หมดยุคร้อยตำรวจเอกปลอมตัวมา คอลัมน์ อาชญา (ลง) กลอน โดย…ธนก บังผล
ประเทศไทยในอดีตนั้นมีซุ้มเสือ ชุมโจร ออกตระเวนปล้นฆ่าอยู่มากมาย ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ อาทิ เสือฝ้าย เสือใบ เสือดำ เสือผาด ก่อนจะมาถึงยุคมหาโจรอย่าง “ตี๋ใหญ่” แม้จะเก่งกล้าสามารถมีอาคม แต่ตำรวจมือปราบสมัยก่อนนั้นฉกาจฉกรรจ์กว่าหลายเท่านัก ไต่เต้ากันมาตั้งแต่เข้าทำงานใหม่ๆ จนสถาปนาตัวเองเป็นผู้ปราบปรามเหล่าเสือร้ายตามแต่คดี ที่รู้จักโด่งดังที่สุดหนีไม่พ้น “ขุนพันธรักษ์ราชเดช” หรือขุนพันธ์
การทำงานเป็นตำรวจในอดีตนั้นทุ่มกันทั้งกายและใจ ถอดเครื่องแบบแฝงตัวเข้าไปจนโจรหลงตายใจ สืบข่าวคราวความเคลื่อนไหวกันเป็นปีๆ จนกระทั่งสบโอกาสก็เข้าจับหรือปะทะ ยกตัวอย่างเสือผาด ให้ได้อ่านกันสนุกๆ ครับ หลังจากที่ผมได้ไปอ่านมาแล้วคิดว่าตำรวจสมัยนี้ควรศึกษาโจรในสมัยอดีตไว้เป็นตัวอย่างคดี ซึ่งส่วนมากเข้าขั้นคลาสสิค เสือผาด ทับสายทอง หรือที่คนส่วนใหญ่ เรียกว่า คุณพระ เป็นคนหนองขาหยั่ง นครปฐม ถือเป็นเสือที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศไทย ระหว่าง ปี พ.ศ.2490- 2494 ชื่อเสียงของเสือผาด โด่งดังทั่วประเทศไทย จนถึงขนาดที่ นายตำรวจมือปราบ ประจันหน้ากับเสือผาด ยังไม่กล้าแสดงตัวจับเสือผาด
เสือผาดเป็นคนจริง ก่อนออกปล้นบ้านใดจะมี หมายไปติดที่หน้าบ้าน ที่จะทำการปล้น ถ้าเจ้าของบ้านยินยอม ก็จะนำข้าวของมาวางไว้ที่หน้าบ้าน เสือผาดก็จะไม่ทำอะไร แต่ถ้าเจ้าของบ้านไม่นำข้าวของมาวางไว้หน้าบ้าน เสือผาดก็จะเข้าทำการปล้น ถ้าเจ้าบ้านไม่สู้ก็จะไม่ทำอะไร แต่ถ้าสู้ ก็ต้องตาย ครั้งหนึ่งเสือผาดได้ทำการปล้นบ้านหลังหนึ่ง กวาดทรัพย์สินไปหมด แต่เจ้าของบ้านอ้อนวอนขอเงินคืนส่วนหนึ่ง เพราะเจ้าของบ้านจะทำการบวชลูก เสือผาดก็ให้คืนมา พร้อมกับส่งคนมาดูว่ามีงานบวชจริงหรือเปล่า
ในชีวิตจริง เสือผาดเป็นคนที่นับถือและศรัทธาในพุทธคุณของพระเครื่อง เล่ากันว่า ก่อนที่เสือผาดจะออกเดินทางออกจากบ้านหรือชุมโจร จะสวดมนต์อยู่ในห้องคนเดียวเป็นเวลานานนับชั่วโมง โดยสวดมนต์และปลุกเสกพระเครื่องที่ใช้ประจำติดตัว มีหลายครั้งที่ตำรวจล้อมจับเสือผาดจนมุม แต่ก็หาตัวเสือผาดไม่เจอ เกจิที่เสือผาดนับถือมากที่สุด และไม่เคยขาดพระเครื่องของเกจิองค์นั้นไปจากตัวของเสือผาดเลย ก็คือหลวงพ่อรุ่ง วัดดอนยายหอม ในสมัยที่ตกลงที่จะมอบตัวครั้งแรก ต่อหน้าหลวงพ่อเงิน เสือผาดได้นำพระนาคปรกหลวงพ่อรุ่ง ออกมาอวดต่อหน้านายตำรวจใหญ่เมืองนครปฐมและผู้ติดตามหลายคน แล้วเล่าว่า ชีวิตของตนรอดตาย หลายต่อหลายครั้ง ก็จากพุทธคุณของพระพิมพ์นาคปรก หลวงพ่อรุ่ง วัดดอนยายหอม ถึงขนาดที่เคยถูกล้อมจับ ไม่มีน้ำกิน เคยอาราธนาพระพิมพ์นาคปรก หลวงพ่อรุ่ง ทิ้งลงไปในน้ำที่จะตักมาดื่ม ผลปรากฏว่า บริเวณที่พระตกลงไป น้ำจะใสสะอาดทันที
วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2494 เสือผาดถูกตำรวจล้อมจับ ที่บริเวณสถานีรถไฟหนองปลาดุก ต.ปากแรต อ.บ้านโป่ง นายตำรวจและผู้ติดตามนับสิบคน ได้เข้าล้อมจับเสือผาดที่จนมุมอยู่กลางทุ่งนา พร้อมกับเสือสังวาลย์ สมุนคู่ใจ แต่ทั้งคู่ไม่ยอมแพ้ ได้เกิดการต่อสู้กับตำรวจ จนกระทั่งเสือสังวาลย์ ถูกยิงตาย ยังคงเหลือแต่เสือผาด แต่ตำรวจก็ไม่กล้าเข้าล้อมจับ จนกระทั่งมีเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด หลังจากนั้นตำรวจได้เข้าไปตรวจสอบ พบว่า เสือผาดได้ใช้ปืนยาว พระรามหก ยิงกรอกปากตัวเองด้วยกระสุนนัดสุดท้ายที่เหลืออยู่ เพราะไม่ยอมจนมุมและไม่ยอมตายด้วยเงื้อมือตำรวจ แต่ขอปลิดชีพตัวเอง ก่อนที่เสือผาด จะยิงตัวตาย ได้ถอดพระเครื่องที่แขวนติดตัวทั้งหมด ฝังเอาไว้ในรูปู โดยหลังจากที่ตำรวจเข้าชันสูตรศพเสือผาด ได้นำพระของเสือผาดมาไว้ที่หน้าอกและถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน
ผลจากการชันสูตรศพยังพบอีกว่า เสือสังวาลย์โดนปืนร่างพรุน แต่เสือผาดมีรอยช้ำเป็นจ้ำๆทั่วทั้งตัว กระสุนไม่เข้าเลยแม้แต่นัดเดียว แต่ฤทธิ์จากความแรงของกระสุนปืน ก็ทำให้เสือผาดเกิดอาการเจ็บช้ำไปทั่วทั้งตัว ไม่สามารถหนีการจับกุมได้เฉกเช่นเคย หลังจากเสือผาดเสียชีวิต ได้พยายามตัดคอเสือผาดเพื่อนำมาประจาน โดยตำรวจนายหนึ่งที่ถูกส่งไปเป็นสายในชุมโจรเสือผาด จนเสือผาดไว้ใจ อันเป็นผลให้เสือผาดต้องจบชีวิตในที่สุด แต่ไม่สามารถตัดคอของเสือผาดได้สำเร็จ จนถึงขนาดที่ต้องไปขอให้หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ถอนอาคมที่อยู่ในตัวเสือผาด
เรื่องราวต่อจากนี้สามารถตามหาได้ทั่วไปในเว็บไซต์ครับ เกริ่นเสียยืดยาวก็คือเสือผาด ไม่ได้ตายเพราะกระสุนปืนแต่ปัจจัยสำคัญคือมีตำรวจแฝงตัวเข้าไปรายงานความเคลื่อนไหวจนนำมาสู่การล้อมจับและฆ่าตัวตายของเสือผาด
สมัยนี้ระดับคนทำงานตั้งแต่ ดาบตำรวจ ถึงสารวัตร บ่อยครั้งจะเห็นได้ว่าสารวัตรสั่งลูกน้อง แต่ลูกน้องขอให้สารวัตรนำหน้า ไม่เหมือนในอดีตยุคที่โจรกลัวตำรวจ ที่ ต่างคนต่างแย่งกันออกทำงาน จากประวัติศาสตร์การปราบเสือบางคนยังยศแค่ร้อยตรี ร้อยโท ก็มีผลงานกันแล้ว
ต่างจากสมัยนี้ที่จับ “เปรี้ยวหั่นศพ” มีชื่อตำรวจยาวเหยียด 2 หน้ากระดาษ ละครหรือภาพยนตร์ถึงได้เอาประโยคอมตะมาใช้ “ร้อยตำรวจเอกปลอมตัวมา” ส่วนสมัยนี้หมดยุคเช่นนั้นแล้ว แม้แต่พันตำรวจโทยังเคอะๆเขินๆ จะสืบจะปราบยังวางแผนกันไม่ถูก สุดท้ายนี้ขอให้เร่งปิดคดี “ฆ่าล้างครัว” ที่ จ.กระบี่ให้ได้โดยเร็วครับ