Tuesday, April 30, 2024
More

    หลานม่า

    เรื่องราวจากชีวิตจริงมากมายที่ถูกนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในโลกของภาพยนตร์

    และด้วยความเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริง ก็มักจะทำให้ความรู้สึกของผู้ชม อิน ยิ่งขึ้น

    เพราะสิ่งต่าง ๆ ที่ส่งผ่านออกมา อาจมีบางส่วนที่ตรจิต ตรึงใจ กับประสบการณ์ในชีวิตของคนดูแต่ละคนก็เป็นได้

    หลานม่า กำกับโดย พัฒน์ บุญนิธิพัฒน์ ผู้กำกับรุ่นใหม่ไฟแรง เป็นงานที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริงในชีวิตของ พัฒน์ เอง และความเป็นงานที่อยู่กับค่าย จีดีเอช ที่ถูกแปะป้ายว่าผลงานจากค่ายนี้มักจะเป็นแนว Feel good ก็เชื่อได้ว่า หลานม่า ต้องเสิร์ฟความประทับใจแบบที่ไม่ประหัตประหารหัวใจผู้ชมเป็นแน่แท้

    วัตถุดิบตั้งต้นของ หลานม่า มาจากการที่ผู้กำกับต้องกลับไปดูแลอาม่าที่อายุต่างกันเกือบ 50 ปี เมื่อนำมาปรุงเป็นภาพยนตร์ ก็เติมวัตถุดิบอื่นๆ เข้ามาเพิ่ม โดยเฉพาะทีมนักแสดงคือหนึ่งในส่วนสำคัญที่จะชูรสชูโรง ให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เอร็ดอร่อยสมใจคนทำงานและผู้ชม

    เปิดรายชื่อนักแสดงนำคือ บิวกิ้นพุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล ก็ปังแล้ว เพราะบรรดานคลับของชายหนุ่มคงไม่พลาดสนับสนุนศิลปินคนโปรดของพวกเขา แต่ถึงจะไม่ใช่แฟนตัวยงของบิวกิ้น หลายคนก็คงประจักษ์จากชิ้นงานที่ผ่านมาว่าหนุ่มคนนี้ฝีมือไม่เบาเลย

    และการกลับคืนจออีกครั้งของพิธีกรชื่อดัง ดู๋สัญญา คุณากร ก็ทำให้หลานม่า มีสีสันขึ้นนมาอีก ขณะที่ดาราฝีมือดีอีกคนที่ได้คือ เผือกพงศธร จงวิลาส หนึ่งในแก๊งเพื่อนสุดฮาของ ไอ้มาก ในภาพยนตร์ พี่มาก ก็ได้บทที่เข้ามือเหลือเกินใน หลานม่า

    นอกจากนี้ก็มีดาราที่ผู้ชมอาจไม่คุ้นตานักแต่ฝีไม้ลายมือไม่แพ้ใคร ท้ั้ง เจียสฤญรัตน์ โทมัส, ตูต้นตะวัน ตันติเวชกุล

    ขณะที่นักแสดงที่แบกบทของ อาม่า ไว้คือ แต๋วอุษา เสมคำ ถูกระบุว่าเป็ นักแสดงหน้าใหม่ ทว่ามีวัยถึง 76 ปี

    ส่วนเรื่องราวของ หลานม่า ถ้ามองอย่างทั่วไปก็คือการบันทึกความผูกพันของครอบครัวใหญ่ของบ้านคนจีน ที่ต้องพบพานทั้งเรื่องดี เรื่องร้าย อันเป็นสัจธรรมของชีวิต เพียงแต่เรื่องต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาจะทำให้ชีวิตของสมาชิกในครอบครัวพลิกผันไปทางไหน และบทเรียนที่ได้รับทำให้ใครเติบโตไปอย่างไร

    เนื้อเรื่องอย่างย่นย่อของ หลานม่าคือ เอ็ม ที่รับบทโดย บิวกิ้น เด็กหนุ่มที่เรียนจบแล้วแต่กลับใช้ชีวิตไปวัน ๆด้วยการแคสต์เมหรือขายของออนไลน์หาเงินใช้ และยังอาศัยอยู่กับมารดาที่ทำงานเป็นพนักงานแบบเข้ากะในซุปเปอร์มาร์เก็ตใหญ่แห่งหนึ่ง มีชีวิตพอมีพอกินไม่ลำบาก

    https://www.youtube.com/watch?v=0fksoEJvdLE

    ทว่าวันหนึ่ง เอ็ม ได้รู้ว่า อาม่า ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย มีเวลาใช้ชีวิตอยู่บนโลกในอีกไม่นาน เลยเกิดไอเดียว่าจะไปอยู่ดูแลอาม่า เพื่อที่จะเป็น ที่หนึ่งในใจอาม่า และการได้ตำแหน่งที่ 1 นั้น สมบัติ ของอาม่าจะไปไหนเสีย

    ชายหนุ่มฝันหวานว่ารดกของอาม่าต้องตกเป็นของตนเองแน่นอน เนื่องจากเห็นตัวอย่างจาก มุ่ (รับบทโดตูต้นตะวัน) ญาติสาวที่บอกเคล็ดลับที่ทำให้เได้สมบัติจากอากง

    เคล็ดลับที่ไม่ลันั้นก็คือ สิ่งที่ผู้อาวุโสไม้ไกล้ฝั่งเหล่านี้ต้องการ ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทองจากลูกหลาน แต่คือ เวลา ที่ลูหลาน ๆ จะแบ่งปันมาให้กับพวกท่านบ้า

    มองอย่างตรงไปตรงมาก็คือ เอ็ม แม้จะรักและผูกพันกับ อาม่า ต่ก็เข้าหาท่านด้วยเจตนา สีเทา หวังอยากได้สมบัติคือบ้านและที่ดินของอาม่าด้วยที่ตั้งยู่แถวตลาดพลู ทำเลทองแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ซึ่งใคร ๆ ก็รู้ว่าราคาที่ดินแถวนี้สูงลิบลิ่ว

    ทว่าในช่วงเวลาที่ เอ็ม ได้กลับมาปรนนิบัติพัดวี อาม่า ที่อยู่ในช่วงเวลาท้าของชีวิต คือช่วงสำคัญที่สุ เพราะทีละน้อย ๆ หัวจิตหัวใจ ที่ถูกอาบทาด้วย สีเทา ๆ ของเอ็ม ค่อย ๆ ถูกขัดเกลาให้ ขาว ขึ้น

    จากการสัมผัสซัมซับการปฏิบัติตน คำพูด คติความเชื่อ ที่แฝงด้วยข้อคิดนานัปการของใช้ชีวิตให้มีคุณค่า ซึ่งหนังขยำรวมเรื่องเหล่านี้ออกมาอย่างชาญฉลาดและแนบเนียน ผ่านคติประจำใจในการประกอบอาชีพ การเก็บหอมรอมริบ อดทนต่อเรื่องที่ทำร้ายจิตใจ และการแบ่งบันต่อผู้ที่ต้องการได้รับการช่วยเหลือมากที่สุ

    แนวคิดและวิถีของครอบครัวชาวจีถูกนำมาใส่ในเรื่อง หลานม่าอย่างคัดสรรและพิถีพิถัน ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่บอกเล่าในภาพยนตร์คงตรง กับประสบการณ์ในชีวิตของหลายคน และก็ไม่เฉพาะกับครอบครัวเชื้อสายจีนเท่านั้น ครอบครัวของคนชนชาติอื่นก็สะอึกได้เหมือนกั

    เช่น การตั้งคำถามถึง ควมรัก ที่บุพการีมีให้ลูกแต่ละคนว่า เท่ากันไหม? รักใครที่สุด? หรืการออกเรือนไปแล้วก็กลายเป็นอื่น ฯลฯ

    แต่หนังหาทางออกให้กับทุกตัวละครและสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างนุ่มนวล แม้ว่าจริง ๆ แล้วคนทำหนังจะเลือกถ่ายทอดให้สถานการณ์ต่าง ๆ ในเรื่องมีความฉูฉาบีบคั้น ขยี้ใจ เค้นน้ำตาผู้ชม ได้อย่างง่ายดายก็ตาม

    ผู้ชมจึงได้เห็น หลานม่า เป็นงานที่มอบแง่งามแห่งชีวิต สร้างความอิ่มเอิบ อบอุ่นหัวใจ ทำให้คิดถึงคนที่อยู่ข้างหลัง ฉุกคิดถึงการใช้ชีวิตตนเองในวันนี้และวันข้างหน้า

    ถือเป็นภาพยนตร์ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 และเชื่อว่าจะอยู่ในใจของผู้ชมไปอีกแสนนาน

    อย่ากลัวว่าจะดูแล้วเสียน้ำตาจนดวงตาบวมฉึ่ง เพราะแม้จะต้องดูงานชิ้นนี้ผ่านม่านน้ำตาก็คุ้มค่า!

    Blue Bird6/4/67

    RELATED ARTICLES
    - Advertisment -

    Most Popular

    Recent Comments