Friday, April 26, 2024
More
    Homeตำนานมือปราบพระกาฬ ชลอ เกิดเทศ82. ตำรวจ-นักข่าว ชีวิตไม่ต่างกัน

    82. ตำรวจ-นักข่าว ชีวิตไม่ต่างกัน

    ตำนานมือปราบพระกาฬ ชลอเกิดเทศ โดยกิตติพงศ์ นโรปการณ์

                  
    “ไอ้ป้อม คอนติ ..”

    ชลอทวนชื่อก่อนพูดต่อ
                  
    “ คนเดียวกับไอ้ป้อม เมืองนนท์ พวกที่สุมหัวอยู่แถวโรงแรมคอนติ สะพานควายใช่มั้ย….”
                  
    “ใช่ครับพี่…..”
            
    นักสืบหนุ่มรุ่นน้องกล่าวตอบ
                  
    ภาพโรงแรมคอนติ หรือโรงแรมคอนติเนลตัน ถูกดึงออกจากลิ้นชักสมองของชลอ

    โรงแรมแห่งนี้เป็นโรงแรมไม่เล็กไม่ใหญ่  อยู่เลยสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ถนนพหลโยธินไปเล็กน้อย จัดเป็นโรงแรมที่อยู่รอบนอกใจกลางกรุงเทพ ลักษณะคล้ายโรงแรมแหลมทองย่านนางเลิ้ง แต่หรูหรากว่า เป็นอีกแหล่งที่นักเล่นนักเที่ยวทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดเข้าไปพัก เข้าไปใช้บริการ
             
    โดยเฉพาะคอฟฟี่ช็อปของโรงแรมแห่งนี้ เป็นที่นัดพบ และที่สิงสถิตของนักเที่ยวนักเล่นในยามดึกดื่น หลังเลิกจากการเสี่ยงโชคในบ่อนการพนัน 2-3 แห่งที่ซ่อนตัวอยู่ในชุมชนรอบๆไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดนี้
                          
    ส่วนตัวแล้ว ชลอเคยให้ลูกน้องขับรถแว่บๆเข้าไปเวียนดูหน้าดูตานักเลงนักเล่นที่มีพฤติกรรมเป็นมือปืนรับจ้างในโรงแรมแห่งนี้อยู่ 2-3 ครั้ง เขาคุ้นๆชื่อไอ้ป้อมอยู่บ้าง มันอยู่ในกลุ่มนักเลงนักเล่นจากจังหวัดนนทบุรี แต่มาขลุกในบ่อนเปิดใหม่ย่านประตูน้ำ
            
    ประวัติมันเป็นลูกน้อง ไอ้เนี้ยว คอนติ อดีตมือปืนรับจ้างตัวดัง เดินตามรับใช้นักข่าวใหญ่ลูกนายทหาร และเสกสรรค์ เจ้าของ “คาร์เทีย์” คอกเทลเลาจน์ดัง  ปกติไอ้เนี้ยวจะเดินคู่อยู่กับ ลิ้ม ปังตอ มือปืนรับจ้างฝั่งธนบุรี แต่เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ไอ้เนี้ยวพลาดท่าถูกคู่อริยิงตายที่ย่านประตูน้ำ จากนั้นอีกไม่นาน ไอ้ลิ้ม ปังตอ ก็ถูกยิงเสียชีวิตตามไปอีกคน
            
    หลังการตายของ ไอ้เนี้ยว และ ลิ้ม ปังตอ  ไอ้ป้อม ผงาดขึ้นมาเป็นพี่เบิ้มของกลุ่มคอนติ มีสมุนเป็นมือปืนที่ชลอพอรู้ว่า มีตัวแสบๆอย่าง ไอ้ตุ่ม นักเล่นที่มีพฤติกรรมเป็นมือปืนรับจ้าง
                  
    ส่วนไอ้จักษ์ สห. หรือไอ้จักษ์ ปากเกร็ด จะว่าไป ก็เป็นลูกน้องเขาอีกคน อยู่ในชุดสารวัตรทหารบก ราบ 11 จริงๆแล้ว เดิมที ไอ้จักษ์ สห. เป็นลูกน้องพันตำรวจโทอดุลย์ บุญเสรฐ นายตำรวจมือปราบลูกบ้าอีกคนที่เลี้ยงลูกน้องเยอะแยะไว้เป็นสายข่าว ทั้งตำรวจ ทหาร ยันโจร
                              
    มารู้จักเพราะไอ้จักษ์ และพวกกลุ่มสารวัตรทหารที่เดินเที่ยวอยู่ตามแหล่งสถานบันเทิงและบ่อนการพนัน อาทิ จ่าคม เตาปูน จ่าแอ๊ด บางแค จ่าทุม สห.ไปเดินเกร่แถวบางกะปิเทอเรซ ร้านข้าวต้มที่อยู่ชั้นล่าง โรงแรมชวลิต ซอยสุขุมวิท11 ขณะที่ชลอกำลังนั่งอยู่กับลูกน้อง เลยเรียกเข้ามากำราบให้อยู่ในระเบียบ ทำนองว่าพวกมึงทำอะไร  อยู่ในสายตา อย่านึกว่ากูไม่รู้
            
    พร้อมๆกับให้มาเป็นสายข่าวให้เขา เพราะชลอรู้ดีว่าไอ้พวกนี้มีพฤติกรรมเข้าข่ายเป็นมือปืนรับจ้าง รับงานยิงคน แต่ที่ไม่เป็นข่าว เพราะมันยิงแต่พวกที่ขัดผลประโยชน์กันในบ่อนการพนัน และประเภทเตะแข้งเตะขากันเอง ไมไ่ด้เกี่ยวกับสุจริตชนคนธรรมดา      
                        
    สำหรับโรงแรมชวลิตเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่เป็นแหล่งชุมนุมคนใหญ่คนโต ตำรวจ ทหาร นักการเมือง พ่อค้าดารา นักเลงนักเล่น ตลอดจนนักข่าวรุ่นใหญ่ เพราะในโรงแรมแห่งนี้ มีคอกเทลเลาจน์ดังอย่าง คาร์เทียร์ และ ฟลาเมงโก ดิสโกเธคสุดฮอต อยู่บนชั้น 7 ของโรงแรม เป็นที่ดึงดูดบรรดานักเที่ยวเมืองกรุง
                           
    พูดถึงแหล่งเที่ยวสถานบันเทิงที่ชุมนุมเสือสิงห์ในเมืองกรุงยังมีอีกเยอะ สุดยอดไนต์คลับต้อง บับเบิ้ล ชั้นใต้ดินโรงแรมดุสิตธานี และ ไดอาน่า รร.โอเรียลเต็ล ที่ชุมนุมของบรรดาไฮโซเมืองไทย และเหล่านักเรียนนอก
    รองลงมาเป็น กุชชี่คลับ ในโรงแรมบางกอกพาเลซ  บอนนี่เอ็ม ย่านประตูน้ำ                    
             
    แต่สถานบันเทิงที่ว่าเหล่านี้ ชลอไม่นิยมจะเข้าไปเที่ยว เพราะจากสภาพของสถานที่ ทำให้การระวังป้องกันตัวยาก ไม่รู้ใครเป็นใคร

    ยิ่งคู่ปรับคู่อาฆาตเขาอย่างไอ้หยอง สมชาย พงษ์สว่าง เจ้าพ่อปาทานที่ถูกเขาไล่ล่าทั้งบนดินและใต้ดินจนต้องหัวซุกหัวซุนหนีกลับปากีสถาน แต่ชลอก็ไม่ไว้ใจอยู่ดี เพราะพฤติกรรมในอดีตที่มันเคยส่งคนมาดักยิงเขาถึงที่บ้านที่ปัฐวิกรณ์ ทำให้เขาต้องระมัดระวังตัวตลอด
            
    อย่างดีที่สุดคือ ไปนั่งกินข้าวกินเหล้าอยู่ในคอฟฟี่ช็อปของโรงแรมเป็นเรื่องเป็นราวเท่านั้น  
            
    ——————————————————————————–
                              
    “มันคุยโวกับไอ้จักษ์ ได้ยินแค่ 2 คน ผมนั่งอยู่ใกล้ๆก็นิ่ง มันคงนึกว่าผมไม่ได้ยิน และนึกไม่ถึงว่าผมเป็นตำรวจ ….”
                      
    นักรักบี้ทีมชาติรุ่นน้องกึ่งเล่ากึ่งรายงาน
                      
    “ก็มึงมันไว้หนวดไว้เคราอย่างนี้ใครจะไปนึกวะ……”

    รองผู้การกองปราบกล่าวตอบพร้อมหัวเราะ
                      
    ชลอยังขำไม่หาย เพราะวีรกรรมลูกน้องอดีตนักรักบี้จากรั้วเหลืองแดงธรรมศาสตร์คนนี้ ปกติแล้ว ถึงจะมีเพื่อนฝูงในรุ่นราวคราวเดียวกันเยอะ  อีกทั้งชอบเดินหาข่าวตามสถานบันเทิงต่างๆ แต่ก็ไม่ดื่มเหล้า
             
    แต่มีอยู่วัน ไม่รู้ผู้กองคกครึ้มอกครึ้มใจอะไร เมาแอ๋ถึงขั้นให้เมียขับรถมารับกลับบ้าน บังเอิญไปเจอด่านตรวจสถานีตำรวจนครบาลดุสิตเรียกตรวจ  เห็นปืน11มิลลิเมตรของผู้กองคกวางอยู่ข้างๆตัว ก็เลยเป็นเรื่อง
             
    ตำรวจท้องที่ขอตรวจค้น  แต่ปลุกยังไงผู้กองคกก็ไม่ตื่น ไม่วายที่เมียนายตำรวจหนุ่มกองปราบฯจะอธิบายว่าชายตัวใหญ่ที่นั่งข้างๆเป็นตำรวจ เป็นลูกน้องรองผู้การกองปราบ ชลอ เกิดเทศ ตำรวจในด่านก็ไม่เชื่อ เพราะไม่มีอะไรยืนยัน แม้แต่บัตรตำรวจก็ไม่ได้ติดตัวไปด้วย
                        
    สุดท้ายตำรวจในด่าน ต้องวิทยุไปหา สารวัตรติ่ง-พันตำรวจตรีภาณุรัตน์ มีเพียร สารวัตรป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลดุสิต แต่เมื่อบอกชื่อ รวมทั้งอธิบายรูปพรรณสัณฐาน สารวัตรติ่ง  วิทยุแจ้งกลับให้ลูกน้องรีบปล่อยตัวไปทันที เพราะคุ้นเคยกันกับผู้กองคกดีอยู่ ก่อนเป็นเรื่องโจ๊กในวันต่อมา
                 
    “แล้วมึงจำหน้าไอ้ติ่ง ไอ้ติ๋งอะไรที่มาคุยโตขี่มอเตอร์ไซค์ให้มือปืนบุกยิงคนที่เชียงใหม่ได้มั้ย…..”
            
    ชลอกลับเข้าเรื่องซักต่อ
                     
    “ได้ครับนาย จำได้ติดตา อยู่ใกล้ซะขนาดนั้น…”
            
    ผู้กองคกกล่าวตอบอย่างมั่นใจ
                        
    “เอางี้ ถ้าจะเข้าเค้า มึงไม่ต้องขึ้นไปที่เชียงใหม่ มึงตามไปล็อกไอ้ติ่ง  เสร็จแล้วไปหาประวัติเอารูปของไอ้ป้อมกับไอ้ติ่งขี้คุยนั่นให้ใครรีบส่งมาให้กู ส่วนไอ้ฟ้าคราม กูจะให้ไอ้ป๊อก ไอ้หนุ่ยตามเอง….”

    ไอ้ป๊อก ไอ้หนุ่ย ที่ชลอพูด หมายถึง ร้อยตำรวจโทโรจนะ สมุนไพร และร้อยตำรวจโทอภินันท์ เกตุษเฐียร 2 นายตำรวจนักฟุตบอลที่เขาให้อยู่ทำงานที่เชียงใหม่กับ ร้อยตำรวจเอกพิภพ เบี้ยวไข่มุก
             
    จากนั้นหัวหน้าชุดคลี่คลายคดีฆ่าเสี่ยหนุ่มร้อยล้านเมืองเชียงใหม่ นั่งหารือข้อราชการกับนายตำรวจหนุ่มคู่ใจในเรื่องอื่นอีก
                      
    พลันมีเสียงเคาะประตู พร้อมกับมีอาคันตุกะหนุ่มโผล่หน้าเดินเข้ามายกมือไหว้เจ้าของห้อง
                      
    “พี่ลอ หวัดดีครับ…พี่คก หวัดดีครับ…..”
                      
    “อ้าว….แอ๊ด เข้ามาสิ ……”
                      
    รองผู้บังคับการมือปราบทักทายแอ๊ด-วิชเลิศ งามขำ เหยี่ยวข่าวหนุ่มไทยรัฐ ประจำกองปราบปรามที่เขาเริ่มคุ้นหน้าคุ้นตา หลังจากคลี่คลายคดียิงนายศรายุทธ ชะนะกุล ส.ส.ชัยนาท โฆษกพรรคกิจสังคม ตายพร้อมเมียที่สี่แยกอุนากรรณ เมื่อสิงหาคมปีที่แล้ว
             
    “ไอ้ตุ้ย ไอ้อี๊ดล่ะ ไม่ได้มาด้วยกันเหรอ….”
                        
    ชลอหมายถึง ปริญญ์ คุณวัฒน์ นักข่าวหนุ่มจอมลุยจากค่ายบานเย็น เดลินิวส์ ที่ปกติเห็นทั้งคู่เดินหาข่าวด้วยกัน ส่วนอี๊ด-สุรัฐ จินากุล นักข่าวช่างภาพบางกอกโพสต์ มักจะแยกตัวเดินหาข่าวคนเดียว
                        
    “วันนี้ยังไม่เห็นครับพี่ลอ ไม่รู้ตุ้ยมันไปไหน ส่วนอี๊ดคงไปอยู่แถวกอง 7 กอง 8 หาข่าวเรื่องยาเสพติดหรือไม่ก็ไปหาข่าวยากูซ่าน่ะครับ…..”
             

    นักข่าวหนุ่มตอบ พร้อมยิงคำถามต่อ
                        
    “คดีเสี่ยปุ้ยเป็นไงครับพี่ เห็นว่าใกล้แล้ว ยังไงส่งซิกบอกผมด้วยนะครับ……”

    “เออ…ไม่ลืมหรอก  นี่กูกำลังจะขึ้นไปเชียงใหม่ ไปกับกูมั้ย……”
                        
    ชลอถามลองใจเด็กหนุ่มนักข่าวที่อายุอานามห่างเขาประมาณ10ปี รุ่นราวคราวเดียวกับผู้กองคก
                        
    “ไปครับพี่…..” 

    แอ๊ด วิชเลิศตอบทันควันแบบไม่ต้องคิด
                      
    “เออดี….พร้อมยิ่งกว่าลูกน้องกูซะอีก….”

    ชลอพูดกลั้วเสียงหัวเราะ
                      

    ฃขณะที่หัวใจนักข่าวหนุ่มไฟแรงพองโต เพราะเขาจะได้ไปทำข่าวกับรองผู้การมือปราบแห่งยุคเพียงคนเดียว มันน่าจะเป็นข่าวเดี่ยวที่สร้างชื่อเสียงกับเขา
            
    ก่อนนี้เขาเป็นนักข่าวของเดลิไทม์ เคยบุกเข้าไปทำข่าวถ่ายรูปวีรกรรมทหารเรือที่ดอนแตง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย เมื่อปลายปี 2518 หลังได้ข่าวซีฟมาว่า ในค่ำคืนวิกฤตวันที่ 18 พฤศจิกายน นาวิกโยธินจากเกาะพระ จะบุกไปกู้เรือ นปข.ที่ถูกทหารลาวระดมยิงจนนายทหารที่ถือพังงาเรือเสียชีวิต และร่างไร้วิญญาณของทหารกล้าผู้นี้ยังติดอยู่กับเรือที่เกยต้ืนอยู่บนเนินทรายกลางแม่น้ำโขง
            
    พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ อดีตผู้บัญชาการทหารเรือในขณะนั้นประกาศกร้าว
            
    “ถ้าไม่ได้ศพคืน ก็ให้เพิ่มศพเข้าไป….”
            
    ในความตึงเครียดและห่ากระสุนของทหารทั้ง 2 ประเทศ รวมทั้งสงครามสื่อที่แข่งขันกันทางข่าวหนังสือพิมพ์และข่าวโทรทัศน์ แอ๊ด-วิชเลิศ บ้าระห่ำควักเงิน 100 บาท เช่าเรือชาวบ้านริมน้ำโขง พายเรือทวนน้ำที่เชี่ยวกรากตัดเข้าไปที่ดอนแตง เล็ดรอดดงกระสุนจากทหารทั้ง 2  ประเทศ เข้าไปให้เพื่อนช่างภาพที่เข้าไปด้วยกัน ถ่ายรูปภาพทหารเรือไทยกำลังเข็นเรือ นปข.ที่เกยตื้นลงน้ำลากจูงกลับเข้าฝั่งไทยไว้ได้เพียงฉบับเดียว
            
    เป็นความภูมิใจของเขา
            
    ทั้งที่ลูกชายคนแรก ตูน-วัสยศ เพิ่งคลอดได้ไม่กี่เดือน
                       
    จึงไม่แปลกที่นักข่าวหัวเห็ดอย่าง แอ๊ด-วิชเลิศ จะตกปากรับคำชวนมือปราบชลอ ขึ้นเหนืออย่างชนิดเสื้อผ้าไปหากันดาบหน้า
                        
    “เดี๋ยวผมไปเอากระเป๋ากล้องก่อนครับพี่…..”
                        
    แอ๊ด-วิชเลิศ ขยับตัวออกจากห้องด้วยความกระตือรือร้นกลัวจะตกรถขบวนสำคัญ
                       
    เช่นเดียวกับผู้กองคกที่ออกไปทำงานตามที่ชลอสั่ง
                        
    ส่วน ชลอ หันไปยกหูโทรศัพท์ข้างโต๊ะทำงาน หมุนหมายเลขที่ต้องการ รอจนคู่สนทนากรอกเสียงเหน่อๆแบบคนเมืองเพชรตอบรับ
            
    “ไอ้แป๋ง…มึงบอกให้ไอ้จ๋อง ไปรอกูที่ฟาร์มตากวันนี้เลย กูมีงานต้องใช้มัน …….”
            
    ชลอคุยกับส.ส.เจ้าพ่อเมืองเพชรบุรี อีก 2-3 ประโยค ก่อนวางหู ลุกจากเก้าอี้โต๊ะทำงานเดินออกไปเปิดประตู ตะโกนสั่งลูกน้อง2ตำรวจคนสนิท
                      
    “ไอ้ตั๋น ไอ้ยะ ….มึงติดต่อไปที่โรงแรมพรพิงค์ เชียงใหม่ ฝากโน้ตให้ไอ้เบี้ยว ไอ้หนุ่ย ไอ้ป๊อก ว.13 หากูที่โทรศัพท์หูหิ้วเครื่องนี้ แล้วมึง 2 คนเตรียมตัวไปตากคืนนี้…….”
              
    ——————————————————————————–
                    
    ก่อนเดินทาง นายตำรวจนักบู๊ เข้าไปดูลูกชายลูกสาว 2 คนที่กำลังอยู่ในวัยน่ารัก คือปู-ชนม์ยืน และปลา-กุมาริกา  ที่ตอนนี้อายุได้ 12 ขวบ และ 9 ขวบ ตามลำดับ ทั้งคู่อยู่ในความดูแลของ ใหญ่-สุรางค์ พลทรัพย์ สาวน้อยเมืองกรุงเก่าคนรักที่ทำหน้าที่ดูแลเหมือนกับแม่แท้ๆ 

    แต่ชลอยังคงไม่วายห่วง เวลาลูกสาวลูกชายไปโรงเรียนหรือไปไหนมาไหน ต้องให้ตำรวจลูกน้องคอยติดตามไปด้วยทุกครั้ง
            
    เพราะใจเขายังหวั่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับลูกชายคนโต กุ้ง-ชอบรบ ที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ
            
    มือที่เปื้อนเลือดโจรร้ายทั่วทิศ เปรอะไปด้วยคราบเขม่าดินปืน ลูบไล้ศรีษะเด็กน้อยทั้ง 2 คนที่นอนหลับอย่างทะนุถนอม

    ชายหนุ่มมองเลือดเนื้อเชื้อไขเขาที่เกิดกับ ตุ๊กตา-นันทวัน แพทย์สมาน อยู่ชั่วครู่ ราวกับให้ประทับอยู่ในความทรงจำตราบชั่วนิรันดร์ ก่อนเดินออกจากห้องพร้อมๆกับ ใหญ่ -สุรางค์ ที่เดินออกไปส่งคนรักนายตำรวจหนุ่มนักบู๊ที่รถหน้าบ้าน
            
    จ่าตั๋น จ่ายะ และ แอ๊ด-วิชเลิศ นักข่าวหนุ่ม ที่ยืนรออยู่ ยกมือไหว้ประมุขหญิงของบ้านหลังนี้์ ก่อนทั้งหมดจะขึ้นรถ โดยมีจ่าตั๋น เป็นคนขับมือหนึ่งเหมือนเช่นเคย จากนั้นรถเบนซ์คันใหญ่สีน้ำเงินของชลอ ค่อยๆเคลื่อนออกจากบ้านปัฐวิกรณ์โดยมีสายตาของใหญ่ -สุรางค์ เมียนายตำรวจมือปราบมองตามไปจนรถพ้นรั้ว  
                    
    ระหว่างทาง บนถนพหลโยธิน  1ใน4 ถนนสายหลักของประเทศ แสงไฟจากรถที่วิ่งสวนมามีตลอดทาง แต่ไม่ถึงกับพลุกพล่านหรือหนาแน่นมาก
                      
    ชลอที่นั่งคุยสารพัดสารเพเรื่องอยู่เบาะหลังคู่กับนักข่าวหนุ่มจากไทยรัฐ  ก็รับรู้ถึงครอบครัวของนักข่าวหนุ่มรุ่นน้อง  
            
    แอ๊ด-วิชเลิศ บอกว่า เขามีลูกเล็ก 2 คน คนโตคือ ตูน -วัสยส ลูกชายวัย 7 ขวบ ส่วนคนเล็กเป็นผู้หญิงอายุ 2 ขวบ ชื่อ ตั๊ก-วยสกร  อยู่ในวัยไร้เดียงสา  แต่ก็ไม่ได้ห่วงอะไรมาก สามารถทุ่มเทให้กับงานข่าวได้เต็มที่ กลับบ้านบ้างไม่กลับบ้าง เพราะมี จุ่น-สุทธิณี แม่ของลูกทั้ง 2 คน คอยดูแลอยู่ที่บ้านในซอยวัดดาวดึงส์ ฝั่งธนบุรี
            
    นายตำรวจหนุ่มรู้สึกถูกชะตาหนุ่มน้อยนักข่าวที่นั่งข้างๆ  ชีวิตครอบครัวตำรวจกับนักข่าว บางห้วงบางตอนมันช่างคล้ายกัน ไม่ได้อยู่กับครอบครัวเท่าไหร่นัก
            
    รถวิ่งไปสักพัก ชลอล้วงไปที่ช่องเก็บของหลังเบาะ หยิบปืนลูกโม่สีดำมะเมื่อมออกมา
                   
    “ เอ้าไอ้แอ๊ด กูให้มึงไว้ใช้……”
                                                          
                   

    RELATED ARTICLES
    - Advertisment -

    Most Popular

    Recent Comments