คอลัมน์ อาชญา (ลง) กลอน
โดย…ธนก บังผล
ทนายความกับตำรวจเหมือนเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานาน ด้วยเพราะหน้าที่การงานที่ไม่ต่างจากลิ้นกับฟันซึ่งต้องกระทบกันบ้างเป็นบางครั้ง
แต่ก็มีไม่น้อยนะครับที่ทนายความทำตัวหัวหมอแข็งข้อกับตำรวจ อาจจะเห็นว่าจบกฎหมายมาเป็นผู้ที่รู้ช่องทางอย่างดี กรณีแบบนี้สร้างความกระอักกระอ่วนใจให้กับตำรวจเป็นอันมาก
ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ ในวงการสีกากีรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาจึงเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิด แต่ก็สามารถนำมาเป็นข้อถกเถียงกันได้
หลังจากนายสุกิจ พูนศรีเกษม พาร่างทรง 4.0 น.ส.สุริยะเทพ พระมหาสุริยา เข้าแจ้งความที่สน.พหลโยธิน
แต่ตัวนายสุกิจเองกลับถูกตำรวจกองปราบปราม แสดงหมายจับในข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนและพื้นที่อุทยานแห่งชาติฯ ใน อ.แม่สอด จ.ตาก
อย่างที่ทุกท่านเห็นคลิปนั่นละครับ แอคชั่นของทั้งตำรวจและนายสุกิจในวันนั้นยิ่งกว่าละครหลังข่าวเสียอีก
ภาษาวัยรุ่นเราเรียกเหตุการณ์วันนั้นว่า “โคตรพีค” เพราะจบแบบหักมุม แทนที่ทนายความคนดังจะเป็นผู้กล่าวหากลับกลายเป็นผู้ต้องหาเองซะงั้น
และตามคาดที่ สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ ก็ออกโรงตั้งข้อสงสัยในการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจทันที
ด้วยการตั้งโต๊ะแถลงข่าว ว่า รัฐธรรมนูญเเห่งราชอาณาจักรไทยเเละประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาให้ความคุ้มครองสิทธิเสรีภาพเเก่ประชาชนเอาไว้
ตามข่าวระบุว่า นายสุกิจ ที่ถูกจับกุมตามหมายจับขณะนั้นกำลังปฏิบัติหน้าที่ของทนายความ แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมด้วยวิธีการที่ปรากฏตามสื่อเป็นการสมควรหรือไม่
เเละเมื่อนายสุกิจเป็นทนายความ การจับกุมดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อวิชาชีพ ศักดิ์ศรีของทนายความ และความเป็นมนุษย์ที่จะต้องได้รับความคุมครองตามรัฐธรรมนูญ และป.วิอาญา
“ตรงนี้เราไม่ได้ออกมาว่าจะปกป้องการกระทำผิด ทุกอาชีพย่อมมีคนที่จะกระทำผิดปะปนกันไป เเต่เราตั้งข้อสังเกตถึงวิธีการจับกุมเป็นไปตามหลักการปฏิบัติที่ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่” ตัวแทนจากสภาทนายความท่านหนึ่ง กล่าวกับสื่อมวลชน
ผมคิดว่าก่อนที่เราจะไปตั้งคำถามถึงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน เราต้องดูท่าทีของผู้ต้องหาที่ถูกหมายจับด้วยนะครับว่าเป็นอย่างไร เพื่อประกอบการตัดสินใจอย่างรอบด้าน
ซึ่งหากดูภาพที่ออกมาวันนั้นแล้วการใช้คำพูดคำจาของนายสุกิจ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สถานการณ์บานปลาย
นายสุกิจ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนผ่านโทรศัพท์ว่า พล.ต.อ. ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ บอกว่า เป็นเรื่องเข้าใจผิด และเรื่องทำร้ายร่างกายนั้น ตำรวจบอกว่าไม่ได้เจตนา ขอให้เลิกแล้วต่อกัน
ตนเองไม่ได้ขัดขวาง แต่เป็นการขัดใจมากกว่า และเขาต้องการสร้างภาพให้นายเห็นว่าสามารถจับทนายสุกิจได้ เพราะคิดว่าจะจับกุมทนายสุกิจ คงยาก และการจับกุมตำรวจกองปราบไม่ต้องมาเองก็ได้ ส่งหมายจับมาที่สน.พหลโยธิน ให้ตำรวจที่สน.ดำเนินการจับกุมตนเองไม่หนีไปไหนอยู่แล้ว
นี่เป็นคำพูดของผู้ต้องหาหลังถูกจับกุมและได้รับการประกันตัวออกมาแล้วนะครับ
ในส่วนของกฎหมายนั้นน่าคิดกว่า คือหากมองว่านายสุกิจ ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน มาตรา ๑๓๖ ผู้ใดดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทำการตามหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
[อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐]
และ มาตรา ๑๓๘ ผู้ใดต่อสู้ หรือขัดขวางเจ้าพนักงานหรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าการต่อสู้หรือขัดขวางนั้น ได้กระทำโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐]
ในหลายๆกรณีที่ตำรวจถูกมองว่าทำเกินกว่าเหตุนั้น ก็อยากให้ลองมองในอีกมุมหนึ่งดูครับว่าหากเกิดความผิดพลาดขึ้นมาระหว่างการเข้าจับกุม การถูกยั่วยุด้วยวาจา หรือแม้กระทั่งเลวร้ายที่สุดคือใช้อาวุธต่อสู้ สังคมจะออกมาเห็นใจตำรวจหรือไม่
ถามกันตรงๆละครับ ทุกวันนี้ยังมีคนกลัวตำรวจอยู่อีกหรือครับ ขนาดเด็กเมื่อวานซืนยังเคยท้าให้ถอดเครื่องแบบออกมาต่อยกันตัวๆมาแล้ว
ก็ขอเป็นกำลังใจให้ทั้ง 2 ฝ่าย หันหน้าเข้าหากันดีๆครับ สังคมตอนนี้มันเละเทะเหลือรับประทานแล้ว
ที่สำคัญคือสาเหตุทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นมาจากไปคลุกคลีกับร่างทรง 4.0 หรือเปล่าครับ (ฮา)