ตอน 25
ตอนที่ผมจากมา แสงอรุณเริ่มสาดส่องบ้างแล้ว ทั้งยังเย็นยะเยือกด้วย แต่รู้สึกว่าสดชื่นขณะที่เหงื่อแตกพลั่กพอดี
ผมไม่รู้เลยว่าจะไปไหนดี ผมไม่ต้องการจะไปโรงแรมที่ไหนอีก แล้วใช้จ่ายด้วยเงินของโฟบี้ ดังนั้นสุดท้ายผมเดินเรื่อย ๆ ไปจนถึงสถานีเลกซิงตัน แล้วนั่งรถไฟใต้ดินเดินต่อไปยังแกรนด์เซ็นทรัล กระเป๋าของผมอยู่ที่นั่น ผมมุ่งหวังจะไปหาที่งีบหลับในห้องพักผู้โดยสารที่มีม้ายาวตั้งอยู่
นั่นแหละคือสิ่งที่ผมจะทำ มันก็ไม่แย่นักหรอก เพราะไม่มีคนพลุกพล่านแถวนั้น ผมสามารถยกเท้าขึ้นพาดได้ แต่ก็ไม่รู้สึกอยากจะคิดมากเรื่องนั้น มันไม่ค่อยดีนักอย่าได้ลองอีกเลย ผมคิดอย่างนั้น มันจะทำให้คุณหดหู่ใจล่ะ
ผมงีบหลับจนถึงเก้าโมงเช้า เพราะคนนับล้านเริ่มเข้ามาในห้องพักผู้โดยสารแล้ว ผมต้องเอาเท้าลงจากม้านั่ง ผมคิดว่าผมยิ่งรู้สึกอ้างว้างห่อเหี่ยวใจมากกว่าที่เคยเจอมาเลยในชีวิต
ผมไม่ต้องการหรอก แต่ก็อดกระหวัดคิดถึงคุณแอนโทลินีและหวั่นว่าท่านจะบอกคุณนายแอนโทลินีอย่างไรตอนที่เธอพบว่าผมไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว ส่วนนั้นไม่ได้ทำให้ผมกังวลใจนัก เพราะผมรู้จักคุณแอนโทลินีว่าหัวไว ท่านคงเตรียมเรื่องไว้แจกแจงให้เธอทราบแล้ว
ท่านอาจบอกว่าผมกลับไปบ้านแล้วหรืออะไร นั่นไม่ทำให้ผมวิตกกังวลอไรมากหรอก
แต่สิ่งที่ทำให้ผมกลุ้มใจคือส่วนที่เกี่ยวกับว่าผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาพบว่าท่านลูบไล้ศีรษะผม ผมหมายถึงว่าผมเป็นห่วงว่าผมอาจแค่เข้าใจผิด ๆ ที่คิดว่าท่านกำลังเล้าโลมผม
ผมหวั่นใจว่าท่านอาจเพียงแค่ชอบลูบไล้ศีรษะของเด็ก ๆ ตอนนอนหลับเท่านั้นเอง ผมหมายถึงว่าคุณจะแน่ใจได้อย่างไรเกี่ยวกับเรื่องแบบนั้น คุณไม่มีทางรู้หรอก ผมยังเริ่มคิดหวั่นว่าหากผมไปเอากระเป๋าแล้วย้อนกลับไปบ้านท่าน อย่างที่ผมบอกว่าจะกลับ
ผมหมายถึงว่าผมเริ่มคิด แม้กระทั่งว่าแม้ท่านจะแสดงพฤติกรรมแนวพวกเกย์ ท่านก็ยังดีต่อผมเสมอ ผมคิดถึงว่าท่านไม่ถือสาหรือติดใจตอนที่ผมโทรไปหาท่านตอนดึกดื่น ท่านต้องยุ่งยากลำบากอย่างไรในการให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับการค้นหาขนาดของจิตใจ และท่านเป็นคนๆ เดียวที่เข้าไปใกล้ร่างของเจมส์ คาสเซิลที่ผมเล่าให้คุณฟังตอนที่เขาเสียชีวิต
ผมคิดถึงแต่เรื่องพวกนั้นและยิ่งผมคิดถึงมัน ผมก็ยิ่งสลดหดหู่ใจมากขึ้น ๆ
ผมหมายถึงว่าผมเริ่มคิดว่าควรจะย้อนกลับบ้านท่านอีก บางทีท่านแค่เพียงลูบไล้ศีรษะผมแค่นั้นเอง ยิ่งคิดผมก็ยิ่งหดหู่มากขึ้น ๆ ผมปั่นป่วนยุ่งยากใจ สิ่งที่ทำให้มันยิ่งแย่ ตรงที่ดวงตาของผมขัดเคืองมากขึ้น มันรู้สึกเหมือนเคืองตาและตาแดงด่ำจากการอดหลับอดนอน ขณะเดียวกันผมเริ่มหนาวยะเยือกขึ้นอีก แล้วผมก็ไม่ได้พกผ้าเช็ดหน้ามาอีกด้วย มันอยู่ในกระเป๋าเสื้อผ้า แต่ผมก็ไม่อยากจะลากกระเป๋าออกจากลังที่รับฝากมาเปิดกระเป๋าต่อหน้าผู้คนเลย
มีนิตยสารเล่มหนึ่งไม่รู้ใครทิ้งไว้บนม้านั่งติดกับผม ผมหยิบมาพลิกอ่าน คิดดูแล้วมันช่วยให้ผมหยุดคิดถึงเรื่องคุณแอนโทลินีและสารพัดเรื่องอย่างน้อยก็ชั่วระยะหนึ่งล่ะ
แต่ไอ้เรื่องบ้า ๆ ที่ผมเริ่มอ่านนี่สิ ยิ่งทำให้ผมรู้สึกเลวร้ายกว่าเดิมเสียอีก
มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับฮอร์โมนสารพัด มันบรรยายว่าคุณจะดูเป็นอย่างไร ใบหน้าดวงตา และอวัยวะต่าง ๆ ถ้าฮอร์โมนของคุณมีลักษณะที่ดี และผมไม่ได้มองอย่างนั้นเพียงแค่นั้น ผมดูเหมือนเป็นคนในเรื่องนั้นที่มีฮอร์โมนไม่สมประกอบ ผมเลยชักเป็นกังวลเรื่องฮอร์โมนของผม
จากนั้นผมยังอ่านเรื่องอื่นเกี่ยวกับว่าจะบอกได้อย่างไรว่าคุณเป็นมะเร็งหรือไม่ มันระบุว่าถ้าคุณมีแผลในปากโดยไม่เยียวยารักษาในทันที มันเป็นสัญญาณว่าบางทีคุณอาจเป็นมะเร็ง ผมมีแผลในริมฝีปากราวสองสัปดาห์แล้ว ผมเลยคิดว่าผมเจอโรคมะเร็งเข้าแล้ว นิตยสารนั้นทำให้ใจชื้นขึ้นบ้างเล็กน้อย
แล้วผมก็หยุดเลิกอ่านและออกไปเดินข้างนอก ผมนึกภาพว่าผมอาจจะตายภายในหนึ่งเดือนสองเดือนจากโรคมะเร็ง ผมว่ามันอาจใช่แน่ ผมยิ่งคิดว่าเป็นแน่ มันไม่ทำให้ผมรู้สึกดูเท่สักเท่าไหร่เลย
ท่าทางฝนจะตกในไม่ช้า แต่ยังไงผมก็ออกไปเดินล่ะ อย่างหนึ่งคือผมต้องหาอะไรกินมื้อเช้าบ้าง ผมไม่ได้หิวนักหรอก แต่อย่างน้อยผมควรจะกินอะไรบ้าง อย่างน้อยควรจะกินอะไรที่มีวิตามินมีคุณค่าในนั้นบ้าง ดังนั้นผมเริ่มเดินไปทางย่านตะวันออก มีร้านอาหารถูก ๆ มากแถวนั้น ผมไม่อยากใช้จ่ายมากนัก
ระหว่างที่เดินไป ผมผ่านชายสองคนที่ช่วยกันยกต้นคริสต์มาสลงจากรถบรรทุก ชายคนหนึ่งพูดกับอีกคน ‘ตั้งไอ้ต้นเวรนี่ขึ้นสิวะ จับตั้งขึ้นสิวะ พับผ่าสิ’
มันฟังดูเท่จังที่เอ่ยถึงต้นคริสต์มาสอย่างนั้น มันน่าตลกดีในอีกแบบหนึ่ง ผมอดหัวเราะไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่แย่มากที่ผมทำแบบนั้น เพราะวินาทีที่ผมเริ่มปล่อยก๊าก ผมคิดว่าผมกำลังจะอ้วกพุ่ง จริง ๆ ผมเริ่มจะอ้วกอยู่พอดี แต่มันก็แวบหายไป ไม่รู้ว่าทำไม
ผมหมายถึงผมไม่ได้กินอะไรที่ไม่ถูกสุขลักษณะหรืออะไร และปกติผมก็ไม่ค่อยรู้สึกเสาะท้องหรอก ยังไงก็ตามผมไปถึงร้านอาหาร คิดว่าผมคงรู้สึกดีขึ้นถ้าได้กินอะไรบ้าง ดังนั้นผมจึงเข้าไปในร้านอาหารที่คิดว่าราคาคงถูกร้านนี้ ที่มีโดนัทและกาแฟ เพียงแต่ผมไม่กินโดนัท ผมไม่สามารถจะกลืนลงคอได้คล่องหรอก
เรื่องมันก็คือถ้าคุณตกอยู่ในสภาพหดหู่อย่างมาก มันยากที่จะกลืนอะไรลงท้อง พนักงานต้อนรับท่าทางใจดี เขายกกลับไปโดยไม่คิดราคาเพิ่ม ผมเพียงแค่ดื่มกาแฟ แล้วก็ลุกเดินไปทางฟิฟท์อะเวนิว
มันเป็นวันจันทร์ ใกล้ถึงวันคริสต์มาส ร้านรวงต่าง ๆ ก็เปิดกันอย่างเต็มที่ เลยไม่เลวที่ได้เดินไปตามถนนฟิฟท์ที่เต็มไปด้วยการตกแต่งประดับประดาเกี่ยวเนื่องกับเทศกาลคริสต์มาส เหล่าซานตาครอสที่ดูผมกระหร่อง ยืนอยู่ตรงมุมตึก สั่นระฆัง และสาวที่ถือกล่องรอรับบริจาคช่วยเหลือกองทัพ คนที่ไม่ได้ทาลิปสติกแต่งหน้า กำลังสั่นระฆังด้วยเหมือนกัน
ผมมองหาแม่ชีสองคนที่ผมเจอตอนช่วงอาหารเช้าวันก่อน แต่ก็มองหาไม่เห็น ผมรู้ดีว่าไม่มีทางได้เจอหรอก เพราะพวกเธอบอกว่ามานิวยอร์กเพื่อเป็นครูสอนในโรงเรียน แต่ผมก็อดมองหาพวกเธอไม่ได้อยู่ดี มันรู้สึกเหมือนเป็นวันคริสต์มาสในบัดดล เด็กๆ จำนวนนับล้านคนมารวมกันย่านใจกลางเมืองพร้อมกับคุณแม่ๆ ขึ้นลงรถเมล์ เข้าออกร้านโน้นร้านนี้ดูละลานตา
ผมอยากให้โฟบี้มาเดินแถวนี้จังเลย เธอไม่ใช่เด็กเล็กๆอีกแล้ว ที่จะปรี่เข้าร้านขายของเล่น แต่เธอก็สนุกสนานที่จะเดินเล่นและมองดูผู้คนจอแจผ่านไปมา
คริสต์มาสคราวก่อนผมพาเธอไปเดินย่านใจกลางเมืองหาซื้อของด้วยกัน เรามีช่วงเวลาที่สนุกสนานมาก ผมคิดว่าน่าจะเป็นห้างบลูมมิงเดล เราเข้าไปในร้านขายรองเท้าแล้วเราก็แสร้งทำเป็นว่าเธอต้องเลือกหารองเท้าสักคู่สำหรับสวมลุยพายุ ชนิดที่มีรูร้อยเชือกผูกรองเท้านับล้านรู
เราทำให้พนักงานขายผู้ชายที่น่าสงสารต้องหัวปั่นเลยล่ะ โฟบี้ลองสวมรองเท้าราวยี่สิบคู่เห็นจะได้ แต่ละครั้งพนักงานชายที่น่าสงสารต้องร้อยเชือกรองเท้าข้างหนึ่งทุกคู่ มันเป็นความเจ้าเล่ห์ที่สกปรก แต่โฟบี้ก็ชอบมาก ๆ
สุดท้ายเราก็เลือกได้รองเท้ามอคคาซินส์คู่หนึ่ง จ่ายเงินทิปให้เขาด้วย พนักงานขายยิ้มพอใจที่ได้รับทิป ผมคิดว่าเขาก็รู้อยู่หรอกว่าเราแกล้งเขาสนุก ๆ เพราะว่าโฟบี้หัวเราะคิกคักตลอดเลยล่ะ
ผมยังคงเดินเรื่อยไปตามถนนฟิฟท์ ไม่มีผ้าพันคอหรืออะไรแล้ว ในทันใดบางอย่างที่พิลึกพิลั่นเกิดขึ้น ทุกคราวผมมาถึงสุดช่วงตึกและชะงักเมื่อถึงขอบถนน ผมเกิดความรู้สึกว่าผมไม่สามารถจะเดินข้ามไปอีกฟากของถนนได้ ผมคิดว่าผมตัวเล็กลงๆๆ จนไม่มีใครเห็นผมอีก
ไอ้หนูเอ๋ย มันทำให้ผมขนลุกเหลือเเกินคุณจินตนาการไม่ออกเลย ผมเริ่มเหงื่อไหลอีก เสื้อเชิ้ตชุ่มรวมทั้งเสื้อชั้นในและทุกสิ่งทุกอย่าง จากนั้นผมเริ่มทำอะไรอย่างอื่นอีกทุก ๆ ครั้งที่ผมเดินไปสุดช่วงตึก ผมจะทำให้รู้สึกเหมือนกับผมกำลังคุยกับแอลลี่ ผมพูดกับเขาว่า
‘แอลลี่ อย่าให้พี่หายตัวไปนะขอร้องล่ะ แอลลี่’
และจากนั้นเมื่อผมข้ามไปถึงอีกฟากของถนนโดยไม่ได้หายวับไปไหน ผมก็จะเอ่ยขอบใจเขา แล้วมันก็เริ่มอีกครั้งจนไปถึงหัวมุมถนนถัดไป แต่ผมก็ยังคงเดินต่อไป ผมกลับกลัวการหยุด ผมคิดว่า ผมจำไม่ได้ บอกตามตรง ผมรู้ว่าผมหยุดไม่ได้จนกว่าจะมุ่งหน้าไปถึงถนนซิกซ์ตี้ ผ่านสวนสัตว์ แล้วผมก็นั่งลงบนม้ายาว
ผมแทบจะหายใจไม่ออก และเส้นผมยังเปียกชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ ผมนั่งตรงนั้น คงราวสักครึ่งชั่วโมง ในที่สุดสิ่งที่ผมตัดสินใจทำ ผมตัดสินใจว่าผมควรจะไปไกลๆ ผมตัดสินใจว่าผมไม่ควรกลับบ้านอีก และผมก็จะไม่ไปเข้าโรงเรียนที่ไหนอีกแล้ว
ผมตัดสินใจว่าผมจะแวะไปหาโฟบี้บ้าง และกล่าวอำลาเธอพร้อมทั้งคืนเงินคริสต์มาสของเธอ แล้วเริ่มต้นโบกรถไปทางตะวันตก สิ่งที่ผมจะทำผมนึกภาพไว้ว่าผมจะไปทางอุโมงค์ฮอลแลนด์และโบกรถเกาะติดและเกาะติดจากคันหนึ่งและอีกคันหนึ่งและอีกคันหนึ่ง แลในอีกไม่ช้าผมก็คงไปถึงบางแห่งด้านตะวันตก ที่ๆ สวยงามและมีแสงแดดส่องอุ่น ที่ ๆ ไม่มีใครรู้จักผม และผมก็หางานทำ
ผมนึกไว้ด้วยว่าผมจะได้งานที่ปั๊มน้ำมันสักแห่ง เติมน้ำมันใส่รถของคนทั่วไป่ ผมไม่สนใจหรอกว่าจะเป็นงานอะไร เพียงแต่ไม่มีใครรู้จักผมแล้วผมก็ไม่รู้จักใคร ผมคิดว่าสิ่งที่ผมจะทำคือแสร้งทำเป็นคนใบ้หูหนวก ด้วยสภาพแบบนี้ผมจะได้ไม่ต้องพร่ำเพ้อคุยในเรื่องงี่เง่าไร้สาระกับใคร
ถ้าใครต้องการจะบอกเล่าอะไรกับผม พวกนั้นต้องเขียนใส่กระดาษแล้วชูให้ผมดู หลังจากนั้นพักเดียวพวกนั้นก็จะเบื่อรำคาญที่จะทำอย่างนั้นอีก และแล้วผมก็จะได้ไม่พูดคุยกับใครตลอดชีวิตเลย ทุกคนคิดว่าผมเป็นคนหูหนวก เป็นใบ้ที่น่าเวทนาและไม่มายุ่งกับผมอีก พวกเขาจะให้ผมคอยเติมน้ำมันใส่รถให้เท่านั้น และจ่ายค่าน้ำมันให้ผม
แล้วผมก็จะสร้างกระต๊อบอยู่ที่ไหนสักแห่งด้วยเงินค่าน้ำพักน้ำแรง อยู่อาศัยตราบชั่วชีวิต ผมจะสร้างกระต๊อบที่ชายป่า ไม่ถึงกับอยู่กลางป่าหรอก เพราะผมยังต้องการแสงแดดอย่างมากตลอดเวลาเลยล่ะ ผมจะทำอาหารกินเอง
ต่อจากนั้นถ้าผมอยากจะมีครอบครัวหรืออะไร ผมอาจจะได้พบสาวสวยที่เป็นใบ้หูหนวกเหมือนกัน และเราก็แต่งงานกัน เธอมาอยู่กับผมที่กระต๊อบ และถ้าเธอต้องการสื่อสารกับผม เธอก็ต้องเขียนใส่กระดาษเหมือนคนอื่น ๆ ถ้าเรามีลูก เราก็พาไปซ่อนในที่บางแห่ง เราจะซื้อหนังสือมากมายก่ายกอง และสอนให้ลูกอ่านออกเขียนได้ด้วยตัวของเราเอง
ผมตื่นเต้นแทบบ้าเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ผมรู้สึกอย่างนี้จริง ๆ ผมรู้ว่าส่วนที่เสแสร้งว่าเป็นใบหูหนวกเป็นเรื่องที่ไม่เข้าท่านัก แต่ผมชอบที่จะคิดเกี่ยวกับมัน แต่ผมตัดสินใจแล้วว่าจะมุ่งหน้าไปทางตะวันตก
สิ่งที่ผมจะต้องทำก่อนอื่นคือกล่าวอำลาโฟบี้
ในทันใดผมวิ่งราวกับพายุข้ามถนน ผมเกือบตายที่ทำอย่างนี้ ถ้าคุณต้องการรู้ความจริง และเข้าไปในร้านขายเครื่องเขียน ซื้อสมุดและดินสอ ผมคิดว่าจะเขียนโน้ตถึงเธอให้ไปพบกันที่ไหนสักแห่งหนึ่ง เพื่อจะได้กล่าวคำอำลาและคืนเงินคริสต์มาสให้เธอ
และแล้วผมก็ส่งโน้ตให้เธอที่โรงเรียน โดยฝากกับเจ้าหน้าที่ในห้องพักอาจารย์ใหญ่ไปให้เธอ แต่ผมดันเอาสมุดและดินสอใส่ในกระเป๋าเสื้อผ้า และเริ่มต้นสาวเท้าอย่างรวดเร็วไปยังโรงเรียน
ผมตื่นเต้นมากจนไม่ได้เขียนโน้ตในร้านขายเครื่องขียน ผมเดินอย่างรวดเร็วเพราะว่าผมต้องการให้เธอได้รับโน้ตก่อนที่เธอจะกลับบ้านไปกินอาหารกลางว้น และผมไม่ค่อยมีเวลามากนัก
ผมรู้ว่าโรงเรียนของเธออยู่ตรงไหน เพราะว่าผมเคยเรียนที่นั่นสมัยเป็นเด็กเล็ก เมื่อตอนไปถึงผมรู้สึกขัน ผมไม่แน่ใจว่าผมจำได้ว่าข้างในเป็นอะไร แต่ผมคิดว่าผมจำได้ มันก็เหมือนอย่างที่เคยเป็นตอนที่ผมไปที่นั่น
มันมีสนามขนาดกว้างใหญ่เหมือนเดิมอยู่ในบริเวณซึ่งมักดูมืดสลัวตลอด มีรั้วตาข่ายล้อมรอบเสาไฟ ดังนั้นมันจึงไม่แตกถ้าลูกบอลลอยมากระแทก แล้วก็มีวงกลมสีขาวอยู่บนพื้นสนาม สำหรับการแข่งขันกีฬาและมีห่วงตาข่ายบาสเกตบอลอันเก่าที่ไม่มีตาข่าย มีเพียงแป้นและห่วงเปล่า ๆ เท่านั้น
ไม่มีใครอยู่แถวนั้นเลย เพราะว่าบางทีอาจไม่ใช่ช่วงหยุดพักและยังไม่ถึงเวลาพักกินอาหารกลางวัน เท่าที่เห็นมีเด็กคนหนึ่งเด็กผิวสี เดินไปยังห้องน้ำ เขามีป้ายอนุญาตทำด้วยไม้ เสียบอยู่ที่กระเป๋ากางเกง แบบเดียวกับที่เราเคยมี เพื่อแสดงว่าได้อนุญาตให้ไปห้องน้ำได้
ผมยังเปียกโชกด้วยเหงื่อ แต่ก็ไม่แย่ไปกว่านี้อีก ผมตรงไปที่บันได นั่งบนชั้นแรก มองดูสมุดจดและดินสอที่ผมซื้อมา บันไดมีกลิ่นแบบที่เคยเป็นตอนที่เรียนที่นั่น เหมือนกับใครมาฉี่รดมันไว้บันไดในโรงเรียนมีแต่กลิ่นแบบนี้แหละ ผมนั่งอยู่ที่นั่น และเขียนโน้ตทิ้งไว้ :
โฟบี้น้องรัก
พี่ไม่อาจรอจนถึงวันพรุ่งนี้ พี่จะโบกรถไปทางฝั่งตะวันตก บ่ายวันนี้ไปพบพี่ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะตรงใกล้ประตูเวลา 12.15 น.ถ้าไปได้พี่จะได้คืนเงินคริสต์มาสให้ พี่ใช้ไปนิดหน่อย
รัก
โฮลเด้น
โรงเรียนของเธอตั้งอยู่ใกล้กับพิพิธภัณฑ์ เธอจะต้องผ่านตอนเดินกลับบ้านไปกินอาหารกลางวัน ผมรู้ว่าเธอจะมาพบผมได้แน่
จากนั้นผมเริ่มเดินขึ้นบันไดไปยังห้องพักอาจารย์ใหญ่ ผมจะได้ฝากโน้ตให้ใครนำไปให้เธอที่ห้องเรียนได้ ผมปิดผนึกแน่นหนาสิบเท่าจนไม่มีใครเปิดอ่านได้ คุณจะไว้ใจใครไม่ได้ในโรงเรียนแต่ผมรู้ว่าเขาจะนำไปให้เธอ ถ้าผมเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของเธอ
ขณะที่ผมเดินขึ้นบันได ทันใดผมก็เกิดอาการอยากอาเจียนอีก เพียงแต่ไม่อาเจียน ผมนั่งลงสักพักจนรู้สึกดีขึ้น แต่ขณะที่นั่งลง ผมมองบางสิ่งที่ทำให้รู้สึกแย่เลวร้าย มีใครบางคนเขียนคำว่า ‘เ-็แม่ง’ ไว้บนผนัง มันทำให้ผมรู้สึกโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงขึ้นทีเดียว
ผมคิดว่าถ้าโฟบี้และเด็กคนอื่น ๆ มาเห็น พวกเขาจะงุนงงสงสัยว่ามันหมายความว่ายังไง และแล้วพวกเด็กแก่แดดทะลึ่ง ก็จะมาบรรยายให้พวกเด็กเล็กๆ ฟัง
ไอ้สันดานหมาเอ๊ย มันเป็นยังไงวะ พวกเด็กจะคิดถึงแต่คำอย่างนี้ยังไงและอาจจะคิดในใจวนเวียนทั้งวันเลยก็ได้ ผมอยากจะฆ่าไอ้คนที่เขียนคำอุบาทว์ทุเรศนี้จริง ๆ ผมคิดว่าคงเป็นฝีมือพวกจิตวิปริตที่แอบเข้ามาในโรงเรียนตอนกลางคืน หาที่ฉี่หรืออะไรพวกนั้น แล้วถือโอกาสฝากผลงานบัดซบบนผนังกำแพง
ผมยังคิดไปอีกว่าถ้าผมจับตัวมันได้ จะจับหัวมันโขกกับหินปูทางเดิน จนกว่ามันจะสำนึกได้และเลือดสาดกระจายขาดใจตายไปเลย แต่ผมก็รู้ว่าผมไม่ได้แค้นเคืองอะไรนักหนาที่จะทำได้ขนาดนั้นด้วยเหมือนกัน ผมรู้ตัวดี นั่นยิ่งจะทำให้ผมสลดหดหู่เศร้าใจหนักขึ้น
ผมแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงลบมันออกจากผนังด้วยมือเปล่าของผม ถ้าอยากรู้ความจริง ผมกลัวว่าครูบางคนจะจับผมให้ลบมันออกไปเสีย โดยคิดว่าผมนี่แหละคือคนเขียนคำอุบาทว์นั้น แต่ที่สุดผมก็ลบมันจนหมดจดได้ แล้วผมก็รีบขึ้นไปยังห้องพักอาจารย์ใหญ่
อาจารย์ใหญ่ดูเหมือนจะไม่อยู่ มีแต่ผู้หญิงสูงวัยอายุราวสักร้อยปีนั่งอยู่หน้าเครื่องพิมพ์ดีด ผมบอกเธอว่าเป็นพี่ชายของโฟบี้คอลฟีลด์ อยู่ชั้น 4 บี-1 และผมได้ฝากโน้ตไว้กับเธอให้ช่วยนำไปฝากให้โฟบี้ ผมบอกว่าเป็นเรื่องสำคัญเพราะว่าแม่ป่วยและยังเตรียมอาหารกลางวันสำหรับโฟบี้ไม่เสร็จ และนั่นเธอต้องไปพบผมและพาไปกินอาหารกลางวันแถวร้านใกล้ ๆ
สุภาพสตรีสูงวัยเธอค่อนข้างมีใจกรุณาต่อเรื่องนี้ เธอรับกระดาษโน้ตจากผมแล้วเรียกสุภาพสตรีอีกคนหนึ่งที่นั่งห้องทำงานติดๆ กัน สตรีท่านนี้เป็นผู้รับโน้ตต่อนำไปส่งให้โฟบี้
จากนั้นสุภาพสตรีอายุเฉียดร้อยปีและผมก็คุยกันบ้างเล็กน้อย เธอช่างน่ารักจริง ๆ และผมก็เล่าว่าผมกับพี่ชายและน้องชายก็เคยเรียนที่นี่ เธอถามผมว่าแล้วตอนนี้ไปเรียนที่ไหน ผมก็บอกเธอว่าที่เพนซี่
เธอบอกว่าเพนซี่เป็นโรงเรียนที่ดีมาก แม้ว่าผมจะอยากตอบโต้ ผมก็จะไม่ทำให้เกิดความรู้สึกแปลกแยกให้เธอต้องมึนตึงกัน อีกอย่างคือ ถ้าเธอคิดว่าเพนซี่เป็นโรงเรียนที่ดีมาก ก็ปล่อยให้เธอคิดแบบนั้นดีแล้ว คุณคงไม่ชอบที่จะเล่าเรื่องอะไรใหม่ ๆ ให้คนอายุราวค่อนศตวรรษฟังหรอก แล้วพวกท่านก็ไม่อยากฟังหรอก
จากนั้นชั่วประเดี๋ยวผมก็ออกมา มันตลกดี เธอตะโกนตามหลังว่า ‘โชคดีนะจ้ะ’ แบบเดียวกับท่านสเปนเซอร์ทำ ตอนผมออกจากเพนซี่
พระเจ้า ผมเกลียดจังเลยที่ใครชอบตะโกนว่า ‘โชคดีนะ’ ให้ผมตอนที่ผมจากมา มันฟังน่าหดหู่ใจล่ะไม่ว่า
ผมลงบันไดอีกด้านหนึ่ง แต่ก็เห็นคำว่า ‘เ-็ แม่ง’ บนกำแพง ผมพยายามลบมันด้วยมืออีกหน แต่อันนี้มันขีดขูดตัวอักษรบนผนังด้วยมีดพกหรืออะไรสักอย่างมันไม่สามารถลบออกได้ หมดหวังเลย ถึงแม้คุณจะมีเวลาสักล้านปีที่จะลบคำหยาบคายอุบาทว์พวกนี้ออกได้ คุณก็ไม่สามารถจะลบได้แต่ครึ่งเดียวของคำว่า ‘เ-็ แม่ง’ในโลกใบนี้ได้ มันเป็นไปไม่ได้เลยว่ะ
ผมมองดูนาฬิกาตรงบริเวณลานสนามนั่งพักผ่อน อีกยี่สิบนาทีจะถึงเที่ยงแล้ว ผมยังพอมีเวลามากพอที่จะทำอะไรก่อนจะได้พบโฟบี้ ผมเพียงแค่เดินตรงไปยังพิพฺิธภัณฑ์ ไม่มีที่ไหนอีกแล้วที่จะไป
ผมคิดว่าอาจจะไปที่ตู่โทรศัพท์แล้วโทรไปหาเจน กัลลาเกอร์ก่อนที่จะเริ่มออกเดินทางไปทางตะวันตก แต่ก็ไร้อารมณ์ อย่างหนึ่งคือผมไม่แน่ใจว่าเธอกลับบ้านแล้วหรือยังในช่วงวันหยุด ผมจึงไปที่พิพิธภัณฑ์ และแกร่วอยู่แถวนั้น
ระหว่างที่รอโฟบี้อยู่ที่พิพิธภัณฑ์ ด้านในประตู่ มีเด็กเล็กสองคนเดินมาหาผมและถามผมว่ารู้จักบริเวณที่ตั้งมัมมี่หรือเปล่า เด็กเล็กคนหนึ่งในนั้นถามผม เป้ากางเกงไม่ได้ปิด เห็นกางเกงในโผล่ออกมา ผมเลยบอกเขา รีบจัดการกลัดกระดุมทันทีระหว่างที่ยืนคุยกับผม เขาไม่่เห็นต้องไปหลบหลังตู้ไปรษณีย์หรืออะไรเลย
น่ารักนะ ผมอยากขำ แต่ผมก็กลัวว่าอ้วกจะพุ่งอีกครั้ง เลยกลั้นหัวเราะไว้ “มัมมี่อยู่ตรงไหนครับพี่” เด็กชายถามผมอีก “รู้มั้ยครับ”
ผมเลยนึกสนุกหยอกเย้าทั้งสอง “มัมมีเหรอ มันอยู่ตรงไหนหว่า” ผมกลับถามเด็กคนหนึ่ง
“พี่รู้จักมัมมี่ด้วยเหรอ มัมมี่คนตายแล้ว พวกเขาฝังไว้ในฉุฉานหรืออะไรนี่แหละ”
ฉุฉาน โห__จะบ้าตาย เขาคงหมายถึงสุสานฝังศพมัมมี่นั่นเอง
“แล้วเธอทั้งสองทำไมไม่อยู่ในโรงเรียนล่ะหือ” ผมถาม
“วันนี้ไม่มีเรียนครับ”
เด็กคนที่พูดเก่งตลอดเวลาบอก เขาโกหกชัด ๆ เชื่อล่ะ ไอ้เด็กแสบ ผมไม่รู้จะทำอะไร จนกว่าโฟบี้จะมาพบ ผมเลยช่วยพวกเขาทั้งสองตามหามัมมี่ ไอ้หนูเอ๋ย ผมเคยรู้จักมันว่าอยู่ตรงไหน แต่ผมไม่ได้เข้าพิพิธภัณฑ์นานโขแล้ว
“เธอทั้งคู่นี่ท่าจะสนใจมัมมี่มากนะ” ผมพูด
“ใช่ฮะ”
“แล้วเพื่อนเธอคนนี้พูดไม่ได้เหรอ” ผมถาม
“เขาไม่ใช่เพื่อน เขาเป็นน้องชายผม”
“แล้วพูดไม่ได้เหรอ” ผมจ้องดูเด็กชายอีกคนที่ไม่พูดไม่จาเลย“เธอพูดไม่ได้จริง ๆ เหรอ” ผมถามเขา
“ใช่” เขาตอบ “ผมไม่ชอบพูด”
ในที่สุด เราก็เจอที่ตั้งแสดงมัมมี่ เราเข้าไปดูข้างใน
“เธอรู้มั้ยว่าชาวอียิปต์เขาฝังศพคนตายยังไง” ผมถามเด็กคนหนึ่ง
“ม่ายรู้ครับ”
“เอาล่ะ เธอควรจะรู้ มันน่าสนใจมาก ๆพวกเขาพันใบหน้ารอบด้วยผ้าที่ชุบน้ำยาเคมีลึกลับด้วยวิธีการนี้พวกเขาจึงสามารถฝังมัมมี่ในสุสานได้นับพันปี่ แล้วใบหน้าก็ไม่เน่าเปื่อยผุพัง ไม่มีชนชาติไหนรู้จักกระบวนการทำมัมมี่ นอกจากชาวอียิปต์ แม้กระทั่งวิทยาการสมัยใหม่”
เพื่อไปยังที่ตั้งมัมมี่ คุณต้องเดินผ่านช่องทางเดินแคบๆ ไปยังห้องโถงที่มีแผ่นหินอยู่ด้านข้าง พวกเขาจะต้องผ่านไปถึงสุสานเก็บศพของฟาโรห์ มันก็ดูเท่ดีอยู่หรอก สำหรับเด็กชายสองคน คุณบอกได้เลยว่าทั้งคู่จอมแก่นซ่ามีความสนุกสนานมาก พวกเขาถามผมตลอดเวลา คนที่ไม่ค่อยจะพูดถึงกับเกาะขากางเกงผม
“ไปกันเถอะ” เขาบอกพี่ชาย “ผมเห็นมันเรียบร้อยแล้ว ไปเถอะ” เขาหันกลับเดินออกไปทันที
“เขาเป็นคนขี้กลัวน่ะ” พี่ชายเอ่ยขึ้น “ไปก่อนนะครับ” เขาเดินตามน้องชายออกไป
ผมกลายเป็นคนเดียวที่ถูกทิ้งอยู่ในสุสานฟาโรห์ เออชักชอบแฮะ มันเงียบสงบดี แต่ท้นใด คุณเดาไม่ถูกแน่ ผมเห็นอะไรบนฝาผนังนั่น คำว่า ‘เ-็ แม่ง’ อีกคำหนึ่งเขียนด้วยสีฝุ่นสีแดง อยู่ใต้ผนังกระจกใต้แผ่นหินใหญ่นั่น
นั่นเป็นอะไรที่เลวร้ายมาก คุณไม่อาจหาสถานที่บรรยากาศอันสงบเยือกเย็นได้เลยเพราะว่ามันไม่มีเลยน่ะสิ คุณอาจคิดว่าพอมีบ้างมั้ง แต่ครั้งหนึ่งคุณไปที่นั่น หากคุณไม่สังเกตสอดส่อง อาจจะมีใครบางคนแอบเขียน ‘เ-็ แม่ง’ อยู่ใกล้แค่จมูกคุณก็ได้ลองคิดดูสิ
ผมยังคิดเลยไปด้วยว่าหากผมตายแล้ว ถูกฝังในสุสาน มีป้ายหินสลักชื่อว่า ‘โฮลเด้น คอลฟีลด์’ อยู่เหนือหลุมศพ ระบุว่าเกิดปีอะไร ตายปีอะไร จากนั้นด้านล่างมันจะมีคนมือบอนเขียนคำว่า ‘เ-็ แม่ง’ ผมเชื่อเลยว่ามันต้องมีแน่นอน
หลังจากผมออกจากห้องแสดงมัมมี่ ผมต้องไปห้องน้ำ ผมรู้สึกเกิดอาการท้องร่วง ถ้าคุณอยากรู้ความจริงผมไม่ได้ใส่ใจเรื่องท้องเสียมาก แต่มีอย่างอื่นเกิดขึ้น ตอนออกจากห้องน้ำ ตรงหน้าก่อนถึงประตู ผมเกิดลื่นล้ม แต่ยังโชคดี
ผมหมายถึงผมเกือบตายตอนล้มฟาดพื้น แต่ยังดีที่ผมล้มตะแคงข้าง มันน่าขำดี ผมรู้สึกดีขึ้น หลังจากลื่มล้มไป เป็นอย่างนั้นจริง ๆ แขนของผมเจ็บจากการล้ม แต่ก็ไม่มีความรู้สึกมึนงงอีกเลย
มันเป็นเวลาเที่ยงสิบนาทีประมาณนั้น เมื่อผมออกไปยืนตรงประตูหน้ารอโฟบี้ ผมคิดว่าจะเป็นอย่างไรบ้างที่จะได้พบเธออีกเป็นครั้งสุดท้าย ในหมู่ญาติสนิท ผมคิดว่าอาจจะได้พบพวกเขาอีก ในอีกหลายปี ผมจะกลับบ้านตอนอายุได้สักสามสิบห้า
ผมนึกภาพไว้ ในกรณีที่ใครป่วยและต้องการพบผมก่อนที่พวกเขาจะตายจากไป แต่นั่นก็เป็นเพียงสาเหตุเดียวที่ผมจะออกจากกระต๊อบและกลับบ้านผมรู้ว่าแม่ผมจะเกิดอาการประสาทขนาดหนัก และร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรอ้อนวอนให้ผมกลับมาอยู่บ้าน และไม่กลับไปอยู่ที่กระต๊อบ
แต่ถึงยังไงผมก็จะไปอยู่ดี ผมจะทำตัวตามสบายสุด ๆ ปลอบโยนแม่ให้สงบจิตสงบใจ แล้วก็เดินไปอีกฟากของห้องนั่งเล่น เอาบุหรี่ออกจากกล่อง จุดไฟแช็กสูบบุหรี่ โอ้โห สุดเท่เป็นบ้า
ผมจะชวนพวกเขาทั้งหมดมาเยี่ยมผมในบางโอกาสถ้าพวกเขาอยากจะมาเยี่ยมมาหา แต่ผมจะไม่รับรองอะไรทั้งสิ้น สิ่งที่ผมจะทำ ผมอนุญาตให้โฟบี้ออกมาเยี่ยมผมในช่วงฤดูร้อน และช่วงเทศกาลคริสต์มาสและว้นอีสเตอร์ และให้ ดี.บี.แวะมาเยี่ยมได้บางครั้งบางคราว ถ้าเขาชอบสถานที่ที่รื่นรมย์ สงบวิเวก สำหรับเขียนนวนิยาย แต่เขาจะต้องไม่เขียนบทหนังในกระต๊อบของผมเด็ดขาด ทำได้แต่นิยายและวรรณกรรมเท่านั้น
ผมมีกฎนี้เพื่อไม่ให้ใครทำอะไรที่โกหกปลิ้นปล้อนเมื่อมาเยี่ยมผม ถ้าใครพยายามฝืนทำสิ่งใดก็ตามที่เป็นสิ่งจอมปลอมเหลวไหลไร้แก่นสารพวกเขาก็จะพักอยู่ด้วยไม่ได้
ในทันใด ผมดูนาฬิกาที่ห้องขายตั๋ว อีกยี่สิบห้านาทีถึงบ่ายโมง ผมเกิดอาการหวาดผวาว่าสุภาพสตรีสูงวัยในโรงเรียนจะบอกกับสตรีอีกคนหนึ่งว่า ไม่ต้องเอาโน้ตไปฝากโฟบี้ ผมเริ่มระแวงอย่างมาก ผมต้องการพบโฟบี้ก่อนจะเดินทาง ผมยังถือเงินคริสต์มาสของเธออยู่เลย
ในที่สุดผมก็ได้พบเธอ ผมเห็นเธอผ่านทางกระจกบานประตู ที่ผมเห็นเธอทันใด เพราะเธอสวมหมวกล่าสัตว์ คุณมองเห็นหมวกใบนั้นชัดเจนเลยแม้ห่างไปนับสิบไมล์ล่ะ
ผมออกจากประตูและลงทางบันไดหินไปพบเธอ สิ่งที่ผมเข้าใจได้เธอมีกระเป๋าใบโต เธอเพิ่งข้ามถนนฟิฟท์อะเวนิว และเธอกำลังลากกระเป๋าใบโตขึ้นมาด้วย เธอแทบลากไม่ไหวตอนผมเข้าไปใกล้ ผมเห็นว่าเป็นกระเป๋าใบเก่าของผมนั่นเอง ใบหนึ่งที่ผมเคยใช้ใส่หนังสือไปเรียนที่วูตัน ผมนึกไม่ออกเลยว่าเธอเอามาทำอะไร
“หวัดดี” เธอพูดเมื่อผมใกล้เข้าไป เธอแทบหายใจไม่ทันจากการลากกระเป๋าใบนั้น
“พี่คิดว่าน้องจะไม่มาเสียอีกแน่ะ” ผมพูด
“อะไรอยู่ในกระเป๋ามากมายหือ พี่ไม่ต้องการอะไรเลยนะ พี่แค่จะไปตามทางของพี่เองพี่เอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่สถานีรถไฟไปยังไม่ได้เลย แล้วนั่นน้องเอาอะไรใส่ในกระเป๋าอีกล่ะ”
เธอวางกระเป๋าลง “เสื้อผ้าของหนูเอง” เธอละล่ำตอบ
“หนูจะไปด้วยกับพี่ได้ป่าว โอเคมั้ย”
“หาอะไรนะ” ผมตกใจ แทบล้มทั้งยืนเมื่อได้ยินเธอพูดแบบนั้น ผมสาบานต่อหน้าพระเจ้าเลยว่าเป็นอย่างนั้น ผมเกิดความมึนงงและพะอืดพะอมอยากจะอาเจียนอีกแล้ว
“หนูเอามันลงมาทางลิฟต์ด้านหลัง ชาร์ลีนจะได้ไม่เห็นหนู มันไม่หนักสักเท่่าไหร่เลย ข้างในมีแค่เสื้อผ้าสองชุดและรองเท้ามอคคาซินส์ และชุดชั้นใน ถุงเท้าของกระจุกกระจิกอีกนิดหน่อยน่ะ ดูสิ มันไม่เห็นจะหนักอะไรเลย ลองยกดูสิ__หนูไปด้วยกับพี่นะ โฮลเด้นได้มั้ย ขอร้องล่ะ”
“ไม่ หยุดพูดเดี๋ยวนี้”
ผมคิดว่าผมกำลังจะเกิดอาการวิงเวียนหน้ามืดวูบล้มอีก มันไม่ใช่ผมบอกให้เธอหุบปาก แต่ผมคิดว่าผมแทบเป็นลมวูบล้มอีกหน
“ทำไมไม่ได้ล่ะ ได้โปรด โฮลเด้น หนูจะไม่ทำอะไร หนูแค่ไปกับพี่เท่านั้นแหละ หนูไม่เอาเสื้อผ้าหนูไปด้วยก็ได้ ถ้าพี่ไม่ต้องการให้หนูเอาไป__หนูจะเอาไปแค่__”
“น้องเอาอะไรไปไม่ได้ทั้งนั้น เพราะว่าน้องจะไปด้วยไม่ได้ พี่จะไปคนเดียวลำพัง เงียบซะ”
“ได้โปรดเถอะ โฮลเด้น ให้หนูไปด้วยนะ หนูจะทำตัวดี ๆ พี่จะไม่ต้อง__”
“น้องไปไม่ได้ หยุดพูดเลยเดี๋ยวนี้ เอากระเป๋านั่นมานี่”
ผมพูดพร้อมกับดึงกระเป๋าจากเธอ ผมเกือบจะคะมำล้มกระแทกเธอ ผมอยากจะตีเธอสักทีสองที ผมจะทำอย่างนั้นจริง ๆ
เธอสะอึกสะอื้นแล้วปล่อยโฮ
“พี่ว่าน้องควรจะอยู่เล่นละครของโรงเรียนนะ พี่คิดว่าน้องควรอยู่รับบทเบเนดิคท์ อาร์โนลด์ ในละครมากกว่า” ผมบอกเธอด้วยน้ำเสียงขุ่นขึ้ง
“น้องต้องการอะไรหา ไม่อยากเล่นละครเหรอ ให้ตายสิ”
นั่นยิ่งทำให้เธอร้องไห้หนักขึ้น ผมกลับยินดีเสียอีก อยากให้เธอร้องไห้จนดวงตาชุ่มโชกนองน้ำตา ผมเกือบชิงชังเธอไปเลยคิดว่าผมเกลียดเธอมากที่สุดก็ตรงที่เธอไม่อยากจะเล่นละครอีกถ้าเธอต้องไปกับผม
“เอาเถอะน่า”
ผมพูด ขณะเริ่มก้าวเดินไปทางพิพิธภัณพ์อีกครั้ง ผมวาดภาพสิ่งที่ผมทำคือ ผมจะไปฝากกระเป๋าใบที่เธอนำมา ที่ห้องขายตั๋ว และจากนั้นเธอจะมาเอาคืนในตอนบ่ายสามโมงหลังโรงเรียนเลิก ผมรู้ว่าเธอจะไม่นำกลับไปโรงเรียนอีก
“มาสิ เดี๋ยวนี้” ผมเรียก
เธอไม่ตามผมมา เธอไม่ยอมมากับผม ยังไงผมก็ต้องไป นำกระเป๋าจากห้องขายตั๋วมาตรวจดู แล้วก็ลงมาอีก เธอยังคงยืนนิ่งอยู่ที่นั่นตรงทางเดิน แต่หันหลังให้ผมตอนที่ผมกลับมาหาเธอ เธอทำอย่างนั้น่ เธอสามารถหันหลังให้คุณได้เมื่อเธอรู้สึกอยากทำ
“พี่จะไม่ไปไหนอีกแล้ว พี่เปลี่ยนใจแล้วล่ะ ฉะนั้นเลิกร้องไห้แล้วเงียบซะ” ผมบอก ส่วนที่น่าขันคือเธอไม่ยอมหยุดร้องไห้ ตอนที่บอกเธอไป ผมเลยพูดอีก
“เอาน่า พี่จะเดินไปส่งถึงโรงเรียน เอาน่า เดี๋ยวก็ไปไม่ทันเวลาชั่วโมงเรียนหรอก”
เธอไม่ตอบผมเลยสักคำ ผมอยากจะกุมมือของเธอ แต่เธอไม่ยอมเธอยังคงหันหลังให้ผม
“น้องกินอาหารเที่ยงแล้วหรือยัง น้องกินมื้อเที่ยงรึยังฮึ” ผมถามเธอ
เธอไม่ตอบอีก เธอทำเพียงแค่ถอดหมวกล่าสัตว์สีแดง ใบที่ผมให้เธอ และโยนใส่หน้าผม จากนั้นเธอหันหลังใส่ผมอีก มันแทบจะทำให้ผมตายได้ แต่ผมไม่พูดอะไรอีก ผมหยิบหมวกขึ้นมาและยัดใส่กระเป๋าเสื้อโค้ต
“เถอะน่า นี่พี่จะเดินไปส่งโรงเรียนนะ” ผมพูด
“หนูไม่กลับโรงเรียนหรอก”
ผมไม่รู้จะพูดอะไรเมื่อเธอเอ่ยอย่างนั้นออกมา ผมยืนอยู่ตรงนั้นสองสามนาที
“น้องควรกลับไปโรงเรียน น้องต้องการเล่นละครนั้นไม่ใช่หรือน้องอยากเล่นเป็นเบเนดิคท์ อาร์โนลด์ ไม่ใช่หรือ”
“ไม่”
“ใช่แน่นอน น้องเล่นแน่ มาสิ ไปกันเถอะ” ผมบอก
“ประการแรกพี่จะไม่ไปที่ไหนอีกแล้ว บอกแล้วไง พี่จะกลับบ้านท้นทีที่น้องกลับเข้าโรงเรียน ก่อนอื่นพี่ต้องไปเอากระเป๋าที่สถานีรถไฟก่อน จากนั้นพี่จะตรงไปยัง__”
“หนูพูดแล้วว่าจะไม่กลับไปโรงเรียน พี่จะทำอะไรก็ตามใจพี่ แต่หนูจะไม่กลับไปโรงเรียน” เธอว่า
“ดังนั้นเงียบซะ”
เป็นหนแรกที่เธอสั่งให้ผมหุบปาก มันช่างน่าสยดสยองจังเลย พระเจ้า ช่างน่าสะพรึงกลัวเหลือเกิน มันเลวร้ายกว่าการพูดสบถซะอีก เธอยังไม่มองผมด้วยเช่นเดิม และทุกครั้งผมอยากจะจับไหล่เธอ เธอสะบัดหนี
“ฟังนะ อยากไปเดินเล่นกันมั้ย” ผมชวน
“น้องอยากเดินไปเรื่อย ๆ จนถึงสวนสัตว์มั้ย ถ้าพี่ยอมให้น้องไม่ต้องกลับเข้าโรงเรียนบ่ายนี้และออกไปเดินเล่นกัน น้องจะเลิกทำอย่างนี้ได้มั้ย”
เธอไม่ยอมตอบผม ผมจึงพูดย้ำอีก
“ถ้าพี่ให้น้องไม่ต้องกลับเข้าเรียนบ่ายนี้ และไปเดินเล่นกัน น้องจะเลิกทำปั้นปึ่งได้มั้ย พรุ่งนี้น้องจะยังกลับไปโรงเรียนเหมือนเด็กหญิงที่น่ารักหรือเปล่า”
“หนูอาจจะหรืออาจไม่ก็ได้นะ”
เธอตอบ จากนั้นก็วิ่งปรื๋อตัดข้ามถนนโดยไม่มองดูรถราแล่นผ่านไปมาหรือไม่ เธอเป็นคนทำอะไรโดยไม่คิดเป็นบางครั้ง
ผมไม่วิ่งตามเธอ ผมรู้หรอกว่าเธอจะแอบตามผม ผมเริ่มต้นเดินไปทางที่มุ่งหน้าไปยังสวนสัตว์ตามถนนด้านสวนสาธารณะเธอไม่ได้มองมาที่ผม แต่ผมบอกได้เลยว่าเธออาจแอบจ้องมองจากตรงหัวมุมด้วยสายตาชอบสอดส่องว่าผมกำลังไปไหน
อย่างไรก็ตาม เรายังคงเดินไปตามทางที่ตรงไปยังสวนสัตว์ สิ่งหนึ่งที่รบกวนผมคือตอนที่รถเมล์พ่วงวิ่งมาตามถนน ดังนั้นผมไม่สามารถมองข้ามถนนและมองไม่เห็นว่าเธออยู่ตรงไหน แต่เมื่อเราไปถึงสวนสัตว์ ผมร้องเรียกเธอ
“โฟบี้ พี่จะไปสวนสัตว์ล่ะนะ มาสิ เร็ว”
เธอยังแสร้งไม่มองผม แต่บอกได้เลยว่าเธอได้ยินเสียงผม และเมื่อผมเริ่มต้นลงไปตามขั้นบันได่ไปยังสวนสัตว์ ผมเหลียวกลับไปมอง เห็นเธอกำลังข้ามถนนและเดินสะกดรอยตามผมมา
ที่สวนสัตว์ยังไม่ค่อยมีคนนัก เพราะเป็นวันที่อากาศไม่ค่อยดีนัก แต่ยังพอมีคนรอบ ๆ สระว่ายน้ำของสิงโตทะเล ผมเดินเลียบเคียงจะผ่านเลยไป แต่โฟบี้หยุดและทำเหมือนว่ากำลังดูสิงโตทะเลกินอาหาร มีพนักงานสวนสัตว์คนหนึ่งโยนปลาให้พวกมัน ผมเลยหันกลับ
ผมคิดว่ามันเป็นโอกาสที่ดีที่จะเข้าไปหาเธอ ผมเดินไปหาและยืนอยู่ข้างหลังเธอพร้อมกับแตะไหล่ แต่เธอย่อตัวลงหลบวูบหนีมือผม
ผมบอกคุณแล้วไงว่าเธอเป็นคนที่โกรธมากถ้าเธออยากจะโกรธ เธอยังยืนอยู่ตรงนั้น ระหว่าง ที่สิงโตทะเลกำลังกินอาหาร ผมไม่เอามือไปแตะไหล่เธออีก หรือทำอะไรทั้งนั้นเพราะว่าถ้าผมทำ เธอจะเดินหนีผมไปเลยจริง ๆ เด็ก ๆ ช่างมีอะไรน่ารักน่าชังแบบนี้เสมอแหละ คุณจะต้องระวังว่าคุณกำลังจะทำอะไร
เธอไม่ยอมเดินใกล้กับผมตอนที่เราออกจากที่เลี้ยงสิงโตทะเล แต่เธอก็เดินไม่ห่างไปมากนัก เธอจะเดินคนละด้านของทางเดิน ขณะที่ผมเดินอยู่อีกฟากหนึ่ง มันไม่น่าดูเลย แต่ก็ยังดีกว่าเธอเดินห่างเป็นไมล์จากผม
ก่อนหน้านั้นเราเดินไปดูหมี อยู่บนภูเขาลูกเล็ก ๆ ชั่วครู่หนึ่ง แต่ไม่มีอะไรน่าดูนัก เพียงแค่หมีตัวหนึ่งอยู่ด้านนอก เป็นหมีขั้วโลก อีกตัวหนึ่ง สีน้ำตาล กำลังอยู่ในถ้ำไม่ยอมออกมา เห็นเพียงแค่ส่วนหลังตรงบั้นท้ายของมัน มีเด็กเล็กคนหนึ่งยืนถัดจากผม สวมหมวกคาวบอยอย่างกระชับเหนือใบหู เขาพร่ำกับพ่อของเขาว่า
‘ทำให้มันออกมาหน่อยสิครับ พ่อครับ เรียกมันออกมาหน่อยครับ’
ผมมองไปทางโฟบี้ แต่เธอไม่เห็นขันเลยคุณก็รู้จักเด็ก ๆ เวลาที่พวกเขาเกิดขุ่นเคืองใส่คุณ พวกเขาจะไม่หัวเราะหรืออะไรเลย
หลังจากเราผ่านบริเวณเลี้ยงหมีแล้ว เราออกจากสวนสัตว์แล้วข้ามถนนเล็ก ๆ ในสวนสาธารณะ จากนั้นเราก็ผ่านทะลุไปถึงทางช่องอุโมงค์เล็ก ๆ ที่มีกลิ่นฉี่หึ่ง
มันเป็นทางไปยังเครื่องเล่นม้าหมุน โฟบี้ยังคงไม่ยอมพูดกับผม แต่เธอเริ่มค่อยขยับใกล้ผมบ้างแล้ว ผมเอื้อมมือไปจับเข็มขัดด้านหลังของเสื้อโค้ตของเธอ เพียงแค่นั้นเองแต่เธอก็ไม่ยอม เธอพูด
“เอามือออกเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ว่าอะไร”
เธอยังคงมึนตึงอยู่ แต่ไม่ได้โกระมากเหมือนตอนก่อนนี้ อย่างไรก็ตาม เราขยับเข้าใกล้กันเรื่อย ๆ ไปยังม้าหมุนและคุณได้ยินเสียงดนตรีที่มักเปิดกับเครื่องเล่นของเด็ก ๆ มันคือเพลง ‘โอแมรี่่’ มันเป็นเพลงเก่าที่เปิดกันมากตั้งแต่สักห้าสิบปีที่แล้วมั้ง ตอนที่ผมยังเล็กๆ สิ่งหนึ่งที่ดูน่ารักดีเกี่ยวกับม้าหมุน พวกเขามักจะเล่นเพลงเดิม ๆ ล่ะ
“หนูคิดว่าม้าหมุนเลิกไปแล้วในช่วงฤดูหนาว”
โฟบี้พูดขึ้นเป็นหนแรกเธอเอ่ยออกมา เธอคงลืมไปว่ายังโกรธผมอยู่
“อาจจะเป็นเพราะมันเป็นช่วงเทศกาลคริสต์มาส” ผมพูด
พอผมพูดเธอก็เงียบ่ คงนึกขึ้นได้ว่ายังไม่หายโกรธผม
“อยากไปนั่งม้าหมุนหรือเปล่าล่ะ”
ผมถาม ผมรู้ว่าเธอชอบ ตอนที่เธอยังเล็ก ๆ และแอลลี่ กับ ดี.บี. กับผมเคยไปสวนสาธารณะกับเธอ เธอคลั่งไคล้เจ้าม้าหมุนเอามาก ๆ คุณแทบแกะเธอออกจากเจ้าเครื่องเล่นบ้านั่นไม่ได้
“หนูตัวโตเกินไปแล้ว”
เธอพูด ผมคิดว่าเธอคงไม่ได้จะตอบผมหรอก แต่เธอก็พูดออกมาแล้ว
“ไม่เลย น้องไม่ได้โตเกินไปหรอกน่า ไปสิ พี่จะคอย ไปเลย” ผมบอก
เธอตรงไปที่ม้าหมุนทันที มีเด็กเล็กๆไม่กี่คนนั่งขี่อยู่เกือบทุกคนเป็นเด็กเล็ก ผู้ปกครองมาสองสามคน ยืนอยู่รอบๆ ด้านนอก นั่งบนม้ายาวบ้าง สิ่งที่ผมทำขณะนั้นผมเดินไปที่่ห้องขายตั๋วและซื้อตั๋วให้โฟบี้ จากนั้นผมเอาไปให้เธอ “เอานี่” ผมเอ่ย“รอสักครู่ เอาเงินน้องไปเลยทั้งหมด” ผมหยิบเงินที่เธอให้ยืมมาคืนเธอไม่หมด
“พี่เก็บไว้ เก็บไว้ให้หนูด้วย” เธอพูด จากนั้นเธอก็พูดอีกว่า
“__ได้โปรด”
นั่นทำให้สลดใจมากตอนที่ใครบางคนบอกว่า “ได้โปรด” กับคุณ ผมหมายถึงว่าถ้าเป็นโฟบี้หรือว่าใครก็ตาม นั้นทำให้ผมห่อเหี่ยวใจมาก แต่ผมก็ยัดเงินใส่กระเป๋าของผม
“พี่จะไม่ขี่ม้าด้วยกันเหรอ”
เธอถามผม เธอมองผมแล้วก็ยิ้มขัน คุณบอกได้เลยว่าเธอไม่ได้เคืองผมแล้วตอนนี้
“พี่อาจจะขี่รอบหน้า พี่จะดูน้องก่อน” ผมบอก “ได้ตั๋วแล้วหรือ”
“จ้ะ”
“ไปได้เลย พี่จะอยู่ที่ม้านั่งตรงโน้นนะ พี่จะคอยมองดูนะ”
ผมเดินไปนั่งลงที่ม้านั่ง และเธอก็ขึ้นไปขี่ม้าหมุน เธอเดินไปรอบ ๆ ผมหมายถึงว่าเธอเดินวนเวียนรอบหนึ่งจากนั้นเธอก็นั่งลงบนม้าตัวสีน้ำตาล ดูเหมือนม้าแก่ แล้วม้าหมุนก็เริ่มออกหมุน ผมมองเธอหมุนไปรอบแล้วรอบเล่า มีเด็ก ๆ เพียงห้าหรือหกคนที่ขี่อยู่ด้วย และเพลงที่ม้าหมุนเปิดคลอประกอบคือ ‘สโม้ค เก็ตส์ อิน ยัวร์ อายส์’ มันเป็นเพลงแนวแจ๊ซฟังน่าสนุกดี
เด็ก ๆ ทั้งหมดพยายามคว้ารวบวงแหวนทอง รวมทั้งโฟบี้กับเขาด้วย และผมก็หวาดกลัวว่าเธอจะหล่นจากหลังม้า แต่ผมก็ไม่ได้พูดหรือทำอะไร
สิ่งหนึ่งเกี่ยวกับเด็กๆ คือถ้าพวกเขาต้องการจะคว้าห่วงทอง คุณต้องปล่อยให้เขาทำไป และอย่าพูดเอะอะอีกเป็นอันขาด ถ้าเขาจะหล่นก็ปล่อยให้หล่น แต่มันจะแย่ยิ่งกว่าถ้าคุณไปห้ามไปพูดอะไรกับพวกเขา
เมื่อม้าหมุนหมดรอบ เธอลงจากหลังม้าและเดินมาหาผม “พี่ขี่สักรอบสิ รอบนี้เลย” เธอชวน
“ไม่ล่ะ พี่ขอแค่ดูน้อง พี่คิดว่าแค่คอยดูก็พอแล้ว” ผมพูด ผมเอาเงินของเธอให้เธออีก “เอานี่ ไปซื้อตั๋วอีก”
เธอรับเงินจากผม “หนูจะไม่ดื้อกับพี่อีกแล้วจ้ะ” เธอพูด
“พี่รู้แล้วน่า เอ้าเร็ว มันจะเริ่มรอบใหม่แล้ว”
ทันใดนั้นเธอก็จูบผมฟอดหนึ่ง แล้วเธอก็กางแขนร้องว่า “ฝนตก ฝนกำลังเริ่มตก”
“พี่รู้แล้ว”
จากนั้นสิ่งที่เธอทำ มันทำให้ผมชุ่มฉ่ำหัวใจสุด ๆ เธอเอื้อมมือล้วงกระเป๋าเสื้อโค้ตของผม หยิบหมวกล่าสัตว์สีแดงออกมาสวมใส่ให้ผม
“น้องไม่ต้องการมันแล้วเหรอ” ผมถาม
“พี่ใส่ไปก่อนก็แล้วกัน”
“ก็ได้ เอ้าเร็วเข้า เดี่๋ยวนี้เลย เดี๋ยวน้องก็ขึ้นขี่ไม่ทันหรอก น้องยังไม่ได้ม้าของตัวเองเลยนะ”
เธอยังแกว่งไปมาอยู่
“พี่จะทำตามที่พูดหรือเปล่า พี่จะไม่ไปไหนอีกแล้ว พี่จะกลับบ้านหลังจากนี้ใช่มั้ย” เธอถามผม
“จ้ะ” ผมตอบอย่างหนักแน่น ผมไม่โกรธเธอหรอก ผมกลับบ้านแน่หลังจากนี้ “เร็วเข้า เดี๋ยวนี้” ผมเร่ง “เขาเริ่มแล้ว”
เธอวิ่งไปซื้อตั๋วและกลับไปขึ้นม้าหมุนทันพอดี จากนั้นเธอก็เดินวนไปรอบ ๆ จนเลือกม้า ที่เธอนั่งตัวก่อนได้อีก แล้วก็ขึ้นขี่เธอโบกมือให้ผมไปมา และผมก็โบกมือตอบ
ไอ้หนูเอ๋ย ฝนเริ่มตกหนักราวฟ้ารั่ว พวกผู้ปกครองและแม่ ๆ รวมทั้งทุก ๆ คนต่างเข้าไปยืนอยู่ใต้หลังคาของเครืองเล่นม้าหมุน จึงไม่เปียกโชกทั้งตัว แต่ผมยังคงนั่งอยู่กับม้านั่งสักพักหนึ่ง ผมเปียกโชก โดยเฉพาะตรงลำคอและกางเกง หมวกล่าสัตว์ยังพอช่วยป้องกันผมได้บ้าง แต่ผมก็โชกไปทั้งตัวอยู่ดี
ผมไม่สนใจหรอก ผมรู้สึกถึงความสุขอย่างมหันต์พลันบังเกิดขึ้นทันใด แบบที่โฟบี้ขี่ม้าหมุนไปรอบ ๆ ๆ ผมเหมือนลูกโบว์ลิ่ง รู้สึกมีความสุขอย่างมากมาย
ถ้าคุณต้องการรู้ความจริง ผมไม่รู้หรอกว่าทำไม มันแค่เธอมองดูน่ารักเป็นบ้า ในขณะที่เธอยังคงหมุนไปรอบ ๆ ในชุดเสื้อโค้ตสีน้ำเงิน
พระเจ้า ผมอยากให้คุณอยู่ที่นั่นด้วยจังเลย.