ไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ ที่นายยาสึอากิ คาวาชิตะ ชาวญี่ปุ่นเดินทางมาประเทศไทย เพื่อวางดอกไม้ตรงจุดที่พบศพลูกสาว น.ส.โทโมโกะ คาวาชิตะ ถูกคนร้ายฆ่าปาดคอเสียชีวิต ขณะมาเที่ยวที่บริเวณวัดสะพานหิน เขตอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย เมื่อวันที่ 25 พ.ย.50 หรือเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว
ล่าสุด พ่อของนักท่องเที่ยวสาวโชคร้าย เดินทางเข้าประเทศไทยหลังครบรอบ 10 ปีแห่งความสูญเสีย โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจและดีเอสไอ ยังไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้ แม้จะทำทุกอย่างเต็มความสามารถ โดยเฉพาะดีเอสไอ รับเป็นคดีพิเศษ เมื่อวันที่ 31 ก.ค.56 โดยรับสำนวนการสอบสวนจากสภ.เมืองเก่า จ.สุโขทัย แล้วสืบสวนสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน เก็บสารพันธุกรรมเพิ่มเติม ส่งให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ตรวจพิสูจน์และเปรียบเทียบกับสารพันธุกรรมที่พบบริเวณขอบกางเกง น.ส.โทโมโกะ กับกลุ่มบุคคลที่เชื่อว่าอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุประมาณ 300 ราย
แต่ไม่ปรากฏว่าใครมีสารพันธุกรรมตรงกับสารตัวอย่างที่ตรวจพบ แม้จะมีการประกาศให้รางวัล โดยดีเอสไอให้เงินรางวัล 500,000 บาท ตำรวจ บก.ภ.จว.สุโขทัย ให้ 500,000 บาท และครอบครัวผู้เสียชีวิต ให้ 100,000 บาท รวม 1,100,000 บาท แก่ผู้แจ้งเบาะแสที่จะนำไปสู่การจับกุมตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ ที่ผ่านมามีประชาชนแจ้งข้อมูลคนร้ายอย่างต่อเนื่องและเดินทางลงพื้นที่ไปตรวจสอบตามที่ได้รับแจ้ง แต่ไม่สามารถค้นพบตัวผู้กระทำผิดเจอ
แต่ละครั้งที่พ่อชาวญี่ปุ่นที่สูญเสียลูกสาวจากเหตุการณ์ครั้งนั้นเดินทางมาเมืองไทย ก็จะเข้าพบดีเอสไอ เจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อขอทราบความคืบหน้าในการสืบสวนหาตัวฆาตกรรายนี้ ขณะที่นายยาสึอากิบอกว่า ถึงแม้ลูกสาวเสียชีวิตมา 10 ปีแล้ว แต่ยังหวังว่าทางการไทยจะสามารถจับกุมคนร้ายได้ และอยากให้เจ้าหน้าที่ช่วยติดตามคดีอย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งข้อมูลให้ครอบครัวเขาได้ทราบบ้าง
เป็นคำขอร้องที่สุภาพมากจากพ่อผู้สูญเสีย และไม่น่าเชื่อว่า คดีฆาตกรรมนักท่องเที่ยวสาวชาวญี่ปุ่น ทั้งตำรวจและดีเอสไอ ไม่สามารถปิดคดีนี้ได้ ไม่น่าเชื่อจริงๆ
กากีกลาย 2/1/60