นายภูริภัทร บุญนิล ผู้สื่อข่าวไทยรัฐทีวี บอกเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดกับไทยรัฐออนไลน์ กรณีถูกขโมยทองคำและเงินสดที่อยู่ภายในกระเป๋าสัมภาระที่ฝากโหลดใต้ท้องเครื่องบินว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2561 ตัวเองได้นั่งเครื่องบินของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ เที่ยวบินที่ PG104 จากสนามบินสมุยปลายทางสนามบินสุวรรณภูมิ เที่ยวเวลา 07.45 น. เนื่องจากเดินทางไปติดตามทำข่าวคดีชาวอิสราเอลฆ่าเพื่อนร่วมชาติที่เกาะสมุย จังหวัดสุราษฏร์ธานี แต่บังเอิญว่าวันนั้นตื่นสายไปถึงสนามบินใกล้ถึงเวลาปิดให้เช็คอิน ทำให้เกิดความเร่งรีบเป็นอย่างมาก
ทั้งยังต้องติดต่อคืนรถและรีบเข้าไปเช็คอิน ทำให้ลืมเอาทองคำและเงินสดที่ใส่ไว้ในกระเป๋าเป้โหลดไปใต้ท้องเครื่องรวมทั้งหมดจำนวน 3 ใบด้วย โดยมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่อยู่บนเครื่องบินแล้ว จากนั้นเมื่อเดินทางมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เวลาประมาณ 08.50 น.จึงรีบลงจากเครื่องและเดินทางมารับกระเป๋าที่สายพานหมายเลข 2 แต่รอไปรอมาร่วมครึ่งชั่วโมงมีเพียงกระเป๋า 2 ใบที่เป็นของช่างภาพและขาตั้งกล้องโหลดขึ้นมาจากสายพานเท่านั้น แต่กระเป๋าเป้ของตัวเองยังไม่มา
ผู้โดยสารคนอื่นทั้งหมดได้รับกระเป๋าและเดินทางออกจากสนามบินไปแล้ว ตัวเองจึงติดต่อไปที่พนักงานที่อยู่บริเวณสายพานว่ายังไม่ได้รับกระเป๋าและมีการวิทยุติดตามกัน จากนั้นพนักงานเชิญให้ตัวเองเข้าไปนั่งในเลาจน์ที่เป็นจุดเคลมกระเป๋า โดยตัวเองนั่งรอประมาณ 20 นาทีพนักงานจึงเดินยกกระเป๋ามาให้ โดยตัวเองสังเกตเห็นสติ๊กเกอร์แถบของสนามบินมีการฉีกขนาดจึงบอกให้พนักงานคนดังกล่าวและพนักงานของบางกอกแอร์เวย์ยืนเป็นพยานพร้อมเปิดกระเป๋าช่องเล็กด้านหน้าที่ใส่ทองก็พบว่ากล่องและตัวทองหายไป ก่อนจะเปิดซิปกระเป๋าก็พบว่าในซองเงินมีการฉีกขาดและรอยยับ เงินสด 5000 บาทของตัวเองหายไป
ส่วนเงินของบริษัทประมาณ 1900 บาทยังอยู่ ซึ่งเงินจำนวนนี้ถูกปิดทับด้วยใบเสร็จต่างๆระหว่างทำข่าวทำให้คนร้ายไม่สามารถเห็นได้ จากนั้นจึงติดต่อเจ้าหน้าที่เคลมกระเป๋าของบางกอกแอร์เวย์ โดยทั้งหมดไม่ได้ให้ความช่วยเหลือหรืออำนวยความสะดวกแต่อย่างใด บางคนยังใช้คำพูดไม่เหมาะสมในการให้บริการ พร้อมบอกให้เขียนคำร้องไว้แล้วรอการติดต่อกลับ ตัวเองไม่เชื่อเพราะมีลักษณะนี้เกิดขึ้นกับช่างภาพและคนอื่นเยอะจึงไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรท่าอากาศยานสุวรรณภูมิทันที
ระหว่างที่อยู่ภายใน สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ตั้งแต่เวลา 09.00 น. ถึงเวลาประมาณ 17.00 น. ไม่มีเจ้าหน้าที่ของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ติดต่อมาให้ความช่วยเหลือ มีเพียงตำรวจและการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยเท่านั้นที่มาสอบถามและติดตามเรื่องเป็นระยะ จนกระทั่งข่าวเริ่มแพร่สะพัดกระจายออกไป ทำให้เวลาประมาณ 17.00 น. มีผู้จัดการฝ่ายบริการผู้โดยสารภาคพื้นสถานีกรุงเทพฯของสายการบินมาพูดคุยด้วย พร้อมเสนอเงินค่าทำขวัญและค่าเสียเวลาจำนวน 20,000 บาทและให้เซ็นเอกสาร แต่ตัวเองปฎิเสธในการรับเงินจำนวนนี้เพราะต้องการให้หาตัวคนผิดมาลงโทษให้ได้ และมีการดูแลจนกระทั่งเวลาประมาณ 21.00 น. จึงเดินทางออกจากสนามบินสุวรรณภูมิกลับที่พัก
ขณะที่วันต่อมาคือวันที่ 26 มกราคมช่วงเช้าไม่มีความคืบหน้าใดๆกลับมา ตัวเองจึงโทรศัพท์ไปสอบถามกับฝ่ายประชาสัมพันธ์ของสายการบินเนื่องจากรับอาสาติดตามเรื่องให้ แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวใช้คำพูดไม่เหมาะสมในลักษณะไม่พอใจใส่อีกครั้ง ตัวเองจึงตอบกลับไปและบอกว่าหลังจากนี้จะไม่พูดคุยหรือตกลงอะไรกันอีก จนกระทั่งเวลาประมาณ 16.00 น.ทางคุณแววตา ชัยพล ผู้อำนวยการแผนกบริหารลูกค้าสัมพันธ์และประสบการณ์ พร้อมด้วยคุณอริสรา แสงฤทธิ์ ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายสื่อมวลชนสัมพันธ์ เดินทางมาเข้าพบเพื่อมอบช่อดอกไม้และขอโทษกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด โดยบอกว่าขณะนี้รอขั้นตอนการทำงานของตำรวจที่จะสรุปสำนวนส่งให้กับสายการบินก่อนที่จะมีกระบวนการเยียวยาเพื่อชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้น
พร้อมบอกว่าโดยระหว่างนี้สายการบินจะรับผิดชอบเรื่องการเดินทางทั้งในและต่างประเทศหากมีแผนในการเดินทางไปใหน แต่ตัวเองก็ยังคงปฎิเสธที่จะรับข้อเสนอนี้ จากนั้นวันที่ 28 มกราคม ตัวเองจึงเดินทางเข้าพบ พลตำรวจเอกวิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อบอกเล่าและพูดคุยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ซึ่งเหตุการณ์นี้ตัวเองไม่ใช่รายแรกและรายสุดท้าย เนื่องจากยังคงมีผู้เสียหายรายอื่นที่ถูกขโมยทรัพย์สินที่โหลดไปกับท้องเครื่องวันนึงหลายสิบคน โดยมีการทำเป็นขบวนการ ทำให้ส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของประเทศ และอยากให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองเป็นเหตุการณ์ที่สามารถจับกุมขบวนการขโมยทรัพย์สินของผู้โดยสารได้ เพื่อที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว โดยตำรวจใช้เวลาเพียง 4 วันในการสืบสวนติดตามตัวคนร้าย
จนกระทั่งวันที่ 29 มกราคม ระหว่างที่ตัวเองกำลังรอขึ้นเครื่องเพื่อเดินทางไปต่างประเทศ พลตำรวจเอกวิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โทรศัพท์มาบอกว่ามีข่าวดีสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้แล้ว โดยเป็นเจ้าหน้าที่ขนถ่ายสัมภาระของสายการบินเอง ซึ่งก่อเหตุขณะเข้าไปขนกระเป๋าใต้ท้องเครื่องมาที่รถขนกระเป๋า โดยคนร้ายจับกระเป๋าและรู้ว่ามีทองอยู่ภายในจึงรีบขโมยออกไป แต่เงินสด 5000 บาท คนร้ายอ้างว่าไม่ได้เป็นคนขโมยแต่อย่างใด โดยรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งการให้ชุดสืบสวนขยายผลหาหัวหน้าขบวนการใหญ่ที่เป็นขบวนการขโมยทรัพย์สินสัมภาระของผู้โดยสารให้ได้ทั้งหมด
วันนี้จะนำตัวผู้ต้องหาไปตรวจค้นที่ห้องพักเพื่อเอาทองที่ลักขโมยไปของตัวเองคืนมา และตรวจสงค้นหาทรัพย์สินของผู้โดยสารคนอื่นที่เชื่อว่าผู้ต้องหาน่าจะลักขโมยไปกลับมาด้วย ขณะที่นายภูริภัทร บุญนิล ผู้เสียหายบอกเพิ่มเติมว่า ตัวเองมีความเชื่อมั่นอยู่แล้วว่าคนร้ายต้องเป็นคนในสายการบินเองและตำรวจจะสามารถติดตามตัวคนร้ายได้อย่างแน่นอน ถึงแม้จุดที่คนร้ายขโมยจะไม่มีกล้องวงจรปิดก็ตาม
ขณะที่จุดอื่นๆในสนามบินถึงแม้จะมีกล้องแต่คนร้ายที่ทำงานทุกวันย่อมรู้มุมกล้องว่าจะขโมยทรัพย์สินอย่างไรจะทำให้กล้องไม่สามารถจับภาพได้และไม่มีความผิด ซึ่งเรื่องนี้สายการบินไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ตัวของเจ้าหน้าที่เองที่ทุจริตต่ออาชีพทำให้สายการบินต้องได้รับความเสียหาย ส่วนหนึ่งก็เกิดจากความประมาทของตัวเองที่ไม่รอบคอบจนทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น แต่กระเป๋าสัมภาระเป็นของเราและทรัพย์สินภายในก็เป็นของเรา ไม่ว่าเจ้าหน้าที่ส่วนใหนก็ไม่มีสิทธิ์เข้ามาตรวจค้นโดยที่เราไม่รู้และไม่ได้อนุญาติ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ตัวเองหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถปราบปรามจับกุมแก๊งนี้ได้ทั้งขบวนการ และให้ทุกสายการบินมีมาตรการลงโทษอย่างเด็ดขาดไม่ให้เจ้าหน้าที่มาก่อเหตุในลักษณะนี้อีก