วันนี้ ตำรวจภาค 4 มีผู้นำคนใหม่ เดอะหม่อง-พล.ต.ต.สุรชัย ควรเดชะคุปต์ ลุกจากเก้าอี้ รองผบช.น.( คุมงานสืบสวนและปจร. )มาเป็นผบช.ภ.4 ดูแลพื้นที่อีสานเหนือ 12 จังหวัด ขอนแก่น อุดรธานี หนองบัวลำภู หนองคาย นครพนม สกลนคร บึงกาฬ กาฬสินธ์ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม เลย และมุกดาหาร
เชื่อว่าคงไม่มีปัญหาอะไร เพราะเจ้าตัวเคยเป็นผู้การจังหวัดมุกดาหารมาถึง 2 ปี รู้วัฒนธรรมตำรวจภาค 4 และชาวบ้านในพื้นที่เป็นอย่างดี
ก่อนนี้ เคยสัมภาษณ์พี่เขา เรื่องพระเครื่องในคอ ตอนเป็นรองผบช.ภ.7ลง Cop’s Magazine เมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว ย้อนกลับเอามาอ่านกันครับ
หลวงพ่อรุ่ง ห้อยแล้วดี รู้สึกได้
เดอะหม่อง-พล.ต.ต.สุรชัย ควรเดชะคุปต์ รองผบช.ภ.7
นรต.36 นักสืบรุ่นเดียวกับ จักรทิพย์ ชัยจินดา ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย สุชาติ ธีระสวัสดิ์ สุทธิพงษ ์วงษ์ปิ่น รณศิลป์ ภู่สาระ สมชาย รักเสนาะ กฤษณะ ทรัพย์เดช
สร้างชื่อที่กองปราบฯ โดยเฉพาะกก.8 ป.หรือตำรวจท่องเที่ยว สมัยนั้นยังเป็นแค่กองกำกับ เจ้าตัวตำแหน่งสว.ผ.4 กก.8 ป. ไล่จับแก๊งไอ้หว่า 9 นิ้ว แก๊งมังกรจีนเป็นว่าเล่น ก่อนโยกกลับเป็น สว.ผ.5 กก.5 ป. สมัยพล.ต.ต. รังสิต ญาโณทัย เป็นผู้การ จักรทิพย์ ชัยจินดา อยู่ ผ.3กก.1ป. ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย อยู่ผ.2กก.2ป. จากนั้นเป็นสว.ผ.1 กก.1ป. ขึ้นรองผกก.1ป. ขึ้น ผกก.อำนวยการสระบุรี ผกก.ดำเนินสะดวก มหาชัย ขึ้นรองผู้การสมุทรสาคร รองผู้การหัวหน้าศูนย์สืบสวนภาค 7 ผู้การ ปปป.แล้วไปอยู่มุกดาหาร 2 ปี หัวหน้าศูนย์สืบภาค 3 ปีหนึ่ง แล้วมาเป็นผู้การสืบภาค7 รองผบช.ภ. 7
ได้คุยกันถึงเรื่องพระเรื่องเจ้า ขวัญกำลังใจจับโจร พล.ต.ต.สุรชัยบอกว่า
“ตอนเป็นตำรวจเด็กๆ จบใหม่ๆไปลงที่สระบุรี ห้อยเดี่ยวพระร่วงรางปืนองค์เดียว แต่ความรู้สึกใส่แล้วทะเลาะกับนาย เป็นอาชีพหลัก ยิ่งช่วงเป็นรองสารวัตรสืบสวนสอบสวนที่ สน.บางซื่อ แรงมาก…” รองผบช.ภ.7 หัวเราะร่าเมื่อรื้อฟื้นความหลัง
พระที่บ้านมีเยอะ ตอนนั้นไม่ได้สนใจ พี่ชาย(พล.ต.อ.พิชิต ควรเดชะคุปต์)เลยเอาไปหมด เพราะแต่ก่อนพี่พิชิตออกไปชายแดน แต่ก็ยังมีเหลือพระร่วงรางปืนที่บ้าน ตะกรุด พระที่มีถักด้วยทองแดงเยอะมาก เพราะสมัยก่อนเขาไม่มีเลี่ยม
ประสบการณ์ก็มีบ้าง อย่างตอนอยู่สระบุรี เป็นพนักงานสอบสวน แต่ก็ต้องไปจับโจรด้วย แต่ก่อนมันเป็นโจรโบราณ โจรบ้านนอก ไปถลกมุ้งจับ ไม่ได้คิดอะไร คนร้ายคดีฆ่าส่วนใหญ่จะมีปืนอยู่ใต้หมอน เราเป็นคนทำคดี ก็บุกไปถลกมุ้งอะไรเงี้ย ไม่คิดอะไร แต่มาตอนหลังถึงคิด ก็รู้อยู่ว่ามันมีปืน แต่เราอาศัยไวกว่าพังประตูถลกมุ้งก็ถึงตัวเลย
ที่จำได้ จบใหม่ๆเลย คือขึ้นไปแถวดงโจร วัดพุทธฉาย ตรงค่ายทหาร ที่จ.สระบุรี มีสายมาบอกก็แบ่งกำลังกันเข้าไปชาร์จ เข้าไปปุ๊บ มันกระโดดบ้านหนี แล้วโยนลูกระเบิดมา โชคดีไม่ระเบิด เพราะไม่ได้แกะสลัก ไม่รู้มันลืมหรือเปล่า มันก็ตกใจ เราก็ตกใจ ต่างคนต่างตกใจ ตอนนั้นใส่พระร่วงรางปืนองค์เดียว ก็คิดว่าแคล้วคลาดนะ
คือไปทำงานตลอด แต่ไม่เจออะไรที่รุนแรง ทั้งที่น่าจะเจอ มันแคล้วคลาด เหมือนมีใครคอยปกป้องคุ้มครอง บอกไม่ถูก เหมือนเราหลุดพ้นได้มาตลอด
ช่วงนั้นเล่นแต่พระบู๊ อย่างพระที่เขาใช้มีดมากรีดหินได้ เขาเรียกพระถ้ำเสือ เราก็มี พระมเหศวร เราก็มี แล้วมาห้อยพระไพรีพินาศ วัดบวรนิเวศ เป็นพระทองคำ แล้วก็อีก4-5 องค์ มีหลวงพ่อวัดปากน้ำรุ่น 2-3 ตอนหลังใส่เยอะแล้วหนักคอ ใส่แล้วมึนหัว เลยไม่ใส่
จากนั้นเปลี่ยนมาห้อยพระหลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ แขวนเดี่ยวองค์เดียว เพื่อนให้มาเมื่อ 2-3 ปี มาใส่ตอนเป็นนายพล พอเปลี่ยนแล้วดีนะ รู้สึกได้ ห้อยแล้วใจเย็นลง เราเป็นผู้ใหญ่แล้วด้วย แต่ก่อนมันซ่า ไม่คิดอะไร ทุ่มเททำงานเต็มที่ ไปคนเดียวเที่ยวไปเรื่อย ไม่เคยนึกถึงอะไร แรงเยอะ โผงผาง แต่ตอนหลังเป็นผู้ใหญ่ก็เย็นขึ้นตามวัย
ยิ่งช่วงหลังนี่ง่ายๆ สบายๆมาก เพราะหลังจากที่บู๊มา ทุกอย่างเห็นหมดแล้ว เลยเบิร์ดๆดีกว่า ได้มาทุกวันนี้ก็พอใจแล้ว จากที่เราทำงานมาแล้วอยู่รอดปลอดภัยขนาดนี้ ไม่มีคดีติดตัวอะไร ถือว่าโอเค.ภาคภูมิใจ
ตอนหลังก็ทำบุญเยอะ มาใฝ่ธรรมะธัมโม ทำบุญ ใจเย็นขึ้น
Cop’s Magazine Vol.10 No.115 2016.03