กองปราบขยายผลบุกรวบขบวนการสวมบัตรเถื่อน ฟอกตัวเป็นไทย EP.2 จับเจ้าหน้าที่เทศบาล 6 ราย นายหน้า 4 ราย
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 12 ก.ย.68 ที่ ห้องแถลงข่าวชั้น 2 กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.)
พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ป. พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.เนติวิทย์ ธนาสิทธิ์นิติกุล ผกก.2 บก.ป. พ.ต.ท.พงศกร ตันอารีย์ รอง ผกก.2 บก.ป., พ.ต.ต.อดิศร อินทิยศ สว.กก.2 บก.ป. และนายแสน สุรวิญญูวร ผอ.สปท.
ร่วมแถลงผลปฏิบัติการ “ทลายขบวนการสวมบัตรเถื่อน ฟอกตัวเป็นไทย EP.2”
จากการปฏิบัติการครั้งนี้ จับผู้ต้องหาขบวนการดังกล่าวได้ 10 ราย แบ่งเป็น กลุ่มนายหน้า 4 ราย คือ นายสุรินทร์ อายุ 56 ปี ถูกจับกุมที่กุฏิวัดวิมุตยาราม เขตบางพลัด กทม. , น.ส.นิภาพร อายุ 33 ปี , นายพนธกร อายุ 34 ปี ถูกจับที่จุดตรวจแม่ท้อ จ.ตาก และนายวิทยา อายุ 37 ปี ถูกจับในสวนลำไย จ.ลำพูน
ทั้งหมดเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ข้อหา “ร่วมกันสนับสนุนเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ, ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม, ร่วมกันให้ยื่นคำขอมีบัตรโดยมิได้มีสัญชาติไทย ด้วยการแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่, ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน,
ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการฯ, ร่วมกัน ทำ ใช้ หรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จ หรือกระทำการใด ๆ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นมีชื่อหรือรายการในทะเบียนบ้านหรือเอกสารทะเบียนราษฎรอื่นโดยมิชอบฯ
ส่วนที่เหลืออีก 6 รายเป็นกลุ่มเจ้าหน้าที่เทศบาลในจ.ปทุมธานี ประกอบด้วย น.ส.ชนิดาภา อายุ 50 ปี , น.ส.พีรญา อายุ 43 ปี , นายธนัช อายุ 48 ปี , นายธนวัธร์ อายุ 37 ปี , น.ส.กรลภัทร อายุ 32 ปี และน.ส.ชลธิชา อายุ 34 ปี
ทั้ง 6 คนนี้ถูกจับกุมได้ในพื้นที่ จ.ปทุมธานี และที่ กองปราบปราม ตามหมายจับ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ข้อหา “ เป็นเจ้าพนักงานเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นฯ ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม, เป็นเจ้าพนักงานออกบัตร พนักงานเจ้าหน้าที่ร่วมกันสนับสนุน บุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทยยื่นคำขอมีบัตร ด้วยการแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่,
เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด, ร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติน้าที่โดยทุจริต,เป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหน้าที่ หรือร่วมกันใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ,ร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตฯ
พล.ต.ต.วิทยา กล่าวว่า คดีนี้สืบเนื่องจากการรับแจ้งจากพลเมืองดีเมื่อเดือน เม.ย. 2568 พบการโพสต์โฆษณารับทำบัตรประชาชนไทย ผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลของจีน ชื่อ “เสี่ยวหงซู (XHS)” เจ้าหน้าที่จึงสืบสวนเรื่อยมา
พบว่าเป็นขบวนการสวมบัตร มีการแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มนายหน้า ทำหน้าที่ติดต่อ รับเงิน และพาผู้ต้องหาไปสวมบัตร และ กลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐ ทำหน้าที่ย้ายทะเบียนบ้านและออกเอกสารราชการอันเป็นเท็จ
ทั้งนี้ก่อนที่จะจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 10 รายนี้ กก.2.บก.ป.เปิดปฏิบัติการเมื่อวันที่ 23 ก.ค. 2568 จับกุมผู้เกี่ยวข้องล็อตแรกได้แล้ว 9 ราย ยึดหลักฐานเอกสารจำนวนมาก ก่อนจะสืบสวนขยายผลรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลอาญาคดีทุจริตฯ ภาค 1 ออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติมอีก 10 รายครั้งนี้
พล.ต.ต.วิทยา ระบุว่า สำหรับราคาที่จ่ายค่าทำบัตร เบื้องต้นพบค่าดำเนินการจะอยู่ที่ 3-9 แสนบาทต่อราย แล้วแต่ความยากง่าย ต้องนำใบหน้าคนที่สวมบัตรมาดูก่อนว่ามีความคล้ายคนไทยหรือคนที่ถูกสวมบัตรมากแค่ไหน ส่วนใหญ่มักใช้วิธีสวมบัตรบุคคลที่เสียชีวิตแต่ยังไม่มีการแจ้งตาย ส่วนการดำเนินคดีชาวต่างด้าวที่สวมบัตร เมื่อถูกดำเนินคดีในประเทศไทยเสร็จสิ้นแล้ว จะผลักดันส่งตัวกลับประเทศต้นทางทันที
ด้าน นายแสน สุรวิญญูวร ผอ.สปท. กล่าวว่า สำหรับเจ้าหน้าที่เทศบาลที่ถูกจับครั้งนี้ พบว่าเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานของเทศบาล ไม่ใช่ระดับผู้บริหาร ส่วนเงินหมุนเวียนในขบวนการนี้ จากข้อมูลเบื้องต้นอยู่ในระดับหลักแสนถึงหลักล้าน แต่คาดว่าอาจจะสูงถึงเกือบสิบล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบเส้นทางการเงินเพิ่มเติม
พล.ต.ต.วิทยา กล่าวย้ำว่า คดีนี้ถือเป็นการทุจริตร้ายแรง เจ้าหน้าที่รัฐที่รับผลประโยชน์จะมีโทษหนัก ตั้งแต่จำคุก 5–20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต รวมถึงข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ที่มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1–10 ปี
พร้อมเตือนเจ้าหน้าที่และประชาชนอย่าหลงเชื่อหรือเข้าร่วมกระทำผิด เพราะการสวมบัตรประชาชนปลอมไม่เพียงผิดกฎหมาย แต่ยังสร้างความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศอย่างร้ายแรงหลังจับกุมเจ้าหน้าที่นำตัวทั้งหมดส่งกก.2.บก.ป. ดำเนินคดีพร้อมขยายผลหาผู้ทีมีส่วนเกี่ยวข้องต่อไป