Thursday, March 28, 2024
More
    Homeตำนานมือปราบพระกาฬ ชลอ เกิดเทศ 36.สื่อรุมตีข่าวแฉพฤติกรรมเหี้ยม  

     36.สื่อรุมตีข่าวแฉพฤติกรรมเหี้ยม  

     ตำนานมือปราบพระกาฬ ชลอ เกิดเทศ โดย กิตติพงศ์ นโรปการณ์
      

    การออกไล่ล่าจับกุมเสี่ยหยอง เจ้าพ่อชัยบาดาล ยังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

    พันตำรวจเอกชลอ เกิดเทศ หัวหน้าตำรวจภูธรจังหวัดลพบุรี ส่งคนไปตรวจสอบทุกที่ที่ได้ยินข่าว กดดันแม้กระทั่งบ้านของ ไบคาน พงษ์สว่าง ผู้เป็นพ่อเสี่ยหยอง ที่เขารู้จักสนิทสนมกันมาก่อนหน้า สร้างความอึดอัดให้มาเฟียต่างชาติรุ่นใหญ่รายนี้เป็นอย่างมาก

    ชลอ ไม่สนใจ สั่งระดมกวาดล้างอิทธิพลไบคานในพื้นที่อำเภอชัยบาดาล อย่างไม่ไว้หน้า
    ปฏิบัติการถอนรากถอนโคนครั้งใหญ่ อะไรที่เป็นรายได้ หรือนำไปสู่การสร้างสมอิทธิพลของไบคาน  นายตำรวจหนุ่มวัย 42 ปี สั่งจัดการให้เหี้ยน

    เช้ามืดวันที่ 14 มิถุนายน พุทธศักราช 2523
    กลางชุมชนใกล้ตลาดสุขาภิบาลลำนารายณ์

    แสงพระอาทิตย์เริ่มทอแสงพ้นขอบฟ้า ชาวบ้านชาวช่องที่เตรียมข้าวปลาอาหารออกมาเตรียมใส่บาตรถวายพระ ต่างตกใจที่เห็นชายฉกรรจ์ 10 กว่าคน ถือปืนคาร์บิน ปืนลูกซอง 5 นัด และปืนพกสั้นประจำกาย ค่อยๆเดินแฝงเข้ามาในชุมชนอย่างเงียบเชียบ

    ถึงจะตกใจในครั้งแรกที่เห็น แต่ชาวบ้านเหล่านั้นไม่ได้โวยวายอะไร เพราะเห็นชายในชุดเครื่องแบบตำรวจที่คุ้นหน้าคุ้นตา 2-3 นายเดินปะปนมาด้วย

    1 ในชายที่สวมเครื่องแบบตำรวจ  ชาวบ้านคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี นั่นคือพันตำรวจตรีสำเริง มุยคำ สารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจภูธรอำเภอชัยบาดาล ฟันเฟืองใหญ่มือไม้ของชลอ เกิดเทศ ที่เดินนำหน้ามาหยุดยืนใกล้ห้องแถวให้เช่าชั้นเดียว ซึ่งชาวบ้านรู้กันว่า เป็นของที่พักของพวกแขกไบคาน

    พันตำรวจตรีสำเริง ส่งสัญญาณให้ลูกน้องตำรวจนอกเครื่องแบบนายหนึ่ง รูปร่างทะมัดะแมงคล่องแคล่วปราดเปรียว รับหน้าที่เข้าไปเคาะประตูห้องแถวห้องที่อยู่ริมสุด

    มือขวาของตำรวจหนุ่มคนนี้ อายุราว 30 ปีต้นๆ กำด้ามปืนโคลท์ออโตเมติกขนาด 11 มิลลิเมตร สีดำมะเมื่อม ที่ขึ้นลำไว้พร้อมยิง เพียงแต่นิ้วชี้ยังอยู่นอกโกร่งไก ค่อยๆเดินไปหยุดอยู่ทางด้านขวาของประตู ก่อนใช้มือซ้ายเคาะประตู 3-4 ครั้ง ทำทีเหมือนคนมาเคาะประตูเรียกทั่วไป

    ส่วนกำลังตำรวจที่เหลือเขยิบเข้ามาใกล้ๆประตู ยืนเรียงกันตามยุทธวิธีที่ได้รับการฝึก พร้อมที่จะบุกเข้าไปในห้องเช่าดังกล่าว รอแต่เพียงเป้าหมาย ให้คนภายในห้องเช่ามาประตูเปิดเท่านั้น

    “รู้แล้ว รู้แล้ว เดี๋ยวเปิดให้ …”

    เสียงภาษาไทยแปร่งๆ พอให้คนข้างนอกได้ยินว่า รับรู้แล้วว่า มีคนมาเรียก
    ทันทีที่ประตูแง้มออก ตำรวจนอกเครื่องแบบอีกคนที่ตั้งท่ารอ ใช้เท้าขวาถีบเปรี้ยงเข้าไปที่ประตูจนเปิดอ้าเข้าไปข้างใน พร้อมมีเสียงดังด้วยความตกใจผสมกับความเจ็บปวด จากเจ้าของเสียงที่อยู่ข้างใน เพราะถูกประตูไม้ดันกลับใส่หน้าเต็มแรง

    “โอ๊ย…”

    เสี้ยววินาทีต่อมา ชายหนุ่มตำรวจนอกเครื่องแบบที่กำด้ามปืนโคลท์ ทะยานพรวดเข้าไปถึงตัวชายเจ้าของภาษาไทยแปร่งหูที่นอนล้มอยู่บนพื้นห้อง

    “หมอบลง นอนลงไป..”

    เสียงดังจากผู้พิทักษ์หนุ่มดังขึ้นพร้อมกับกระบอกปืนโคลท์ที่จิ้มเข้าไป ที่ศีรษะของชายคนนั้น ซี่งเห็นแล้วว่าเป็นพวกแขกที่มาเห็นขายถั่วขายโรตีอยู่ในตลาด

    ส่วนกำลังที่เหลือพรวดเข้าไปในห้องพร้อมกับควบคุมชายต่างชาติอีก 1 คน ที่ยังนอนอยู่บนฟูกที่วางกับพื้น

    มันถึงกับสะดุ้ง ปากเตรียมจะพูดหรือโวยวายอะไรบางอย่างออกมา แต่เมื่อเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์ ถือปืนบุกเข้ามาด้วยท่าทีเอาเรื่อง ถึงห้องเช่าที่มันทั้งคู่อาศัยพักหลับนอน มันคงคิดได้พร้อมกับหุบปาก

    พอคุมสถานการณ์ได้ พันตำรวจตรีสำเริง เอ่ยปากซักแขกหนุ่มทั้ง 2 คนที่ถูกจับสวมกุญแจมือไขว้หลัง

    “ไงมึง…ชื่ออะไรกันบ้าง มาอยู่เมืองไทยได้ไง มีพาสปอร์ตไหม…”

    แต่ชาวต่างด้าวทั้ง 2 คน ยังไม่ทันจะตอบ ลูกน้องของพันตำรวจตรีหนุ่ม หยิบหนังสือเดินทางประเทศปากีสถาน 2 เล่ม ที่ถูกเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อผ้าส่วนตัวของ 2 อาบังขายโรตี มาให้ผู้เป็นนายตรวจสอบด้วยตัวเอง
    อันนี้ชื่อ “อับดุล เลนี” อีกคน “มะหะหมัด เลนี” นามสกุลเดียวกัน เป็นพี่น้องกันหรือเปล่าวะเนี่ย…

    “อับดุล เป็นพี่ ส่วน ผมเป็นน้องชายครับ…”

    แขกปากีคนที่เปิดประตูให้ตำรวจไทยบุกเข้ามา พูดภาษาไทยสำเนียงทั้งแปร่งหู ไม่ชัด กะท่อนกะแท่นแต่พอจับใจความได้

    “นาย….มีปืนด้วย…”

    เสียงตำรวจลูกน้องพันตำรวจตรีสำเริง ตะโกนบอกนายหลังพบปืนลูกโม่ .22 อยู่ในกระเป๋าเสื้อผ้า ซึ่งถูกซุกไว้อยู่ใต้กระเป๋าสุด

    ผลัวะ ….. ตามมาด้วยเสียงดังโอ๊ย…

    แต่วินาทีต่อมา ก็ไม่มีเสียงอะไรลอดออกมาจากห้องเช่าห้องนั้น ขณะที่กำลังตำรวจนอกเครื่องแบบ 3-4 คน เดินรักษาการณ์อยู่รอบๆห้องเช่า และไม่ให้ใครที่เกี่ยวข้องเข้าไป หรือเข้าใกล้

    ส่วนภายในห้อง ด้วยวิธีการสอบสวนนอกตำรา แขกปากี 2 พี่น้อง ที่ลักลอบเข้าประเทศ โดยอาศัยบารมีของ เสี่ยหยอง เริ่มคายข้อมูลบางอย่าง โดยเฉพาะเรื่องปืนกระบอกที่ลูกน้องของสารวัตรใหญ่ชัยบาดาลพบ นี้เป็นของนายอับดุล
    มันบอกว่ามีอยู่เพียงกระบอกเดียวเท่านั้น

    พันตำรวจตรีสำเริงก็เชื่อเช่นกันว่า มันมีแค่กระบอกเดียวจริงๆ
    มันรับสารภาพว่า นายดารามิเซ็น ให้มันติดตัวไว้ใช้ เพื่อรอเรียกไปทำงานชิ้นหนึ่ง ซึ่งมันก็ยังไม่รู้ว่า เป็นงานอะไร

    “ชรัตน์ มึงให้ลูกน้องเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เรียบร้อยก่อนเอาตัวไปโรงพัก ดำเนินคดีตามขั้นตอนกฎหมาย ดูว่ามันเข้าประเทศมาอย่างไร ใครเป็นคนแนะนำ เสียเงินเสียทองเท่าไหร่ แล้วเอาปืนไปตรวจสอบด้วยเกี่ยวข้องกับคดีอะไรบ้าง……”

    สำเริง บอกนายตำรวจรุ่นน้องจากรั้วสามพราน และเขามาทราบเพิ่มเติมภายหลังจากที่นายตำรวจรุ่นน้องคนนี้รายงานด้วยวาจา ก่อนนำเอาเรื่องนี้รายงานต่อให้กับพันตำรวจเอกชลอทราบในโอกาสต่อมาว่า

    เส้นทางการสร้างอิทธิพลของกลุ่มปาทานกลุ่มนี้ ยังลักลอบนำคนหลบหนีเข้าเมือง มาหากินบนผืนแผ่นดินไทย โดยเข้ามาทางชายแดนจังหวัดเชียงใหม่

    ถ้าคนไหนไหวแววดี จะพามาอยู่ที่อำเภอชัยบาดาล โดยมาพักอยู่ที่บ้านเช่าหลังนี้ ซึ่งเป็นของนายดารามิเซ็น ลูกน้องเสี่ยหยอง ผู้จัดการฟาร์มในตำบลลำนารายณ์

    นายดารามิเซ็นที่ว่านี้ เป็นคนเดียวกับที่ตำรวจออกหมายจับในคดีร่วมกันฆ่า พร้อมกับนายเสี่ยหยอง เพลย์บอยจอมโหด นายประเวศน์ มาชะมะแอ และนายหน่อย ไม่ทราบนามสกุล นั่นเอง
    ————————————–
    พฤติกรรมความโหดเหี้ยมของมาเฟียต่างชาติที่เข้ามาสร้างความยิ่งใหญ่ใน แผ่นดินไทย ยังปรากฏต่อสื่อมวลชนหลายสำนักที่เกาะติดข่าวนี้

    เพราะในวันที่พันตำรวจตรีสำเริง เดินทางกลับเข้าไปที่โรงพัก หลังจับกุม 2 แขกปากีฯหลบหนีเข้าเมือง และคดีอาวุธปืน

    เพื่อทำหนังสือไปยังแขวงการทาง ในการขอรถจักร และอุปกรณ์หนักเข้าพิสูจน์ทราบ ขุดค้นพื้นที่บริเวณต้องสงสัยที่จะเป็นที่ฝังศพเหยื่อเคราะห์ร้าย หรือซากรถของกลางที่ถูกทำลายฝังดิน อันได้มาจากการปล้นฆ่าเจ้าทรัพย์

    แต่เขากลับเจอชายแก่ท่าทางงกๆเงิ่นๆ แต่ยังพอดูแข็งแรง เพราะจากการทำไร่ทำนา ถึงแม้จะดูผอมไปบ้าง เข้ามาแจ้งความเพิ่มอีกรายว่า ถูกมาเฟียเชื้อสายปากีสถาน รังแกถึงขั้นลงมือฆ่า

    นายตำรวจหนุ่ม นั่งรับฟังเรื่องราวจากปากของชายชราวัย 60 กว่าปีผู้นี้ ด้วยตัวเอง
    นายหล่อ  ป้อมพุทรา ชาวบ้านหมู่ 2 ตำบลชัยนารายณ์ เอ่ยปากด้วยสำเนียงคนบ้านนอกและแฝงไปด้วยความเศร้าว่า

    “เรื่องเกิดขึ้นประมาณ 3 ปี แล้วครับเจ้านาย ลูกสาวผม อีแดง อายุ แค่ 13 ขวบ เรียนหนังสืออยู่ชั้น ป.3 โรงเรียนเขาตัด มันเลิกเรียนเดินมาตามแนวรั้วบอกอาณาเขตฟาร์มของนายสมชาย เพื่อจะกลับบ้าน

    ขณะนั้นมีคนร้ายรู้ว่าชื่อ ไอ้คาน เป็นแขกปากีสถาน มันฉุดลูกสาวผมเข้าไปข่มขืน เสร็จแล้วมันกลัวจะถูกจับ เลยใช้ค้อนทุบหัวอีแดงลูกสาวผมจนตายอย่างทารุณ…”

    “หลังพบศพ ตอนนั้นผมแจ้งความกับตำรวจที่นี่ล่ะครับ แต่คดีไม่มีอะไรคืบหน้า บ้านผมก็ไม่กล้าเดินเรื่องต่อ เพราะกลัวมันจะกลับมาฆ่าล้างโคตรครอบครัวผม จนกระทั่งรู้ข่าวไอ้คานมันหนีกลับประเทศ พร้อมๆกับที่ทางการเริ่มเข้ามาปราบอิทธิพล ผมถึงตัดสินใจเข้ามาแจ้งความอีกครั้ง…”

    “3 ปีที่แล้วหรือ…. สิบเวร เดี๋ยวไปค้นหาคดีนี้เอารายละเอียดมาให้ผมดูหน่อย…”
    สารวัตรใหญ่สถานีตำรวจภูธรอำเภอชัยบาดาล เรียกสิบเวรเข้ามาพบให้ไปเอาสมุดประจำวันมาตรวจสอบย้อนหลังการรับคดีว่า เรื่องนี้ใครรับเรื่องไว้สอบสวน เพราะเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมานั้น พันตำรวจตรีหนุ่มยังไม่ได้รับตำแหน่งมาเป็นสารวัตรใหญ่อยู่ที่นี่

    “ใจเย็นๆลุง ตอนนี้ฟ้าเปิดแล้ว เดี๋ยวผมจะดูคดีให้ ใครผิดมันก็ต้องรับผิด ต้องชดใช้กรรม……”

    จากนั้นชายหนุ่มเดินเข้าไปในห้อง แล้วเรียกผู้ช่วยพนักงานสอบสวน หยิบพิมพ์ดีดชนิดหูหิ้ว ยี่ห้อ OLYMPUS ตามเข้ามาภายในห้องทำงานของเขา ก่อนเอาวางบนโต๊ะทำงาน และให้นั่งอยู่ตรงข้ามหัวหน้าสถานีตำรวจหนุ่ม ที่นั่งอยู่ในอิริยาบถสบายๆบนเก้าอี้ คอยสั่งให้ผู้ช่วยพนักงานสอบสวนคนนี้ พิมพ์หนังสือที่มีหัวครุฑอยู่ข้างบนตามที่เขาบอก

    รายละเอียดหนังสือราชการฉบับนี้ มีไปถึงนายบรรจง เจริญพานิช หัวหน้าแขวงการทาง อำเภอชัยบาดาล เพื่อขอยืมรถแทรกเตอร์ และเครื่องจักรกลขนาดใหญ่ในการขุดค้นพื้นที่ต้องสงสัยในฟาร์มของเสี่ยหยอง

    ภายหลังเขาอ่านตรวจทานเสร็จเรียบร้อย พันตำรวจตรีสำเริง เอาปากเซ็นลายชื่อเขาลงไปบนกระดาษอยู่เหนือวงเล็บ พันตำรวจตรีสำเริง มุยคำ สารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจภูธรอำเภอชัยบาดาล และสั่งให้เสมียนธุรการคดี นำจดหมายนี้ไปมอบให้กับนายช่างแขวงการทางในวันรุ่งขึ้น
    ——————————————-
    ส่วนคดีลูกน้องเสี่ยหยองข่มขืนฆ่าโหดเด็กนักเรียนวัย 13 ขวบ ที่พันตำรวจตรีสำเริงเข้าไปพบในโรงพัก หนังสือพิมพ์หลายฉบับเอาไปพาดหัวแข่งกันในวันรุ่งขึ้น
    อาทิ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 15 มิถุนายน พุทธศักราช 2523 ลงพาดหัวตัวโต

    “คดีโผล่อีกฆ่าแล้วเผา-ทุบหัว ด.ญ. จับ 2 สมุนแขกปากีสถานหนีเข้าไทย..”

    ส่วนหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ หนังสือพิมพ์ที่มียอดพิมพ์อันดับสองของประเทศ ไม่น้อยหน้าลงพาดหัวว่า

    “ทุบหัวด้วยค้อนหลังฉุดไปขืนใจ ให้รื้อฟื้นคดีนางเอกตายปริศนา ”

    การแข่งขันเสนอข่าวการลดอิทธิพลไบคานในครั้งนี้ สื่อใหญ่โดยเฉพาะ 2 ฉบับ ต่างพากันแข่งขันกันเต็มที่ โดยหนังสือพิมพ์เดลินิวส์แตกประเด็น ด้วยการนำเสนอข่าวอ้างความเหี้ยมโหดของทายาทไบคาน ซึ่งโปรยข่าวนำทุกวันว่า ทางตำรวจสั่งดำเนินการอย่างเฉียบขาด เจอคดีที่ไหน ดำเนินคดีที่นั่น

    การกระหน่ำข่าวการล้างอิทธิพลไบคาน ครั้งนี้ ทำให้บรรดาแฟนของ “วันดี ศรีตรัง” นางเอกสาว ผู้กลายมาเป็นภรรยาเพลย์บอยโหด สมชาย พงษ์สว่าง และต้องมาเสียชีวิตอย่างปริศนาในบ้านพักที่เป็นเสมือนเรือนหอในไร่ที่ลำ นารายณ์

    ร่างไร้วิญญาณของเธอถูกฝังอยู่ในสุสานที่จังหวัดสระบุรี ข่าวเดลินิวส์นำเสนอแหลมออกมาก่อน ทำนองว่าแฟนภาพยนตร์เริ่มพากันสงสัย และอยากให้ตำรวจขุดคุ้ยปมมรณะนี้ออกมาพิสูจน์ด้วย

    เดลินิวส์อ้างว่า การตายของวันดีเป็นปริศนา เพราะไม่มีการส่งศพผ่าตรวจพิสูจน์ อีกทั้งนายสมชาย สามีนางเอกนัยน์ตาสวยอ้างถึงบทบัญญัติของศาสนา ที่จะต้องฝังศพภายใน 24 ชั่วโมง

    เชื่อว่าถ้าไม่ถูกวางยาพิษ ก็อาจจะถูกทำร้ายร่างกาย
    และถ้าขุดศพที่ถูกฝังมา 4 ปี ขึ้นมาพิสูจน์ อาจจะพบสาเหตุการตายที่แท้จริงได้

    เลยไปถึงขั้นสัมภาษณ์นางกิมเซ้ง พิพัฒนากุล ผู้เป็นแม่นางเอกนัยน์ตาเศร้าถึงจังหวัดตรัง

    “ฉันต้องการอยากรู้ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ และคิดอยู่เสมอว่า ลูกฉันจะต้องไม่ตายฟรี…”

    RELATED ARTICLES
    - Advertisment -

    Most Popular

    Recent Comments