จากข่าวสลดสะเทือนใจ น้องนุ่นหรือชลลดา วัย 27ปี ถูกสามีทอยหรือ ศิริชัย อายุ 33 ปี ทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรงจนเสียชีวิตคาบ้านย่านเมืองทองธานี แล้วนำศพยัดกระเป๋าเดินทางไปเผาอำพรางคดีในป่าสวนยาง ต.หนองโพรง อ.ศรีมหาโพธิจ.ปราจีนบุรี ก่อนทำทีไปแจ้งตำรวจสภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรีว่าเมียหายไปอย่างไร้ร่องรอย ของตี3 วันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมา
แต่ผู้สื่อข่าวช่องอมรินทร์ทีวี “เนม-ภาณุพงศ์ สุรภาพ”พร้อมทีมข่าว เกาะติดกัดไม่ปล่อย ตามจีพีเอสจุดสุดท้ายของน้องนุ่นที่ลงจากรถของนายทอย มาจนถึงป่ายางจุดที่พบร่างของน้องนุ่นในสภาพถูกเผาเกรียม มีหลักฐานที่พอระบุตัวได้เบื้องต้นคือเลสข้อมือ
ด้วยสัญชาตญาณของสื่อที่เต็มเปี่ยม และตั้งข้อสงสัยตลอดทุกเงื่อนปม หญิงสาวคนหนึ่งที่เพิ่งกลับจากเลี้ยงฉลองวันเกิดของสามีตัวเอง คืนวันที่ 17 ก.พ. จู่ๆ หายตัวไปเฉยๆ ช่างไร้เหตุผลเหลือเกิน
“เนม ภาณุพงศ์”ได้หาข้อมูลเบาะแส พิรุธต่างๆ จนได้ข้อมูลจีพีเอสพิกัดสุดท้ายของสัญญาณโทรศัพท์มือถือ อยู่ใกล้ป่าสวนยางในพื่้นที่ อ.ศรีมหาโพธิ ปราจีนบุรี จึงเดินทางไปยังจุดนั้นพร้อมทีมงาน ถึงเวลาประมาณ 6 โมงเย็น วันเดียวกัน
จุดพิกัดสุดท้ายของโทรมือถือของน้องนุ่น อยู่ที่หน้าสวนยางพารา
เนม ภาณุพงศ์ กับทีม เดินสำรวจตรวจตราไม่พบอะไร ตอนแรกคิดว่าไม่น่าจะเจอหลักฐานเชื่อมโยงคดีคนหายรายนี้ เพราะเป็นป่ายางแน่นหนาเหมือนสวนทั่วไปในละแวกนั้น ไร้บ้านเรือนชาวบ้านที่จะมีใครรู้ใครเห็นพอชี้เบาะแสบ้าง
จะล้มเลิกถอนตัวออกจากจุดนั้นเพื่อกลับ แต่บังเอิญทางที่่รถเข้าไปเป็นทางแคบ ต้องขับต่อไปอีกราว 200-300 เมตร เพื่อกลับรถในพื้นกว้างด้านใน ผู้ช่วยช่างภาพบอกว่าเห็นซากกองเถ้าถ่านที่เพิ่งเผาไหม้มอดไม่นาน จึงเดินย้อนกลับไปดูให้แน่ใจว่าเป็นร่องรอยเผาอะไร
สิ่งที่สะดุดตาแวบแรกในซากไหม้เกรียมบนพื้นป่่ายาง คือสร้อยข้อมือสีทอง ตอนแรกก็คิดว่าเป็นโซ่คล้องกระเป๋าสะพายสตรี ตอนนั้นฟ้าเริ่มใกล้มืด ส่องไฟฉายระเรื่อยในกองเถ้าถ่าน พบกะโหลกศีรษะและฟัน กระดูกชิ้นส่วนต่างๆคิดว่า ใช่น้องนุ่นหรือเปล่า
จึงติดต่อกับโต๊ะบก.ข่าวอมรินทร์ให้ตรวจสอบภาพสุดท้ายของน้องนุ่นที่สวมเลสข้อมือที่ปรากฏในโซเชียลกับสร้อยข้อมือที่พบในกองเถ้าถ่าน
พบว่าลวดลายคล้ายกันมาก จึงแจ้งตำรวจท้องที่มาตรวจที่เกิดเหตุจนนำไปสู่การคลี่คลายคดีฆ่าเผาอำพรางน้องนุ่นได้อย่างรวดเร็วในที่สุด
ว่าด้วยกระบวนการสืบสวนสอบสวนจนปิดแฟ้มคดีสะเทือนใจนี้ได้ ต้องยกย่องในความอุตสาหะ และไหวพริบของสื่ออมรินทร์ทีวี โดยเฉพาะทีมข่าวของ “เนม ภาณุพงศ์” ที่สั่งสมประสบการณ์ข่าวอาชญากรรมมาอย่างคร่ำหวอด ตีแตกข้อพิรุธของคดีจนทำให้งานของตำรวจง่ายขึ้นอย่างมาก
หากไม่ใช่เพราะสื่อที่มีวิญญาณนักข่าวภาคสนามอย่างนี้ คดีนี้ก็อาจจะยืดเยื้อยาวนานไปอีกหลายปีก็เป็นได้เช่นกัน
นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นผลงานจะนำไปบันทึกเป็นเกียรติประวัติของตำรวจได้บ้าง
แต่จะดีกว่านี้ไหม ถ้าเรื่องราวเศร้าสลด สะเทือนใจ ผัวทุบหัวเมียตายยัดศพใส่กระเป๋าเอาไปเผาอำพรางกลางป่า ต่อหน้าต่อตาลูกสาววัยขวบ7 เดือน ที่ต้องกำพร้าแม่ และพ่อติดตะราง จะไม่เกิดขึ้น
คดีนี้เป็นตัวอย่างที่ตำรวจ ต้นธารกระบวนการยุติธรรมต้องหาคำตอบและแก้ปัญหาด้วย
ทุกครั้งที่มีเรื่องผัวเมียทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกายขึ้นโรงพักอย่าทึกทักว่าเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ ก็แค่ผัวเมียคนใกล้ชิด พูดคุยไกล่เกลี่ย เดี๋ยวเรื่องจบก็จูบหอมหวานชื่นกันต่อไป
บางทีคนเป็นผัวเมียกัน สักวันอาจกลับกลายเป็น “คนแปลกหน้า”หรือศัตรูคู่อาฆาตที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้อีกต่อไป
เพราะฉะนั้นตำรวจที่รับเรื่องเบื้องต้นอย่าคิดว่่าเรื่องเล็กๆมันจะ “เล็ก”จริงๆ
ใส่ใจติดตามชี้แนะผู้ที่สามารถจะเยียวยาปัญหาผัวเมียได้บ้าง ก็จะนับเป็นผลงานที่ทรงคุณค่าและมีเกียรติไม่น้อยกว่าพิชิตคดีดังๆก็ได้
ดอนรัญจวน 21/2/2567