ตำนานมือปราบพระกาฬ ชลอ เกิดเทศ โดยกิตติพงศ์ นโรปการณ์
ชลอจับจ้องไปยังทิศทางของเสียงเครื่องยนต์ที่ได้ยิน
ปืนเอ็ม 16 ในมือถูกจับมาสะพายในท่าเฉียงอาวุธเตรียมพร้อม
ทันใดนั้น ชลอเห็นชายฉกรรจ์ขับรถไถแบบชาวไร่ โผล่พรวดออกมาจากดงข้าวโพด ใกล้กันซะจนชายหนุ่มเห็นสีหน้าประหลาดใจของคนขับรถไถที่ขับมาเพียงคนเดียว
แต่พริบตาเดียว ชายคนขับรถไถกลายสภาพเป็นเสือร้าย หยิบปืนลูกซองยาวที่พิงอยู่ข้างตัว ออกมาประทับเอวเล็งใส่ชลอ ที่ยืนอยู่ห่างไม่ถึง 5 เมตร
ปัง………….
เสียงปืนลูกซองดังสนั่นลั่นเขา
ชลอใจหายวูบ แต่โชคดีกระสุนพลาดจากร่างเขา เพราะความรีบร้อนของคนยิง
อีกทั้งกระสุนลูกซองยังไม่ได้ระยะบาน และสัญชาติญาณที่ฝึกฝนมาตั้งแต่ครั้งอยู่โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน
ชายหนุ่มตวัดปืนเอ็ม 16 ที่อยู่ในท่าเฉียงอาวุธมาอยู่ในท่ายิงฉับพลัน วาดลำกล้องไปยังเจ้าของปืนลูกซอง เหนี่ยวไกปืนสวนไป 1 ชุด
ปังๆๆๆปังๆๆๆ
ห่ากระสุนเอ็ม 16 เจาะร่างชายคนร้ายร่างพรุน กระเด็นตกรถไถเลือดทะลักออกตามบาดแผลที่ถูกกระสุนสงครามเจาะไปทั่วร่าง
ชลอไม่ผลีผลามพรวดพราดเข้าไปดูศพ เขาสั่งลูกน้องทุกคนกระจายกำลังออกทางข้าง เพื่อไม่ให้อยู่ในวิถีกระสุนฝ่ายเดียวกัน
จากนั้นชลอวิทยุสอบถามไปยัง พันตำรวจโทวิทูร ศิริพากย์ เพื่อนร่วมรุ่น พันตำรวจโทบุญมี ด้วงเจริญ สารวัตรใหญ่สถานีตำรวจภูธรอำเภอโคกสำโรง ที่คุมกำลังอยู่ทางปีกซ้ายขวาให้ตรวจสอบสิ่งผิดปกติ เพราะอาจจะมีคนร้ายหลงเหลืออยู่
เกือบ 10 นาที หลังจากพันตำรวจโทวิทูร และพันตำรวจโทบุญมี รายงานความเคลื่อนไหวทางวิทยุ ไม่พบสิ่งผิดปกติหรือมีคนร้ายเพิ่มเติม
ชลอจึงเรียก ไอ้อ้วน และไอ้โหมด ที่นั่งหน้าซีดอยู่ในเพิง ออกมาดูว่าศพที่นอนอยู่ข้างรถไถเป็นใคร
2 โจรเรียกค่าไถ่ เดินออกมาดูศพชายฉกรรจ์ที่นอนจมกองเลือดด้วยท่าทีกล้าๆกลัวๆ จนชลอต้องตะคอกเสียงดัง
“มึงเดินออกมาดูเร็ว มันเป็นใคร พวกมึงหรือเปล่า ไอ้ห่าชักช้า กูไม่ยิงทิ้งมึง 2 ตัวหรอก…”
เสียงเข้มของชลอ ทำเอาไอ้อ้วน และไอ้โหมด ต้องรีบก้าวขาเดินเร่งออกไปดูศพ และพอเห็นหน้าชัดๆ ทั้งคู่พูดออกมาแทบจะพร้อมๆกัน
“ไอ้เสือแป๊ะครับนาย….”
“เฮ้ย…พวกเราระวังหน่อย อย่าเพิ่งไปพลิกตัวมัน กูเห็นลูกเกลี้ยงอยู่ที่เอวมันลูก เดี๋ยวเกิดตูมตามขึ้นมาจะซวยกันใหญ่..”
ชลอกล่าวยิ้มๆ ถึงแม้จะเพิ่งผ่านนาทีวิฤติเมื่อสักครู่ ท่ามกลางฟ้าที่เริ่มมืดลงทุกที
“จิต เดี๋ยวคุณพาแม่สาวเหยื่อตัวประกันกลับลงเขา พาไปหาแม่เขาที่บ้าน ยังไม่ต้องไปสอบสวนปากคำอะไร ให้เขาหายเหนื่อยหายตกใจก่อน…”
“ครับนาย…”
จิต ที่ชลอเรียกใช้ หรือ พันตำรวจตรีขจิต รัตนรักษ์ สารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านหมี่ รับคำสั่งหัวหน้าตำรวจลพบุรี ก่อนพาปฤศนา สาวผดุงครรภ์ชั้นตรี เหยื่อตัวประกันเดินออกจากเพิงพักชั่วคราวกลางไร่ข้าวโพดออกไป
ถึงจะใกล้มืด แต่สายตาเหยี่ยวอย่างชลอ สังเกตเห็นแม่สาวตัวประกันส่งสายตาห่วงใยไปยังไอ้อ้วน โจรหนุ่มที่ส่งสายตาหวานเยิ้มกลับมาเช่นกัน
มันยังไงวะไอ้สองตัวเนี่ย….
ชลอรำพึงในใจก่อนสั่งการให้กำลังที่เหลือควบคุมโจรค่าไถ่ 2 คน ไปควบคุมตัวที่โรงพักโคกสำโรง และให้กำลังตำรวจอีก 1 หมู่ จัดเวรยามเฝ้าศพ รอเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมาชันสูตรศพ ไอ้เสือแป๊ะอีกครั้ง
รวมทั้งวางกำลังดักจับกลุ่มโจรที่เหลือ หากย้อนกลับมา
ระหว่างเดินทางกลับ ชลอปรึกษาหารือ และให้พันตำรวจโทวิทูร เพื่อนซี้ จัดกำลังติดตามตัวนายเฉลิม พุทไธสง คนบางผึ้ง อำเภอบ้านหมี่
ตามที่ 2 โจรซัดทอดมาสอบปากคำว่า เกี่ยวพันกับการลักพาตัวสาวผดุงครรภ์รายนี้มากน้อยแค่ไหน
รวมทั้งรวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้องในคดีนี้
เช้าวันรุ่งขึ้น หนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ประโคมข่าวปฏิบัติการเดือดของตำรวจลพบุรี ภายใต้การนำทีมของพันตำรวจเอกชลอ เกิดเทศ ถึงการช่วยเหลือเหยื่อประกันสาว
พาดหัวทำนองเดียวกัน
“ชิงชั้นตรีสาวคืนแล้ว หลังปะทะ โจรตาย1 จับเป็นได้ 2 อีก 3 หนีรอด..”
วันเดียวกัน ชลอสั่งให้พนักงานสอบสวนพาโจรที่จับเป็นได้ 2 คน คือไอ้อ้วน และไอ้โหมด ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่บ้านของผู้เสียหาย
มีนางสาวปฤศนา เหยื่อค่าไถ่มาชี้ตัว 2 ผู้ต้องหา และเล่าขั้นตอนทั้งหมดให้ฟัง
ทั้งหมดตรงกับคำให้การที่เหยื่อสาวเล่าให้ฟัง เมื่อครั้งชลอนำกำลังบุกเข้าไปช่วยถึงเพิงพักกลางป่าข้าวโพด ทำนองว่า กลุ่มโจรไม่ได้ทำร้ายแต่อย่างใด
จากการขยายผล 2 โจรค่าไถ่ที่ถูกจับเป็น ไอ้อ้วน และไอ้โหมด ให้การเพิ่มเติมว่า
จริงๆแล้ว นายเฉลิม เป็นเพียงคนชี้แนะให้เท่านั้น เพราะไม่พอใจที่นางเสงี่ยม มาเร่งรัดหนี้สิน จึงชี้ช่องให้กลุ่มเสือแป๊ะ วางแผนไปจับตัวนางเสงี่ยมมาเรียกค่าไถ่เอาเงินล้างหนี้
—————————————–
เช้าวันที่ 29 พฤษภาคมพุทธศักราช 2523
ที่กองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดลพบุรี
เช้าวันนั้นคลาคล่ำไปด้วยผู้คนเกือบ 100 คน เล่นเอา ชลอ และตำรวจในกองกำกับประหลาดใจ
นายตำรวจหนุ่มหัวหน้าตำรวจลพบุรี ยืนมองกลุ่มคนกลุ่มนี้จากหน้าต่างห้องทำงานของเขาในกองกำกับ
มองเผินๆน่าจะเป็นพวกทำงานหมอ ทำงานพยาบาล ภายในกลุ่มคน ชลอจำได้ว่ามี นางสาวปฤศนา เหยื่อค่าไถ่ยืนรวมอยู่ด้วย
สักพัก จ่ากองเข้ามารายงานมีผู้ขอเข้าพบ
เมื่อเขาอนุญาต มีชายรูปร่างสูง ผิวขาว ท่าทางสุขภาพดี อายุประมาณ 50 ปีต้นๆ เปิดประตูเข้ามา
มีนางสาวปฤศนา เหยื่อตัวประกัน และพี่ชายฝาแฝด รวมทั้งนักข่าวท้องถิ่นสะพายกล้องเดินตามมาติดๆ
“ผมนายแพทย์ประสพ พาลพ่าย ผู้อำนวยการสำนักวิชาการ และสาธารณสุขจังหวัดลพบุรี ขออนุญาตเป็นตัวแทน
นำกระเช้าดอกไม้ และพวงมาลัยมอบให้กับพันตำรวจเอกชลอ เกิดเทศ และชุดสืบสวนตำรวจลพบุรี เพื่อเป็นการขอบคุณที่ปฏิบัติการชิงตัวนางสาวปฤศนา ผู้ใต้บังคับบัญชา คืนมาจากโจรเรียกค่าไถ่ได้สำเร็จ…..”
นายแพทย์ประสพ แนะนำตัวพร้อมยื่นกระเช้าดอกไม้มอบให้กับพันตำรวจเอกชลอ ท่ามกลางเสียงปรบมือจากทุกคนที่อยู่ในห้อง
“หนูเหมือนคนที่ตายแล้วเกิดใหม่ ตลอดเวลาที่ถูกโจรจับ อ้อนวอนให้พวกเขาส่งตัวกลับ
แต่กลุ่มโจรไม่ฟังเสียง แถมย้ายไปซ่อนในป่าจนไม่รู้ว่าอยู่ทีไหน บุญคุณครั้งนี้จะจดจำไปจนวันตายค่ะ…”
นางสาวปฤศนา ที่ดูสดชื่นกว่าที่ชลอเห็นในป่า กล่าวขอบคุณกับพันตำรวจเอกหนุ่มอีกครั้ง ท่ามกลางไฟแฟลชของช่างภาพหนังสือพิมพ์หัวเห็ดหลายฉบับที่เกาะติดข่าวนี้มา ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนจบ
เช่นเดียวกับพี่ชายคู่แฝดของนางสาวปฤศนา กล่าวเสริมว่า
“ตั้งแต่น้องสาวถูกจับตัวไป ได้แต่ไหว้พระให้คุ้มครองทุกคืน เมื่อตำรวจช่วยออกมาได้ นับว่าเป็นบุญของน้องสาว และจะไม่ลืมบุญคุนตำรวจในครั้งนี้…”
ขณะที่ ชลอ รับมอบกระเช้าดอกไม้ และกล่าวขอบคุณนายแพทย์ประสพ รวมทั้งคณะที่มาแสดงความยินดีกับเขาในครั้งนี้
บอกว่า เป็นหน้าที่ของตำรวจอยู่แล้วที่จะต้องคุ้มครองดูแลทุกข์สุขของประชาชน ไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน เพียงแต่ให้ตัวประกันปลอดภัย จับกุมโจรได้ ถือว่าทำงานสำเร็จแล้ว
อีก 4-5 เดือนต่อมา นายตำรวจหนุ่มได้ข่าวอีกครั้งว่า นางสาวปฤศนา เหยื่อโจรค่าไถ่ได้เข้าพิธีแต่งงานกับ ไอ้อ้วน หรือสมควร จันทร์เหม โจรค่าไถ่หนุ่ม ที่เขาผิดสังเกตมาตั้งแต่ตอนเข้าไปจับใหม่ๆ
ชลอรู้มาว่า เหตุที่ศาลท่านได้ปล่อยตัวนายสมควร ส่วนหนึ่งเป็น เพราะนางสาวปฤศนา ให้การไม่ติดใจเอาความ
ทั้งยังทราบอีกว่า ทั้งคู่บ่มรักกันระหว่างที่นางสาวปฤศนาถูกจับ นายสมควร ได้ดูแลเทกแคร์เหยื่อสาว จนเกิดความเห็นอกเห็นใจ เป็นรักแรกพบที่เกิดกลางป่า
“กูว่าแล้ว มันต้องมีอะไรกันแน่ …”
ชลอคิดถึงเรื่องนี้ทีไร เป็นได้อมยิ้มทุกที
——————————————
วันที่ 1 มิถุนายน พุทธศักราช 2523
ตำบลชัยนารายณ์ อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี
บ่ายโมงเศษ รถเก๋ง 4 ประตู ยี่ห้อมาสด้า รุ่น 828 ทะเบียน 1 ก-2749 กรุงเทพมหานคร ภายในมีชาย 2 คน นั่งอยู่ กำลังห้อตะบึงออกจากไร่ปศุสัตว์
ชาวบ้านในพื้นที่รู้กันว่าเป็นฟาร์มเลี้ยงวัวของ “ไบคาน” หรือ ไบคาน พงษ์สว่าง หรือบาคาน อาซาเดน เจ้าพ่อแขกปาทาน เชื้อสายปากีสถาน ที่ขยายอิทธิพลมาจากจังหวัดสระบุรี รุกล้ำเข้ามาในพื้นที่จังหวัดลพบุรี
ด้วยการบังคับกว้านซื้อที่ดินจากชาวบ้านอย่างไม่เป็นธรรม
รถยนต์คันดังกล่าว อยู่ในสายตาของกลุ่มชายฉกรรจ์ 3-4 คน ที่แอบอยู่บนป่าละเมาะที่ขึ้นอยู่บนเนินดินข้างทาง ใกล้กับถนนใหญ่
ในมือของทุกคนมีปืนเอ็ม 16 และปืนลูกซองเตรียมพร้อม
จนกระทั่งรถเก๋งที่มีชายหน้าตาคล้ายแขกขาวนั่งอยู่ในรถ 2 คน มาถึงอยู่ในรัศมีพื้นที่สังหาร กลุ่มชายฉกรรจ์ทั้งหมดระดมยิงอาวุธที่อยู่ในมือใส่รถเก๋งมาสด้าคันดังกล่าว ทันที
ปังๆๆๆๆปังๆๆๆปังๆๆๆๆๆ
เสียงสนั่นของอาวุธสงครามปานหนึ่งสมรภูมิย่อยแผดเสียงกัมปนาท แต่ไม่ได้ทำให้รถเก๋งคันดังกล่าวเสียหลัก กลับกันมันยิ่งเพิ่มความเร็วตะบึงออกจากพื้นที่มรณะ ก่อนจะหายลับไปกับตา
“ไอ้ห่าเอ๊ย….ยิงยังไงกันวะ มันเสือกหนีรอดไปได้…..”
เสียงชายฉกรรจ์ 1 ในกลุ่มมือสังหารสบถอย่างหัวเสีย ก่อนทั้งหมดจะเอารถจักรยานยนต์ที่เอากิ่งไม้อำพรางบิดคันเร่งขี่ออกจาก พื้นที่นั้นทันที
ขณะเดียวกัน รถเก๋งมาสด้า ที่ถูกยิงพรุนแทบทั้งคัน พาร่างโชกเลือดของคนที่อยู่ในรถทั้งสองคนมาจอดสนิทอยู่ที่หน้าบ้านหลังใหญ่ ของไบคาน ริมถนนใหญ่สายสระบุรี-หล่มสัก
คนที่อยู่ในบ้านซึ่งเห็นสภาพรถ และได้ยินเสียงเรียกขอความช่วยเหลือ เข้ามาช่วยกันพาร่างโชกเลือดของคนที่อยู่ในรถส่งโรงพยาบาลสระบุรีทันที
ไล่เลี่ยกัน พันตำรวจตรีสำเริง มุยคำ สารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจภูธรอำเภอชัยบาดาล ได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลให้ไปสอบสวนเหตุลอบยิงครั้งนี้
นั่นถือเป็นการเปิดโปงข่าวที่คนทั้งประเทศจับตาให้ความสำคัญทันที
เพราะคนเจ็บทั้ง 2 คน คือ เจ้าพ่อชัยบาดาล หรือนายสมชาย หรือ หยอง พงษ์สว่าง ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าพ่อ ไบคาน
ส่วนคนเจ็บอีกคนคือ นายชา ปาทาน มือปืนประจำตัวที่ทำหน้าที่คนขับรถ
เหลือเชื่อ….ทั้งคู่แค่บาดเจ็บไม่ถึงกับสาหัส เพราะคมกระสุนไม่เข้าจุดสำคัญของร่างกาย
อีกทั้งนายชา มือปืนประจำตัว ระแวดระวังภัยอยู่ก่อนแล้วว่าจะเกิดเหตุลอบยิง
เพียงแต่นึกไม่ถึงว่า คู่กรณีจะสางแค้นกันกลางวันแสกๆ