คอลัมน์ อาชญา (ลง) กลอน
โดย…ธนก บังผล
เหตุกราดยิงในคอนเสิร์ตที่นครลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา สัปดาห์ที่ผ่านมา นับเป็นโศกนาฏกรรมที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของมหาอำนาจของโลก จนมีคำถามที่น่าสนใจว่า อเมริกาที่มักทำตัวเป็นพี่เบิ้มเข้าไปวุ่นวายกับกิจการของประเทศต่างๆ จริงๆแล้วควรใส่ใจในปัญหาบ้านเมืองตัวเองมากกว่าจะกร่างไปทั่วโลกหรือไม่
ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ระดับของการก่อการร้ายเปลี่ยนไปตามยุคสมัย จากที่เคยทำเป็นกลุ่มคนซึ่งมีอุดมการณ์เดียวกัน เหมือนเหตุวินาศกรรมถล่มตึกเวิร์ลเทรดเซนเตอร์ 9/11 มาปัจจุบันพอมีกลุ่ม ISIS วิธีต่อต้านอเมริกาได้ปรับเปลี่ยนไปมาก
ใครจะไปเคยคิดว่ากลุ่ม ISIS จะฆ่าตัดคอเชลยแล้วนำคลิปเผยแพร่ผ่านยูทูป สร้างความตื่นตระหนกให้กับคนทั้งโลก
ยิ่งในยุคที่โลกหมุนไปเร็วด้วยเทคโนโลยี อเมริกาก็มีผู้นำคนใหม่คือ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ปัจจุบันมีอายุมากถึง 70 ปี
ในสุนทรพจน์ครั้งแรกที่รัฐสภา ประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวว่า คนส่วนใหญ่ที่ต้องคดีก่อการร้ายและความผิดเกี่ยวข้องกับก่อการร้ายนับจากเหตุวินาศกรรม 9/11 ในสหรัฐ มาจากนอกประเทศสหรัฐอเมริกา
แต่ปรากฏว่าความจริงแล้ว ตลอดระยะเวลากว่า 15 ปีที่ผ่านมา คนร้ายที่ก่อเหตุโจมตีใหญ่ๆ ในสหรัฐโดยอ้างศาสนาอิสลามนั้น ไม่มีรายใดมาจากประเทศที่ทรัมป์สั่งห้ามเลย ในขณะเดียวกันนั้นเองผู้ก่อการร้ายที่โจมตีสำเร็จจำนวนมากที่สุดในประเทศ ล้วนแล้วแต่เป็นชาวอเมริกัน
ทฤษฎีที่ถูกกล่าวขวัญมากที่สุดคือ Lone Wolf หรือหมาป่าโดดเดี่ยว ซึ่งหมายถึงการก่อการร้ายแบบตัวคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นการกราดยิง หรือวางระเบิด คนร้ายปะปนมากับคนทั่วไป สามารถเป็นใครก็ได้ ที่อาจจะไม่พอใจในนโยบาย หรือฝักใฝ่กับการก่อการร้าย หรือเก็บกดจากสภาพแวดล้อม เป็นได้ทั้งนั้น ซึ่งต่างจากการก่อเหตุในตะวันออกกลาง
นักวิชาการด้านความมั่นคงเคยออกมาให้ความเห็นว่า การก่อเหตุแบบหมาป่าโดดเดี่ยวเองประเทศไทยก็เคยมี อย่างเช่น การวางระเบิดที่แยกพระพรหม ราชประสงค์ ซึ่งหลุดกรอบไปจากการก่อเหตุเนื่องจากความแตกแยกทางการเมือง
ล่าสุดนายแพดด็อกซ์ อายุ 64 ปี ใช้อาวุธปืนกราดยิงคนที่มาชมคอนเสิร์ต เสียชีวิตไป 59 ศพ บาดเจ็บอีกว่า 527 คน กรณีนี้ถือว่าเป็นการก่อการร้ายประเภทหนึ่ง อาจด้วยสาเหตุจากการพนัน หรืออะไรก็แล้วแต่ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มตาลีบัน หรือ ISIS ที่พยายามออกมาสร้างเครดิตให้กับตัวเอง
มีข้อมูลที่น่าสนใจครับ หลังจากทางกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ เผย จำนวนการโจมตีของก่อการร้ายทั่วโลก และยอดผู้เสียชีวิตจากการโจมตีในปี 2559 ลดลง ร้อยละ 9 โดยอ้างถึงรายงานด้านก่อการร้ายโลก พร้อมระบุว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุโจมตีต่างๆก็ลดลง ร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับปี 2558
ทั้งนี้ บรรดานักรบสุหนี่ หรือกลุ่มรัฐติดอาวุธรัฐอิสลาม(ไอเอส) เป็นกลุ่มที่ก่อเหตุโจมตีมากที่สุดของปีที่แล้ว โดยก่อเหตุโจมตีในที่ต่างๆในอิรัก คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 20 และก่อความสูญเสียเพิ่มขึ้นถึง ร้อยละ 69 เมื่อเทียบกับปี 2558
ข้อมูลนี้ รวบรวมโดยมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ และมอบให้แก่กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งพบด้วยว่า เมื่อปีที่ 2559 มีเหตุโจมตีก่อการร้ายทั่วโลกทั้งหมด 11,072 ครั้ง คร่าชีวิตผู้คนมากกว่า 25,600 คน โดยในจำนวนนั้นเป็นการเสียชีวิตของผู้ลงมือโจมตีจำนวน 6,700 ราย
การโจมตีของก่อการร้ายเกิดขึ้นใน 104 ประเทศทั่วโลก แต่ส่วนใหญ่เกิดขึ้นแค่ใน 5 ประเทศคือ อิรัก, อัฟกานิสถาน, อินเดีย, ปากีสถาน และฟิลิปปินส์ ขณะที่ 3 ใน 4 ของเหยื่อเสียชีวิตจากการโจมตีของก่อการร้ายในอิรัก, อัฟกานิสถาน, ซีเรีย, ไนจีเรียและปากีสถาน
ในขณะที่ ตัวอย่างเหตุโจมตีที่เกิดขึ้นเฉพาะปี 2560 ล่าสุด เดือนตุลาคม ชายผิวขาววัย 64 ปี กราดยิงฝูงชนที่รวมตัวกันกว่า 2.2 หมื่นในเทศกาลดนตรีคันทรี ในลาสเวกัส เสียชีวิตเกือบ 60 คน บาดเจ็บกว่า 500
สิงหาคม -หนุ่มผิวขาวฝักใฝ่ลัทธินาซี วัย 20 จากรัฐโอไฮโอ ขับรถพุ่งชนผู้ชุมนุมประท้วงต่อต้านการเหยียดผิวในเมืองชาร์ลอตสวิลล์ รัฐเวอร์จิเนีย คร่าชีวิตสตรีเคราะห์ร้าย กับบาดเจ็บอย่างน้อย 19 คน
มิถุนายน – ชายผิวขาววัย 66 ปี จากรัฐอิลลินอยส์ ยิงสมาชิกรัฐสภาสหรัฐพรรครีพับลิกันซึ่งกำลังซ้อมเบสบอลในสวนสาธารณะ เมืองอเล็กซานเดรีย รัฐเวอร์จิเนีย เพื่อเตรียมลงแข่งกับสมาชิกพรรคเดโมแครต เป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายคน รวมถึง ส.ส.สตีฟ สกาไลส์ จากลุยเซียนา
มีนาคม – หนุ่มผิวขาววัย 28 ปี จากเมืองบัลติมอร์ เดินทางไปนครนิวยอร์ก เพื่อสังหารชายผิวดำ เขาแทงทิโมที คัฟแมน วัย 66 ปี จนถึงแก่ความตาย และถูกแจ้งข้อหาก่อการร้าย
พฤษภาคม – เจเรมี คริสเตียน ชายผิวขาววัย 35 ปี จากออริกอน คุกคามวัยรุ่นมุสลิมบนรถไฟ ในเมืองพอร์ตแลนด์ ตะโกนว่า “ที่นี่ เราต้องการแต่คนอเมริกันเท่านั้น” ชายสองคนเข้าขัดขวาง และถูกคริสเตียนแทงเสียชีวิตทั้งคู่
(ที่มาข้อมูล: รวบรวมและอ้างอิงจากเว็บไซต์ คมชัดลึก)
ประเด็นคือ ผู้ก่อการร้ายทั้งหมดล้วนเป็นคนผิวขาว ชาวอเมริกันทั้งสิ้น ดังนั้นสิ่งที่อเมริกาพยายามทำมาตลอดคือการวุ่นวายกับกิจการของทุกประเทศบนโลกนี้ ไม่เว้นแม้กระทั่งประเทศไทย แต่เรื่องภายในของตัวเองนั้นเละเทะมาตลอด 15 ปี ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจแฮมเบอเกอร์ที่ป่วนไปทั่วโลก การเข้าไปจับจองบ่อน้ำมัน การสนับสนุนและทำสงครามในประเทศตะวันออกกลาง
วันนี้มาเป็นงานเป็นการมากหน่อยครับ เพราะศตวรรษนี้การก่อการร้ายแบบหมาป่าโดดเดี่ยวนั้น ได้รับความสนใจในระดับโลก เนื่องจากยากต่อการป้องกัน ผู้ก่อเหตุบางคนสามารถศึกษายุทธวิธีและสั่งซื้ออาวุธได้ทางอินเตอร์เน็ต ทั้งๆที่ในโลกความเป็นจริงนั้นมีบุคลิกเหมือนคนปกติทั่วไป เมื่อสบโอกาส การก่อเหตุแต่ละครั้งจึงน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง
100 ปีนี้ คาดกันว่าจะมีการก่อการร้ายแบบ Lone Wolf มากขึ้น และจากสถิติแล้วก็น่าจะเดาได้ไม่ยากว่าโอกาสโชคร้ายนั้นจะเกิดในประเทศใด