ตำนานมือปราบพระกาฬ ชลอ เกิดเทศ โดย…กิตติพงศ์ นโรปการณ์
ยิ่งเริ่มสาย หน้าห้องทำงานพลตำรวจโทณรงค์ มหานนท์ รองอธิบดีกรมตำรวจ มือปราบเลือดเพชรบุรี ยิ่งเริ่มคึกคัก
เท่านั้นบรรดานักข่าวทั้งขาจร และขาประจำของกรมตำรวจ รวมไปถึงช่างภาพหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ สอดส่ายสายตาไปที่ประตูทางเข้ากรมตำรวจแทบไม่วางตา
พร้อมตรวจเช็กเครื่องมือทำมาหากินไปในตัว ไม่ว่าจะเป็นฟิลม์ในกล้องถ่ายรูป เครื่องบันทึกเทปขนาดใหญ่ขนาดเล็ก
แต่สุดท้ายก็ไร้วี่แววหัวหน้าตำรวจประเทศไทย รหัสเรียกขาน พิทักษ์ 1จะเข้ามาแต่อย่างใด
ขณะเดียวกัน บรรยากาศในห้องทำงานของรองอธิบดีกรมตำรวจฝ่ายป้องกันปราบปราม แคนดิเดตอธิบดีกรมตำรวจต่อจากพลตำรวจเอกสุรพล ที่จะเกษียณอายุราชการในปีหน้าพุทธศักราช 2525 กลายเป็นห้องประชุมย่อยๆ
บรรดานายตำรวจมือปราบรุ่นใหญ่ เริ่มพูดคุยความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีสังหารส.ส.ศรายุทธ และ ร.อ.หญิงศิริยา ชะนะกุล ภรรยา ที่สื่อพิมพ์ใหญ่ ไทยรัฐ-เดลินิวส์ พากันประโคมข่าวว่าจับกุมมือปืนได้แล้ว แม้รายละเอียดจะไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริงทั้งหมด
“ตอนนี้ ชุดทำงานของชลอ จับกุมคนร้ายได้แล้ว 3 คน ส่วนคนจ้างวานก็อย่างที่รู้ๆกัน เป็นราชาที่ดินโชคชัย4 สาเหตุมาจากการเมืองในท้องถิ่นเขาเอง ที่มีส.ส.ได้เพียง 2 คน ตอนนี้เชื่อว่า เขาคงรู้ตัวแล้ว แต่ผมให้คนติดตามอยู่ เท่าที่ได้รับรายงาน ยังไม่ได้มีท่าทีจะหลบหนีไปไหน…”
พลตำรวจโท เจ้าของห้องเริ่มบรีฟสถานการณ์ ท่ามกลางขุนทัพนักสืบกรมตำรวจ ขณะที่ชลอนั่งยืดอกตัวตรง แม้ใบหน้าจะเรียบเฉย แต่ใจยิ้มกริ่มเต็มที่ เพราะนายพลเมืองเพชรให้เครดิตการพิชิตคดีนี้ให้บรรดานายตำรวจใหญ่น้อยในห้องได้ยินทั่วกัน
“ผู้ต้องหาที่เราได้ตัว คนแรกคือนายสวงค์ หรือ โบ๋ เอี่ยมสำอาง ลูกน้องคนสนิทของ จ.ส.อ.อนันต์ ราชาที่ดิน อดีตส.ส.ชัยนาทที่เพิ่งสอบตกสมัยที่แล้ว
ไอ้โบ๋ได้รับคำสั่งจากลูกพี่ไปหามือปืนมาสังหาร แต่มือปืนคนแรกไม่รับงาน และให้การยืนยัน ไอ้โบ๋ เคยมาว่าจ้าง แต่ไม่รับเพราะให้ค่าจ้างน้อย
ต่อมาไอ้โบ๋เลยไปจ้าง ทีมของนายพิชัย หรือจิ๋ม เจี่ยเจริญ นายอนันต์ หรือแมน รัตนะอัมพร และนายสะอิ้ง หรือสยาม สำเภาจันทร์มาลงมือแทน วงเงินค่าจ้าง 150,000 บาท
ไอ้โบ๋ สารภาพบอกว่า ตอนแรกจะให้ยิงนายเกรียงศักดิ์ สุขสว่าง ส.ส.ชัยนาท แต่คนร้ายตามหาไม่เจอ เลยเปลี่ยนแผนมายิง ส.ส.ศรายุทธ ที่ร้านนวดถนอมใจอารีย์ ย่านวังบูรพา
วันเกิดเหตุนายสะอิ้ง ขับรถเก๋งมิตซูบิชิ แลนเซอร์ ที่ไปเช่ามาจากคาร์เรนต์ย่านคลองเตย ขับขวางทางให้รถของนายศรายุทธ วิ่งได้ช้า
ก่อนให้นายพิชัย หรือไอ้จิ๋ม ใช้ปืนกลเอ็มทรี ที่ซุ่มอยู่ยิงเข้าทางด้านซ้ายของตัวรถ ส่วนนายอนันต์ หรือไอ้แมน ใช้ปืน ขนาด.38 ยิงมาจากทางด้านขวา จากนั้นทั้งคู่วิ่งขึ้นรถนายสะอิ้งหลบหนี…..”
นอกจากจ่าอนันต์ คนจ้างวานที่ยังจับกุมไม่ได้ ยังมีนายสะอิ้ง คนจัดหามือปืนหารถ และนำปืนที่ใช้ก่อเหตุหลบหนีไปด้วย
“เดี๋ยวผมจะมอบหมายงาน ให้ เสน่ห์ สิทธิพันธ์ ผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ จำรัส จันทรขจร ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล รวมทั้งผมทำหน้าที่อำนวยการ ส่วนงานสอบสวนให้ พลตำรวจตรีพิชิต มีปรีชา รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และรองประยูร รับผิดชอบ
คุณณรงค์วิช คุณนำทีมสอบสวนของกองปราบเข้าร่วมสอบสวนด้วย ไปแบ่งงานกันทำ อย่างเช่น ไปสอบปากคำยามรักษาการณ์ที่พรรคกิจสังคม ที่คนร้ายเดินเข้าไปถามว่ารถยนต์ของนายศรายุทธ ชะนะกุล คันไหน รวมทั้งให้ไปสอบปากคำเด็กรับรถที่ถนอมใจอารีย์ และพยานแวดล้อมอื่นๆด้วย….”
“ครับผม…”
รองประยูร หรือพันตำรวจเอกประยูร โกมารกุล ณ นคร รองผู้บังคับการตำรวจพระนครบาลเหนือ และพันตำรวจเอกณรงค์วิช ไทยทอง ผู้กำกับการ 2 กองปราบปราบปราม นักเรียนนายร้อยจากรั้วสามพรานรุ่น 18 ตอบแทบจะพร้อมกันหลังได้รับคำสั่ง โดยทั้งคู่สบตาแว่บหนึ่งเหมือนคนรู้ใจ
“เออ……..รองยูร เท่าที่คุยกับชลอ ผมคิดว่าจะกันไอ้โบ๋เป็นพยาน เพราะจะนำไปสู่การจับกุมจ่าอนันต์ คนจ้างวานได้
สำหรับจ่าอนันต์ ไอ้นี่หัวไม่ธรรมดานะ พอ ส.ส.ศรายุทธ ตาย มันมาสมัครเข้าพรรคกิจสังคม พรรคเดียวกับคนตายเลย คงหวังว่าทางพรรคจะส่งเข้าเลือกตั้งซ่อม …..”
รองอธิบดีกรมตำรวจพูดกับรองผู้บังคับการตำรวจพระนครบาลเหนือ มือสอบชั้นครูอย่างไม่ต้องการคำตอบ ขณะที่พลตำรวจโทณรงค์ หันไปทางพันตำรวจเอกสมเกียรติ พ่วงทรัพย์ ผู้กำกับสืบสวนสอบสวนพระนครบาลเหนือ อีกครั้งพร้อมบอกว่า
“ระหว่างนี้ สมเกียรติ คุณเอาไอ้โบ๋ไปดูแล อย่าให้มันเป็นอะไรไปล่ะ ตัวละครสำคัญในคดีเลยนะ……….”
“ครับ…..”
นักสืบหนุ่มที่สื่อมวลชนขนานนามว่ามือปราบตี๋ใหญ่ตอบรับคำสั่ง
รองอธิบดีกรมตำรวจหันไปทาง พันตำรวจเอกชลอ เกิดเทศ พันตำรวจเอกสล้าง บุนนาคและพันตำรวจเอกโสภณ สะวิคามิน มือไม้ที่เขาใฃ้งานแล้วสั่งต่อ
“คุณสามคน เร่งไปตาม ไอ้อิ้ง ที่มันหลบหนี ไปตามเอาตัวมาให้ได้ โดยเฉพาะเรื่องปืนเรื่องอาวุธของกลาง ได้ข่าวไอ้อิ้งมันเอาไปฝากไว้กับญาติๆ ลองช่วยกันตรวจสอบว่าอยู่ที่ไหน เพราะมันเป็นหลักฐานสำคัญทางคดีอีกอย่าง ไปเค้นไอ้จิ๋ม ไอ้แมนดู มันโกหกเราหรือเปล่า………”
หลังสั่งงานเสร็จตรงนี้ พลตำรวจโทณรงค์ ให้นายตำรวจชุดทำงานออกไปดำเนินการตามที่สั่ง ส่วนในห้องเหลือแต่นายตำรวจรุ่นใหญ่ 4-5 คน
โดยเฉพาะพลตำรวจตรีพิชิต มีปรีชา รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ที่จบจากมาจากรั้วโรงเรียนอำนวยศิลป์กับรองอธิบดีคนเพชร นั่งปรึกษาหารือข้อราชการในห้องอีกครั้ง เนื้อหาเป็นเรื่องของการเตรียมการแถลงจับกุมคนร้ายในคดีนี้ รวมถึงขั้นตอนการจับกุมจอมบงการสั่งตายด้วย
หลังซักซ้อมทำความเข้าใจในงานยักษ์วันรุ่งพรุ่งนี้ ทุกคนเดินทางกลับออกไปเพื่อปฏิบัติภารกิจตามที่ได้รับมอบหมาย ส่วนนายพลเจ้าของห้องยังคงนั่งสางงานอยู่จนเกือบหกโมงเย็น จึงเรียกนายตำรวจติดตาม 2-3 คนเตรียมตัวเดินทางไปปฏิบัติงานตามหมายกำหนดการ
แต่ทันทีที่เปิดห้อง นายพลคนเพชร ถึงสะดุ้งเล็กน้อย เพราะไม่นึกว่าจะมีกลุ่มนักข่าวกลุ่มใหญ่ยังรออยู่ชนิดอยู่อึดอยู่ทนได้ขนาดนี้ แต่ก็ยิ้มให้กับนักข่าวรุ่นน้อง และมีหลายคนเป็นรุ่นลูกด้วยซ้ำ
“ท่านคะ ท่านอธิบดีบอกว่า ท่านจับกุมคนร้ายที่ยิง ส.ส.ศรายุทธ กับภรรยาได้แล้ว ตอนนี้จับกุมได้กี่คนคะ……”
เสียงนักข่าวสาว รุ่นราวคราวลูกชิงถามก่อนที่รองอธิบดีกรมตำรวจจะพูดตอบกลับแบบยิ้มๆ
“เดี๋ยวๆ ใจเย็นน้อง เรื่องนี้พี่ขอผัดเป็นวันพรุ่งนี้ บ่ายสองแถลงแน่นอน รอให้ตำรวจไปทำงานชิ้นสำคัญในคืนนี้ก่อน สำคัญมาก ถ้าทำสำเร็จคดีนี้จะสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซนต์ และจะแถลงให้ทราบพรุ่งนี้ แต่ถ้าคืนนี้งานที่ทำไม่สำเร็จ ก็จะแถลงให้ทราบเหมือนกัน……….”
แต่กลุ่มเหยี่ยวข่าวยังไม่ลดละ
“ท่านครับเห็นว่า จับคนร้ายได้ 3-4 คนแล้วใช่มั้ย…..”
คราวนี้เป็นเสียงนักข่าวหนุ่มแย้งขึ้นมาบ้าง
พลตำรวจโทณรงค์หันมามองหน้านักข่าวหนุ่มด้วยความเอ็นดู แต่ในใจระคนสงสัยว่ารู้เยอะเหมือนกัน ก่อนตอบด้วยท่าทีระมัดระวังคำพูดขึ้นกว่าเดิม
“ถ้าจับได้ 3 คน ก็ดีสินะ แต่คดีนี้ ต้องทำงานด้วยความรอบคอบ คดีนี้ยากกว่าคดีสส.กำธร ลาชโรจน์ ส.ส.ปัตตานี ที่ถูกฆ่าชิงทรัพย์เมื่อ 2-3 เดือนที่แล้วซะอีก
แต่คดีนี้เรารู้แค่ศพถูกยิงตายในรถเท่านั้น ต้องใช้เวลาสืบสวนสอบสวนนานมาก กว่าจะได้ประเด็นที่แท้จริง ซ้ำยังต้องใช้กำลังคนมากกว่าคดี ส.ส.กำธร แต่รับรองว่า ถ้าผ่านคืนนี้ไป จะสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซนต์ เต็มไปด้วยความถูกต้อง และจะนำตัวมาโชว์พร้อมกัน ตอนนี้เหลืออย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังบอกไม่ได้ รอรู้พร้อมกันพรุ่งนี้นะ…………”
กลุ่มนักข่าวพยายามยื่นเทปบันทึกเสียงจะขอสัมภาษณ์อีกตามหน้าที่ แต่รองณรงค์โบกไม้โบกมือส่งสัญญาณพอแล้ว ก่อนเดินเลี่ยงลงไปขึ้นรถ โดยไม่ลืมยกมือไหว้ทำความเคารพอนุสาวรีย์ผู้พิทักษ์รับใช้ประชาชน เป็นรูปปั้นตำรวจอุ้มคนเจ็บ มีเด็กยืนเกาะขา ตั้งอยู่กลางลานหน้าอาคารกรมตำรวจแห่งนี้
—————————————————————————————
หลังประชุมที่กรมตำรวจเสร็จ ชลอพร้อมลูกน้อง 2-3 คน เดินทางกลับเข้ามาที่เซฟเฮ้าส์ ซอยลาดพร้าว 15
สถานที่ที่เสี่ยวัฒนา นักการเมืองคนดังปากน้ำ ให้เขาไว้ใช้เป็นเซฟเฮ้าน์ส และเป็นสถานที่ที่คุมตัวไอ้โบ๋ หรือสวงค์ ตัวละครคัตเอาต์ในคดีนี้เอาไว้ด้วย
ทันทีที่เห็นหน้าชลอ ไอ้โบ๋ ยกมือไหว้
ส่วนชลอบอกกับผู้ต้องหารายแรกที่มาเซ่นเซฟเฮ้าส์ของเขา
“ คืนนี้ คืนสุดท้ายแล้วนะมึงที่จะได้นอนที่นี่ พรุ่งนี้สืบเหนือเขาจะมารับตัวมึงไปอารักขาเป็นพยาน ตามที่กูสัญญาไว้กับมึง ถ้ามึงให้ความจริง พูดเรื่องจริงกับกู ก็จะช่วยตามที่กูรับปากไว้
กูไปพูดขอร้องรองณรงค์เจ้านายกู ให้กันมึงไว้เป็นพยาน ท่านเมตตามึง สั่งกันเป็นพยานทันทีเพราะฉะนั้นมึงคิดดูก็แล้วกัน ก่อนคดีนี้สิ้นสุดมึงต้องทำอย่างไรบ้าง”
“เอ้าเฮ้ย………ไอ้เปี๊ยกหนวด มึงอยู่ไหน แอบไปเล่นไฮโลอีกหรือเปล่า เอาเหล้ากูมากินฉลองส่งตัวไอ้โบ๋มันไปอยู่กับสืบเหนือโว้ย….”
“ครับนาย…รอแป๊ปเดียว รอแป๊ปเดียว………”
เสียงไอ้เปี๊ยกหนวดที่อยู่ในห้องครัวตะโกนตอบ
คืนนั้น กว่าวงเหล้าในเซฟเฮ้าส์นี้จะเลิกราก็เกือบๆตีหนึ่ง ชลอสั่งลูกน้องไปนอน เตรียมตัวทำงานในวันพรุ่งนี้ เพราะหลังจากอธิบดีกรมตำรวจแถลงข่าวเรื่องนี้เสร็จในช่วงบ่ายสองโมง เขาได้รับมอบหมายให้คุมกำลังคอมมานโด พร้อมอาวุธครบมือนำตัวผู้ต้องหาทั้ง 3 คน เดินทางไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพตามจุดต่างๆ
จากการกินเหล้าครั้งนี้ ทำให้นายตำรวจใกล้ชิดชลอ รวมทั้งบรรดาสายโจรและไอ้โบ๋ รับรู้ว่าเจ้านายคนนี้บุคลิกเป็นคนอย่างไร
ที่แน่ๆ ถ้าคนร้ายหรือมือปืนรายไหนให้ความร่วมมือกับเขา ให้การรับสารภาพทุกอย่าง ชลอเป็นคนแปลกจะรับคนร้ายนั้นไว้เป็นลูกน้องทันที แต่ถ้ารายไหนโกหก แล้วจับได้
โทษนี้แรงถึงตาย……………
เช้าวันรุ่งขึ้น วันที่ 2 ตุลาคม พุทธศักราช 2524
ชลอเดินทางนำตัวไอ้โบ๋ ออกจากเซฟเฮ้าส ลาดพร้าว15 ไปที่กองปราบปราม สามยอด เพื่อรอให้ชุดสืบสวนเหนือเดินทางมารับตัวไปดูแลตามคำสั่งของรองอธิบดีกรมตำรวจ
ไม่นานนัก ปรากฎร่างร้อยตำรวจโทบรรดล ตัณฑไพบูลย์ รองสารวัตรสืบสวนเหนือ นายตำรวจที่ถูกส่งไปเข้าเกลียวจับ ตี๋ใหญ่ จอมโจรชื่อดังจนเสียชีวิตไปเมื่อต้น2524 โดยนายตำรวจเลือดเนื้อคนเหนือ เป็นคนสนิทพันตำรวจเอกสมเกียรติ พ่วงทรัพย์ เดินทางมาขอพบเขาที่ห้องทำงานชั้น 3
พร้อมแจ้งความประสงค์ ขอรับตัวไอ้โบ๋ไปดูแลเบื้องต้นจะนำไปฝากขังที่สถานีตำรวจพระราชวังเป็นการชั่วคราว ก่อนที่พนักสอบสวนจะเสนอให้เป็นพยานในโอกาสต่อไป
ขณะที่ตำรวจสืบสวนเหนือนำตัวไอ้โบ๋ไปอารักขา มีกลุ่มนักข่าวประจำกองปราบปรามเห็นความเคลื่อนไหวอันนี้ พากันกรูเข้ามาสัมภาษณ์ โดยไอ้โบ๋ บอกว่า
“ผมเป็นห่วงลูกพี่ คือจ่าอนันต์ ขอให้อโหสิให้ด้วย เพราะตอนนี้สำนึกผิดในบาปที่ทำลงไปส่วนนายอนันต์ สงสัยจะรอดยาก เนื่องจากหลักฐานสิ่งแวดล้อมรวมทั้งพยานบุคคลมัดแน่นมาก…….”
จากนั้นชลอ เดินทางไปที่กรมตำรวจเพื่อร่วมการแถลงข่าวอย่างใหญ่โต โดยพลตำรวจเอกสุรพล จุลละพราหมณ์ อธิบดีกรมตำรวจมีชาร์จ มีขั้นตอนการแสดง ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร
ตอนนั้นเอง ชายหนุ่มเพิ่งทราบว่า จ่าสิบเอกอนันต์ สุขสันต์ ถูกจับได้คาโต๊ะอาหารเที่ยง ภายในจิตรโภชนา มีพลตำรวจตรีพิชิต มีปรีชา รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ที่รู้จักกับราชาที่ดินคนนี้มาก่อนเป็นเอาหมายจับไปเชิญตัวมารับทราบข้อกล่าวหา
แต่ราชาที่ดินรายนี้ ไม่ได้ถูกนำมาร่วมแถลงข่าวด้วย โดยทางตำรวจอ้างว่าเพื่อเป็นการปลอดภัยจากพี่น้องผู้ตายนายศรายุทธ ชะนะกุล ที่อาจจะก่อเหตุไม่คาดฝัน
ราชาที่ดินโชคฃัย 4 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา เจ้าหน้าที่เลยนำตัวไปฝากขังไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลหัวหมาก
หลังแถลงข่าวใหญ่โตเสร็จสิ้น ชลอทราบทีหลังว่า
ศาลอาญาอนุญาตให้จ่าสิบเอกอนันต์ประกันตัวออกไป 2 วัน เพื่อสมัครรับเลือกตั้งซ่อมในนามพรรคกิจสังคม แทนนายศรายุทธที่ถูกยิงเสียชิวิต และได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส.ชัยนาท ได้คะแนน 40,000 กว่าคะแนนทั้งที่อยู่ในเรือนจำ และได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2524
พร้อมๆกับที่ชุดสืบสวนของพันตำรวจเอกสุรเสน วีรระขจร รองผบก.ภ.3 พบปืนกลเอ็มทรี และปืนรีวอลเวอร์.38 ที่ใช้สังหารนายศรายุทธ และภรรยา ถูกนายสะอิ้ง ผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีไปได้ และถูกออกหมายจับไว้ นำไปฝากไว้กับญาติที่อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา
ขณะเดียวกัน ชื่อเสียงของพันตำรวจเอกชลอ เกิดเทศ เริ่มโด่งดังในฐานะมือปราบมากขึ้นกว่าสมัยทีเป็นผู้กำกับอยู่ลพบุรี และถูกนำผลงานมาเปรียบเทียบกับพันตำรวจเอกสล้าง บุนนาค รองผู้บังคับการกองปราบปราม รุ่นพี่ นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 14 มาตั้งแต่นั้น