผมตอบไปด้วยน้ำเสียงคนสูงอายุ “หวังว่าคุณคงยกโทษให้ผมนะผมอยากติดต่อกับคุณมาก” ผมพยายามพูดอย่างอ่อนโยนที่สุด

    “นี่ใครกันนะ” เธอซักอีก

    “เอ้อ คุณไม่รู้จักผมหรอก ผมเป็นเพื่อนกับเอ็ดดี้ เบิร์ดเซลล์ ไงเขาแนะนำว่าถ้าผมเข้ามาในเมืองเมื่อไหร่ เราน่าจะมาเจอกัน จิบค็อกเทลสักหนสองหน”

    “ใครกันนะ คุณเป็นเพื่อนกับใครนะ” ไอ้หนูเอ๊ยเธอคือนางเสือร้ายทางโทรศัพท์เลยล่ะ เธอแทบตวาดใส่ผมทีเดียว

    “เอ็ดมันด์ เบิร์ดเซลล์ เอ็ดดี้ เบิร์ดเซลล์ หรือไงนี่แหละ”

    ผมพูดต่อ ผมไม่แน่ใจนักว่าเขาชื่อเอ็ดมันด์หรือเอ็ดดี้ ผมรู้จักเขาในงานปาร์ตี้ที่ไหนสักแห่งหนึ่ง

    “ฉันไม่รู้จักใครที่ว่านั่นสักหน่อยเลยนะ ถ้าคุณสนุกที่จะปลุกคนกลางดึกล่ะก้อ___”

    “เอ็ดดี้ เบิร์ดเซลล์ จากพรินซ์ตัน ยังไงล่ะ” ผมร่ายต่อ

    เชื่อได้เลยล่ะว่าเธอกำลังไล่เรียงชื่อคนที่เธอรู้จักอยู่ในหัวในตอนนั้นเลยล่ะง

    “เบิร์ดเซลล์ เบิร์ดเซลล์ จากพรินซ์ตัน มหาวิทยาลัยพรินซ์ตันเหรอ”

    “นั่นแหละใช่แล้ว” ผมรีบตอบกลับทันที

    “คุณมาจากพรินซ์ตันด้วยเหรอ”

    “ก็ประมาณนั้นแหละครับ”

    “อ้อเหรอ แล้วเอ็ดดี้เป็นไงบ้าง สบายดีหรือเปล่า” เธอถาม

    “แล้วนี่ไม่ใช่เวลาที่จะเที่ยวปลุกใคร ๆขึ้นมานะ”

    “เขาสบายดี เขายังคงคิดถึงคุณอยู่เสมอครับ”

    “เอ่อ ขอบคุณนะ ฝากความคิดถึงไปให้เขาด้วยนะ” เธอบอก“เขาเป็นคนดีคนหนึ่ง ตอนนี้เขาทำอะไรอยู่ล่ะ”

    เธอกลายเป็นคนมีอัธยาศัยไมตรีดีเหลือหลาย ต่างจากเมื่อกี้ราวพลิกฝ่ามือ

    “อย่างเดิม ๆ นั่นแหละครับ” ผมตอบ จะไปรู้ได้ยังไงวะว่าเขาทำอะไร ผมไม่รู้จักเขาเลย ไม่รู้แม้กระทั่งว่ายังอยู่ที่พรินซ์ตันหรือเปล่า

    “นี่ฟังนะครับ” ผมพูด “คุณอยากจะออกมาดื่มค็อกเทลกับผมบ้างมั้ย”

    “โธ่ นี่คุณไม่รู้เลยหรือว่ามันกี่โมงกี่ยามแล้ว” เธอท้วง “คุณชื่ออะไรถามหน่อย” เธอชักออกสำเนียงอังกฤษทันทีเหมือนกัน“น้ำเสียงคุณฟังเหมือนวัยรุ่นนะ”

    ผมหัวเราะ “ขอบคุณที่ชมครับ” ผมพูดให้ทุ้มนุ่มนวลสุด ๆ “โฮลเด้น คอลฟีลด์ ครับ” ผมน่าจะใช้ชื่อสมมตินะ แต่ไม่ทันฉุกคิด

    “เอาล่ะ คุณคอว์ฟเฟิล ฉันน่ะไม่ชอบทำอะไรตอนตึกดื่นหรอกนะ ฉันเป็นผู้หญิงทำงานคนหนึ่งนะ”

    “วันอาทิตย์พรุ่งนี้เป็นไงล่ะ” ผมรุกเร้าอีก

    “ยังไง ๆ ฉันก็ขอนอนให้เต็มอิ่มก่อนละนะ เข้าใจมั้ย”

    “ผมว่าเราน่าจะไปดื่มค็อกเทลกันสักหนเถอะ ยังไม่ดึกนักหรอก”

    “แหม ปากหวานจัง” เธอพูด “คุณโทรมาจากที่ไหนละเนี่ยคุณอยู่ที่ไหนตอนนี้”

    “ผมเหรอ ก็อยู่ในตู้โทรศัพท์นะสิ”

    “โอ๊ะ” เธอพูด แล้วเงียบสักครู่หนึ่ง “เอ่อ ฉันอยากจะออกไปกับคุณอยู่เหมือนกัน คุณคอว์ฟเฟิล เสียงคุณชวนเคลิบเคลิ้มดี มีเสน่ห์น่ารัก แต่นี่มันดึกแล้วรู้มั้ยคะ”

    “ผมไปรับคุณก็ได้นี่”

    “เอาล่ะ ก็ได้ ฉันอยากบอกอย่างนั้นจริง ๆ อยากให้คุณแวะมาเลี้ยงค็อกเทล แต่ว่าเพื่อนร่วมห้องของฉันไม่สบาย เธอนอนซมท้้งคืนหลับไม่ลง นี่ก็เพิ่งจะหลับตาลงได้ไม่นานเลยนะ”

    “ยังงั้นก็แย่สินะ”

    “คุณอยู่ที่ไหนล่ะ เผื่อบางทีพรุ่งนี้เราอาจจะไปดื่มกันก็ได้นะ”

    “ผมอยู่ไม่ถึงพรุ่งนี้หรอกครับ” ผมตอบ “คืนนี้คืนเดียวเท่านั้นที่จะไปได้”

    มันเป็นอะไรวะเนี่ย ผมไม่ควรบอกไปอย่างนั้นเลย

    “โอ๊ะ เสียใจด้วยนะ”

    “ผมจะบอกเอ็ดดี้ว่าคุณฝากความคิดถึงมากให้”

    “คุณทำได้แน่นะ หวังว่าคุณคงเพลิดเพลินในนิวยอร์กนะ”

    “ขอบคุณครับ ราตรีสวัสดิ์” ผมกล่าวลาแล้ววางหูโทรศัพท์

    ไอ้หนูเอ๋ย ผมล้มเหลวอีกแล้ว ผมควรจะทำสำเร็จสักครั้งนะ

    RELATED ARTICLES
    - Advertisment -

    Most Popular

    Recent Comments