“ฟุตบอลไทย” จะยกระดับขึ้นไปเทียบเท่า เอเชีย หรือ ระดับโลก คงต้องใช้เวลาอีกหลายปี จนกว่า “ฟุตบอลลีก” ในบ้านเราจะมีความแข็งแกร่งและเป็นมืออาชีพเต็มตัว
ณ วันนี้ ต้องยอมรับ “ฟุตบอลไทย” ยังไปไม่ถึงไหน ยังวนเวียนอยู่ในอ่าง เพราะฟุตบอลทีมชาติไทย แค่ระดับ “อาเซียน” บ้านใกล้เรือนเคียง ( 11 ชาติ) ก็ยังเลือดตาแทบกระเด็นกว่าจะเอาชนะได้
อย่างที่บอก “ฟุตบอลไทย” ต้องมีการพัฒนาอย่างมืออาชีพ ทุกส่วนของ”ฟุตบอล”ต้องมีการขับเคลื่อนไปพร้อมๆ กัน ไม่ใช่ฉุดกันไป ฉุดกันมา ซึ่งไม่ได้ส่งผลแค่ฟุตบอลภายในประเทศเท่านั้น ยังส่งผลถึงระดับทีมชาติไทย อีกด้วย
ถามว่าจะทำอย่างไร เพื่อให้การพัฒนาฟุตบอลไทย ยกระดับให้สูงขึ้น ปัจจัยสำคัญก็คงเป็นการวางรากฐานฟุตบอลอย่างเป็นระบบ มีมาตรฐาน ซึ่งต้องเริ่มจากระดับเยาวน จนไปถึงฟุตบอลลีก ชั้นนำของประเทศ
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งของการพัฒนาฟุตบอล ก็คือเรื่องของ “ผู้ตัดสิน” ที่จะต้องมีการพัฒนาความสามารถด้วยเช่นกัน เพราะ “ผู้ตัดสิน” ทำหน้าที่คล้าย “ศาล” ต้องให้ความเป็นธรรม ไม่ว่าทีมนั้นจะเป็นทีมเล็กหรือทีมใหญ่ เพราะ “ผู้ตัดสิน” สามารถกำหนดผล แพ้ – ชนะ กันได้เลย
แต่เปล่าเลย ทุกอย่างเป็นไปตรงกันข้าม วันนี้ “ผู้ตัดสิน” มีเรื่องฉาวโฉ่มากที่สุด และถือเป็นความอัปยศ ของวงการฟุตบอลไทยเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากจะมีเรื่องของการ “รับงาน” เพื่อรับผลประโยชน์แล้ว
ยังมีสตรีหนึ่งที่ทำตัวเป็นเจ้าแม่ในวงการ… ใครๆก็รู้จักเพราะทำตัวเป็นผู้ยิ่งใหญ่เหลือเกิน คนเขารู้กันทั่ว สามารถสั่งการ และกำหนดตัวผู้ตัดสิน ไปทำหน้าที่ในแต่ละสนาม ได้อีกด้วย เวลาผู้ตัดสินทำหน้าที่ผิดพลาด ไม่เคยโผล่หน้าออกมารับว่าตัวเองเป็นคนจัดผู้ตัดสินไปทำหน้าที่
กรณีล่าสุดฟุตบอลไทยลีกคู่หนึ่ง เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผู้ตัดสินให้ใบแดงไล่นักเตะฝ่ายหนึ่งออก กลายเป็นเป็นเรื่องราววุ่นวาย จนผู้ช่วยผู้ตัดสินและผู้ตัดสินที่4รวมทั้งผู้ประเมินและผู้ควบคุมการแข่งขัน ต้องลงมาช่วยกันแก้ปัญหา เป็นที่เข้าใจกันในการทำหน้าที่ผิดพลาดของผู้ตัดสิน เลยกลับคำใบแดง นักเตะเลยลงมาเล่นต่อได้….”ผู้ตัดสินคนนี้ทำหน้าที่ผิดพลาดมาตลอด จนมีทีมในลีกร้องเรียนไปมากมาย
อยากถาม”เจ้าแม่เชิ้ตดำ”ความมีมาตรฐานอยู่ตรงไหน?และอย่าเอ่ยว่ามีผู้ตัดสินไม่เพียงพอ นี่คือข้ออ้าง ทั้งที่แต่ก่อนก็ทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินเหมือนกัน แต่ฝีมือ ธรรมดาๆ มาก แต่ก็ได้รับแรงสนับสนุนจากผู้ตัดสิน รุ่นพี่ และ ครู-อาจารย์ ที่คอยสั่งสอน จนได้ดิบได้ดีถึงเป็นผู้ตัดสินระดับ “ฟีฟ่า”
วันนี้เป็นไง คนนี้ กลับเหยียบหัวบุคคลเหล่านั้น ขนาดบรรดาอดีตผู้ตัดสินฟีฟ่าที่เคยเป็นอาจารย์ระดับผช.ผศ.ยังต้องจำยอมเลย ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว ตัวเองจะไม่ค่อยได้ทำหน้าที่ ที่สำคัญมากไปกว่านั้น ก็คือ ใครเป็นเด็กในคาถา ตัวเอง ไม่ว่าทำหน้าที่ดีหรือไม่ดี หรือ ชั้นไหน (ผู้ตัดสินแบ่งเป็นหลายชั้น ตั้งแต่ระดับฟีฟ่า,ชั้น 1,ชั้น 2,ชั้น 3,ชั้น 4 ซึ่งจะทำหน้าที่ลดหลั่นฟุตบอลลีกกันไป )
ผู้ตัดสินบางคน ทำหน้าที่ ปีที่แล้วอยู่ในลีกภูมิภาค แต่ด้วยเป็นผู้ตัดสินในคาถา ปีนี้กระโดดขึ้นมาทำหน้าที่ในเกมลีกสูงสุดของประเทศ ซึ่งไม่มีผู้ตัดสินยุคไหนเขาทำกัน ส่วนผู้ตัดสินคนอื่นๆ หากกลัวไม่ได้ทำหน้าที่ ก็ต้องสงบปาก สงบคำ แม้แต่ “เสียงไอ” ก็ยังทำไม่ได้ เพราะจะถูกแบนทันที
เรื่องนี้ได้สร้างความแตกแยกให้กับวงการผู้ตัดสินไทย อย่างหนัก อีกทั้งลุกลามไปถึง คณะกรรมการฝ่ายจัดผู้ประเมินผู้ตัดสิน ก็ยังไปทะเลาะกับเขา ทั้งที่ไม่มีหน้าที่อะไร หากปล่อยไว้เช่นนี้ สักวันก็คงหักขาเก้าอี้ “เลขาสมาคมฟุตบอล” ไม่เชื่อก็คอยดู
เห็นแล้วรู้สึกอนาถใจจริงๆ ที่มีคนอย่างนี้อยู่ในวงการฟุตบอลไทย ที่สำคัญไปกว่านั้น ชอบอ้างเป็นคำสั่ง “ผู้ใหญ่ที่สุดในสมาคม” ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจริงหรือไม่จริง..
เรื่องนี้ “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกลูกหนังไทย ทราบเรื่องหรือไม่ การมอบหน้าที่สำคัญให้กับคนใด คนหนึ่ง หากเอาไปใช้ในทางที่ดีก็เกิดประโยชน์ ส่งผลดีต่อวงการฟุตบอลไทย แต่หากนำไปในในทางที่ผิด วงการฟุตบอลไทย ไม่ฉิบ..เหรอ
“วงการผู้ตัดสิน” มีเรื่องของผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องมหาศาลเช่นกัน ดังนั้น “นายกลูกหนังไทย” อย่าหูหนวก ตาบอด เพราะไม่อย่างนั้น คนในวงการฟุตบอลไทย เขาจะเอือมระอา สมควรที่จะสังคายนาอย่างเร่งด่วนครับ
ยันแข้ง