ตำนานมือปราบพระกาฬ ชลอ เกิดเทศ โดยกิตติพงศ์ นโรปการณ์
คู่สนทนาของชลอ คือ พันตำรวจโทพิจิตร อิ่มสงวน สารวัตรใหญ่สถานีตำรวจภูธรอำเภอจุน จังหวัดพะเยา เพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 15 ที่เพ่ิงช่วยเขาสะสางคดีฆ่าเสี่ยปุ้ย เสี่ยร้อยล้านที่เชียงใหม่ เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา
“กูอยู่นี่ มึงจะให้ไปไหนไอ้ลอ แล้วที่โทรมา มึงจะให้กูช่วยดูคดียิงไอ้นักร้องหนุ่มลูกทุ่งนั่นใช่มั้ย……”
พิจิตร อิ่มสงวน นายตำรวจคนนครปฐม แต่ย้ายถิ่นฐานมาปลูกบ้านตั้งรกรากครอบครัวอยู่ที่เชียงใหม่ และชีวิตราชการย้ายอยู่ใน3-4 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ถือเป็นนายตำรวจที่ถือเป็นผู้กว้างขวางในยุทธจักรภาคเหนืออยู่ไม่น้อย ตอบกลับเพื่อนนักเรียนนายร้อยร่วมรุ่นอย่างรู้ทัน
“เออ….มึงเก่ง”
ชลอออกปากชมแล้วพูดต่อ
“มึงช่วยดูให้กูอีกทางเพื่อน พ่อแม่มันมาร้องที่กองปราบฯ เขาบอกมันหลายเดือนแล้ว ยังไม่มีอะไรคืบหน้าอีกอย่างโรงพักที่มึงอยู่ ก็ไม่ไกลกับที่เกิดเหตุ…….”
“ เออน่า…กูก็ไปดูอยู่ นายๆจี้มาไม่เว้นวัน แต่ก็พอได้เค้าบ้างแล้ว โดยเฉพาะไอ้ปานดำ ที่พยานบอกเป็นมือปืน…….”
สารวัตรใหญ่สถานีตำรวจภูธรอำเภอจุน ตอบกลับ
“เอาตรงๆ ถ้ามือปืนที่มึงว่าเข้าเค้า มันเกี่ยวกับไอ้สังข์ทอง สีใส มึงช่วยบอกกูด้วยแล้วกัน…”
พิจิตรเงียบไปชั่วครู่
“ไอ้นักร้องหน้าผีเนี่ยนะ โอเคกูพอเข้าใจแล้ว เดี๋ยวกูจะดูให้…….”
————————————————————–
แต่ระหว่างสืบสวนเข้าเกลียวหากลุ่มมือปืนที่สังหารคนในวงการลูกทุ่ง ทั้ง 2 โดยใช้ชุดสืบสวนของชลอ และความสามารถพิเศษของ จ๋อง ตาเดียว ผู้กว้างขวางในวงการลูกทุ่งสอดส่องหาข่าวว่าใครที่จะพอมีศักยภาพให้กับนัก ร้องหน้าผี สังข์ทอง สีใส อยู่นั้น
ชลอ พร้อมชุดสืบสวนของพันตำรวจเอกณรงค์วิช ไทยทอง ผู้กำกับการ 2 กองปราบปราม หรือที่เรียกกันผู้กำกับประเทศไทย เพราะมีอำนาจค้ำฟ้าสอบสวนจับกุมได้ทั่วประเทศ ถูกพลตำรวจตรีกุศล นาคศรีชุ่ม ผู้บังคับการกองปราบปราม เจ้าของรหัส ป.1 ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งเต็มตัว เรียกตัวด่วนให้เข้าพบพลตำรวจเอกณรงค์ มหานนท์ อธิบดีกรมตำรวจคนใหม่ ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งต่อจากพลตำรวจเอกสุรพล จุลละพราหมณ์ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ได้ไม่ถึงอาทิตย์พร้อมกัน
นายตำรวจผู้กว้างขวางแห่งกองปราบปราม เชื่อว่าต้องมีเรื่องด่วนเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่อธิบดีกรมตำรวจคนเพชรบุรี ให้เขาไปดำเนินการอย่างเร่งด่วนเป็นแน่
ไม่ผิดกับที่ลูกชายพันโทแช่มอดีตครูฝึกทหารม้าคาดไว้
ในห้องทำงานของพลตำรวจเอกณรงค์ ในขณะที่เขาและนายตำรวจกองปราบปรามคนอื่นเข้าไปรับคำสั่งนั้น นอกจากจะมีพลตำรวจโทสุทัศน์ สุขมวาท รองอธิบดีกรมตำรวจฝ่ายปราบปราม ที่เพิ่งขึ้นจากเก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลอยู่ด้วยแล้ว ยังมีนายตำรวจอีกหลายคนที่นั่งอยู่
1 ในนั้นมีพันตำรวจเอกโสภณ สะวิคามิน ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม ที่ได้ชื่อว่าเป็นมือปราบเลือดเดือด 1 ใน 4 ตำรวจมือปราบที่พลตำรวจเอกณรงค์เรียกใช้นั่งอยู่ด้วย
แต่ละคนในห้อง นั่งคุยสนทนาทักทายแลกเปลี่ยนกัน โดยหัวข้อที่คุยนั้น พลตำรวจโทสุทัศน์เป็นคนเริ่มก่อนว่า อธิบดีณรงค์เรียกมาให้เร่งรัดคดีฆ่าคนดังคนหนึ่งในจังหวัดนครปฐม เพราะญาติผู้ตายทำหนังสือร้องเรียน ขอให้ส่งตำรวจกองปราบฯเข้าร่วมสืบสวนสอบสวนด้วยอีกทางหนึ่ง
รองอธิบดีกรมตำรวจบรีฟภารกิจคร่าวๆก่อนที่เจ้าของห้องผู้นำสีกากีเดินออกมาจากห้องทำงานด้านใน โดยเจ้าของรหัสพิทักษ์1 แจ้งบนโต๊ะประชุมย่อยๆในห้องถึงจุดประสงค์ที่เรียกมารับทราบภารกิจในครั้งนี้ พร้อมกับให้ตำรวจในสำนักงานนำเอกสารข้อมูลเบื้องต้นคดีนี้มาแจกให้ทุกคนด้วย
ข้อมูลในเอกสารที่แต่ละคนได้รับ เป็นรายละเอียดเบื้องต้นคดีฆ่านายแพทย์ นิยม นาคสู่สุข หรือ หมอเปี๊ยก หมอที่ชาวบ้านในอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม รักใคร่ จนได้รับการขนานนามว่า หมอพ่อพระ อีกทั้งยังเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง เพราะเคยเป็น ส.ส.สอบตกพรรคกิจสังคม อีกด้วย
หมอชาวบ้านคนนี้ ถูกคนร้ายใช้ปืนเอ็ม16 และปืนคาร์บิน ซึ่งเป็นปืนที่ใช้ในราชการสงคราม ดักยิงร่างพรุนเสียชีวิตอยู่ในรถยนต์ส่วนตัว ยี่ห้อ เปอโยต์ 604 ขณะเลี้ยวรถเข้าบ้านพักเลขที่ 236 หมู่ 8 ถนนพลดำริ ตำบลบางเลน
“ครอบครัวผู้ตาย เขาร้องเรียน คดีนี้ไม่คืบหน้า ทั้งๆที่เหตุเกิดตั้งแต่วันที่ 21 กรกฏาคม ที่ผ่านมา….”
พิทักษ์ 1เริ่มเสียงดุ หลังนั่งหัวโต๊ะ
“เขาระบุมาด้วย สาเหตุน่าจะมาจากเรื่องไหน แล้วเรื่องนี้ผมสั่งการไปแล้วตั้งแต่ยังเป็นรองอธิบดี….”
พลตำรวจเอกณรงค์กล่าวเสียงเข้ม ขณะที่ตำรวจทั้งห้องนั่งเงียบโดยเฉพาะตำรวจพื้นที่จังหวัดนครปฐม
“คนร้ายใช้ปืนสงคราม ยิงหมอที่คนรู้จักกันทั้งเมือง มันยิงไม่ให้เกียรติตำรวจเลยสักนิด ที่เกิดเหตุห่างโรงพักบางแลนแค่ 100 เมตร หรือคนร้ายมันจะเป็นตำรวจซะเองตามที่ผู้เสียหายเขาสงสัย
เขาระบุมาด้วยว่าเป็นตำรวจชั้นประทวนอยู่ในนครปฐมนั่นแหละ เอาอย่างนี้ เดี๋ยวผมจะให้กองปราบฯเขาลงไปช่วยทำงานอีกแรง….”
อธิบดีกรมตำรวจกวาดตาไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาในห้องอย่างช้าๆ ก่อนสั่งการต่อ
“เดี๋ยวผู้การกุศล รับเรื่องนี้ไปดำเนินการ ให้ชลอจัดชุดสืบสวนลงไปช่วยโสภณอีกทาง ถึงคนร้ายจะเป็นตำรวจ ก็ต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด แล้วผมเชื่อ ทั้งที่ไม่อยากเชื่อ มีตำรวจเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่…..”
พลตำรวจเอกณรงค์ นายตำรวจมือปราบที่ผ่านคดีมาอย่างโชกโชนก่อนก้าวขึ้นมานั่งถึงเก้าอี้สูงสุด จุดนี้สรุปฟันธง
——————————————-
หลังออกจากห้องทำงานผู้นำสีกากี ระหว่างเดินไปที่ลานจอดรถหน้าอนุสาวรีย์ผู้พิทักษ์ นายตำรวจมือปราบมือทำงานอธิบดีกรมตำรวจคนเพชร เดินไปคุยไป เพื่อวางแผนหารือคลี่คลายคดี
“จริงๆผมก็พอรู้แล้วว่าเป็นฝีมือใคร แต่ทีนี้การสอบสวนมันยังไม่ถึง ก็ยังไม่เรียกตัวมันมา กลัวคนบงการมันจะไหวตัวด้วย…..”
โสภณ ออกตัวกับรองผู้การกองปราบฯที่อายุอานามและฝีไม้ลายมือไล่เลี่ยกันด้วยคำพูด สุภาพ นิ่มๆเนิบๆ แต่ชลอก็พอรู้สไตล์นายตำรวจคนนี้อยู่ เห็นนิ่มๆเนิบๆก็เอาโจรร้ายแถวนครปฐมราชบุรีและใกล้เคียงอยู่หมัด
และเขาก็ไม่ลืมคำเตือนที่สล้าง บุนนาค นายตำรวจกองปราบฯรุ่นพี่ ออกปากให้ระวังนายตำรวจจากนครปฐมคนนี้ เป็นพวกน้ำนิ่งไหลลึก แต่ชลอกลับคิดว่า โสภณไม่น่ากล้าที่จะคิดขบเหลี่ยมเขา
“เอาอย่างงี้ มึงให้ตำรวจคนไหนที่ไอ้ศักดิ์มันไว้ใจ พามาเจอกูหน่อย เดี๋ยวกูซักมันเอง……”
นายตำรวจคู่แค้นมาเฟียปาทาน วางแผนอย่างรวดเร็วตามสไตล์
ส่วนไอ้ศักดิ์ ที่นายพันตำรวจเอกทั้งคู่พูด คือ จ่าสิบตำรวจสมศักดิ์ พึ่งฉิ่ง ตำรวจประจำสถานีตำรวจภูธรอำเภอนครไชยศรี จังหวัดนครปฐม ผู้ต้องสงสัยที่ตำรวจนครปฐมเงื้อง่ามานาน จนครอบครัวหมอเปี๊ยกต้องร้องเรียนจนมาถึงอธิบดีกรมตำรวจ
“ได้ๆ เดี๋ยวผมให้ลูกน้องผมไปเอาตัวมา…….”
ผู้กำกับหัวหน้าตำรวจนครปฐมรับลูก
“นัดมันมาที่โรงพักน่ะแหละ บอกว่ามีงานสำคัญจะให้ทำ เอาเย็นนี้เลย มึงไปด้วยกันพร้อมกู นครไชยศรีใกล้ๆ มึงวิทยุบอกลูกน้องให้ไปเอาตัวมาเลย จะได้เสร็จเรื่องไวๆ กูว่าถ้าเป็นมันจริงๆ คดีนี้ไม่ยากหรอก….”
รองผู้การกองปราบรวบรัด พร้อมหันไปเรียกรองแป๋ง พันตำรวจโทอัมรินทร์ เนียมสกุล รองผู้กำกับการ 2 กองปราบปราม ผู้กองเบี้ยว ร้อยตำรวจเอกพิภพ เบี้ยวไข่มุก รองสารวัตร ฝ่ายสอบสวนประจำทีม รวมทั้ง จ่าตั๋น จ่ายะ ที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลให้มาหา
“แป๋ง….ไปนครไชยศรี หาอะไรอร่อยกินกัน แต่ไปเจอที่โรงพักก่อน……”
“ครับพี่ เดี๋ยวผมขับตามพี่ไปกับไอ้เบี้ยวครับ……”
รองผู้กำกับการหนุ่มกองปราบปราม นักเรียนนายร้อยตำรวจสามพรานรุ่น 21 ดีกรีเอฟบีไอกล่าวตอบ แต่ในใจรู้เต็มอกว่า ผู้บังคับบัญชาหนุ่มไม่ได้ชวนไปกินอะไรที่นครไชยศรีอย่างเดียวแน่
เป็นอย่างที่นายตำรวจหนุ่มคิด เมื่ออีก 1 ช่วโมงต่อมา ขบวนรถของตำรวจทั้งนครปฐม และกองปราบปราม เลี้ยวเข้าไปที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอนครไชยศรี
ชลอที่เปลี่ยนเครื่องแบบสีกากีมาเป็นใส่เสื้อซาฟารีสีเข้ม สวมหมวกฮันติ้งแคป อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เดินก้าวฉับๆขึ้นไปบนโรงพักตรงไปที่ห้องทำงานของสารวัตรใหญ่ โดยมีพันตำรวจเอกโสภณ สะวิคามิน และตำรวจของทั้ง 2 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก้าวตามหลังมาติดๆ
เมื่อทั้งหมดเข้าไปในห้อง ชลอ สั่งให้ตำรวจคนอื่นออกไปรอรับคำสั่งอยู่ข้างนอก ให้เหลือแต่เขา โสภณ อัมรินทร์ และพิภพ เท่านั้น
“ตอนกำลังเลี้ยวเข้ามาที่โรงพัก ผมให้ลูกน้องไปคุมตัวไอ้ศักดิ์มาพบที่ห้องแล้วครับ….”
ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐมบอกกับชลอ ที่พยักหน้ารับรู้ นั่งอัดบุหรี่พ่นควันแค่นๆฆ่าเวลาอยู่ที่เก้าอี้โต๊ะทำงานสารวัตรใหญ่โรงพักนครไชยศรี
ไม่เกิน 10 นาที เสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนมีตำรวจในเครื่องแบบ 2 นายเดินเข้ามา 1 ใน 2 ที่มียศสูงสุดทำความเคารพรายงานตัวกับพันตำรวจเอกโสภณที่อยู่ในห้องก่อน
“ผม..พันตำรวจตรีเลอศักดิ์ หอมหวล ปฏิบัติหน้าที่สารวัตรป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจภูธรนครไชยศรี ครับ…..”
ต่อจากนั้น ชายฉกรรจ์ในเครื่องแบบตำรวจชั้นประทวนกล่าวรายงานตัวบ้าง
“กระผม จ่าสิบตำรวจสมศักดิ์ พึ่งฉิ่ง ปฏิบัติหน้าที่ผู้บังคับหมู่งานป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจภูธรนครไชยศรี ครับ….”
สิ้นเสียงรายงานตัว ชลอที่นั่งเก้าอี้หันหลังให้กับนายตำรวจทั้งคู่ ขยับตัวหมุนเก้าอี้หันมามองหน้าเจ้าของช่ือจ่าสิบตำรวจสมศักดิ์ ที่รูปร่างสูงโปร่งผอมเกร็ง ขณะที่พันตำรวจเอกโสภณสั่งให้พันตำรวจตรีเลอศักดิ์ออกไปจากห้อง และสั่งห้ามไม่ให้ใครก็ตามที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้ามาในห้องอย่างเด็ดขาด แม้กระทั่งสารวัตรใหญ่เจ้าของห้อง
ขณะที่จ่าสิบตำรวจสมศักดิ์ ยังยืนตัวตรงหน้าตางงเป็นไก่ตาแตก เพราะไม่รู้ผู้บังคับบัญชา และใครอีกไม่รู้ที่อยู่ในห้อง เรียกเขาเข้ามาทำไม
ท่ามกลางสายตาของกลุ่มตำรวจนอกเครื่องแบบทั้งหมดที่อยู่ในห้องโดยเฉพาะ คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สารวัตรใหญ่โรงพักแห่งนี้ที่จ้องหน้าเขาเขม็งเหมือนจับผิด
“มึงใช่ไหม ชื่อไอ้ศักดิ์…..”
ชลอซักประโยคแรก ขณะที่คู่สนทนายืนตัวเกร็งตอบรับ
“นี่รองผู้การกองปราบปราม พันตำรวจเอกชลอ เกิดเทศ ท่านมีอะไรจะถามเราน่ะ…..”
หัวหน้าตำรวจเมืองพระปฐมเจดีย์พูดแนะนำตัวเนิบๆตามสไตล์ แต่ทำให้จ่าสิบตำรวจสมศักดิ์ที่หน้าซีดอยู่แล้วต้องซีดเผือกหนักเข้าไปอีก