Wednesday, April 24, 2024
More
    Homeข่าวเด่นรอบวันตำรวจพีซีทีลุยกัมพูชาค้น2จุดทลายแก๊งคอลเซนเตอร์

    ตำรวจพีซีทีลุยกัมพูชาค้น2จุดทลายแก๊งคอลเซนเตอร์

    “ตำรวจ PCT ทลายออฟฟิศใหญ่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา หลังพบหลอกเป็น สภ.เมืองเชียงใหม่ และDHL Fed EX”

    วันที่24 มี.ค.65เวลา 10.30 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอส.ตร.) หรือ PCT: Police Cyber Taskforce, พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.ภ.2/หัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ 5 PCT, พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง ผกก.(สอบสวน) บก.สส.ภ.2

    ร่วมแถลงผลการจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์รายใหญ่ จับกุมผู้ต้องหา 28 ราย ช่วยเหลือเหยื่อคนไทย 5 ราย อยู่ระหว่างคัดแยกอีก 28 ราย รวม 61 ราย ใจกลางเมืองพระสีหนุ หลังสืบทราบว่า หลอกเป็นตำรวจ สภ.เมืองเชียงใหม่ และ พนักงาน DHL Fed EX ผู้เสียหายจำนวนมาก

    พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ เปิดเผยว่าพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. สั่งการให้ขยายผลจับกุมเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทุกราย คดีนี้มอบหมายให้ พล.ต.ต.ธีรเดช  นำทีมสืบสวนจนทราบแหล่งกบดานของเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์รายนี้

    ใช้อาคารในเมืองพระสีหนุ เป็นฐานปฏิบัติการ  สั่งการให้ชุดปฏิบัติการ ฯไปยังประเทศกัมพูชาประสานขอความร่วมมือกับตำรวจประเทศกัมพูชา


    พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวต่อว่าในวันที่ 20 มี.ค.65 เวลาประมาณ 14.00 น. พล.ต.อ.Sar Theth รอง ผบ.ตร.แห่งกัมพูชา  สั่งการให้ พล.ต.ท.Wan Wera ผู้ช่วย ผบ.ตร.ฯ พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดพระสีหนุ สนธิกำลังกับตำรวจฝ่ายไทย นำกำลังเข้าตรวจค้นออฟฟิศแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 2 แห่ง ในจังหวัดพระสีหนุ

    จุดที่ 1 โรงงานร้างไม่มีเลขที่ ถนนSantepheap จ.พระสีหนุ  จุดนี้จะมีแผนประทุษกรรมในการหลอกลวงโดยการโทรศัพท์ไปหาเหยื่อแล้ว “อ้างว่ามีพัสดุจากบริษัทขนส่ง DHL หรือ FedEX และถูกด่านของกรมศุลกากรอายัดไว้และมีสิ่งของผิดกฏหมาย

    จากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองเชียงใหม่ ติดต่อไปเพื่อรตรวจสอบบัญชีหรือตรวจสอบการเงินเพื่อหลอกลวงให้ผู้เสียหายโอนเงินให้ โดยใช้รูปโปรไฟล์ในแอพพลิเคชั่นเป็น พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุด ผบ.ตร. แอบอ้างทำให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อ

    ผลตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหา 28 คนเป็นบุคคลที่ถูกออกหมายจับไว้แล้วทั้งหมด คือ
    นายซิน ฮัง เต หรือนายอาเต๋อ อายุ 28 ปี สัญชาติจีน (ไต้หวัน) หัวหน้าใหญ่, นายจาง เจียน เทียน หรือนายอาหู อายุ 41 ปี สัญชาติจีน (ไต้หวัน) หัวหน้าใหญ่ และ นายพรศักดิ์ รีพล อายุ 30 ปี สัญชาติไทย พร้อมพวกคนไทยอีก 25 คน

    ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นบุคคลอื่น ร่วมกันเป็นอั้งยี่ร่วมกันเป็นซ่องโจร มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ร่วมกันฟอกเงิน” นอกจากนี้ยังตรวจค้นพบพยานหลักฐานสำคัญ คือ

    1.โทรศัพท์มือถือยี่ห้อ Iphone 30 เครื่อง
    2.วิทยุสื่อสาร 8 เครื่อง
    3.คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค 4 เครื่อง
    4.สคลิปเตรียมบทพูดเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองเชียงใหม่ , เจ้าหน้าที่จาก DHL และ FedEx
    5.เอกสารหมายจับศาลจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นเอกสารปลอม
    6.เอกสารหมายจับศาลอาญา ซึ่งเป็นเอกสารปลอม
    7.เอกสารหมายเรียกของสำนักคดีการเงินการธนาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งเป็นเอกสารปลอม

    จุดที่ 2 อาคาร Diwei Entertainment City ถนน 2 Thnou เมืองพระสีหนุ  เปิดเป็นบ่อนคาสิโนบังหน้า ลักลอบทำแก๊งคอลเซ็นเตอร์บนชั้น 5 ของตึก  จุดนี้จะมีแผนประทุษกรรมในการหลอกลวงโดยการ “หลอกลวงให้หลงรักในแอปพลิเคชั่น Tinder

    จากนั้นชักชวนลงทุนเทรดเงินดิจิตัล โดยจะให้โอนเหรียญชนิด Usdt เข้าไปในกระดานเทรดเหรียญเถื่อน บางรายที่เทรดเป็นอยู่แล้ว  จะถูกชักจูงให้เทรดในโหมด Futures Trade ซึ่งมีความเสี่ยงสูง และหากผู้ถูกหลอกสามารถเทรดจนได้กำไรในพอร์ต ก็ไม่สามารถถอนเงินออกได้อยู่ดี

    ขั้นตอนสุดท้ายคือจะถูกหลอกให้เสียเงินภาษีเพื่อถอนเงินในพอร์ตออกมา แต่เมื่อผู้ถูกหลอกโอนเงินเข้าไปแล้ว ก็ไม่สามารถถอนเงินออกจากพอร์ตได้เลย” นอกจากนี้ ยังใช้วิธีการหลอกลวงให้ร่วมลงทุน กับการขายสินค้าแอ็พพลิเคชั่น Lazada ให้ผลตอบแทนสูง

    ผลตรวจค้น พบคนไทย 33 คนขณะกำลังทำงานคุยกับลูกค้า  จะต้องทำการคัดแยกต่อไปว่าใครเป็นเหยื่อ ใครเป็นผู้ต้องหา เบื้องต้นสอบถามมี 5 คนที่สมัครใจอยากกลับประเทศไทย  ได้ส่งตัวไปยังสถานกงสุลไทยในกัมพูชาเรียบร้อยแล้ว

    นอกจากนี้ยังตรวจค้นพบพยานหลักฐานสำคัญ คือ เครื่องคอมพิวเตอร์แบบ All in one 68 เครื่อง รวมทั้ง 2 จุด พบเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 61 คน คนจีน

    รอง ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า การเข้าตรวจค้นจับกุมในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยได้เตือนสติให้กับผู้ต้องหาถึงภัยอันตรายของการมาทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์  สุดท้ายจะถูกขายและถูกใช้แรงงานไม่ต่างจากทาส และจะวนเวียนในวัฏจักรดังกล่าวไม่จบไม่สิ้น และเมื่อกลับประเทศไปก็จะต้องถูกดำเนินคดีทุกราย

    หลังตรวจค้นจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจประเทศกัมพูชา ได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดดำเนินคดีตามกฎหมายในประเทศกัมพูชาก่อน และเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการตามกฎหมายของประเทศกัมพูชาแล้ว จะดำเนินการส่งตัวผู้ต้องหาให้ประเทศไทย

    ทั้งนี้ได้สั่งการให้พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่างผบช.ภ.2 , พล.ต.ต.อิทธิพร โพธิ์ทอง รอง ผบช.ภ.2 ,พล.ต.ต.ณัฐพงษ์ สัตยานุรักษ์ ผบก.ภ.จว.สระแก้ว เตรียมรอรับตัวผู้ต้องหา เพื่อดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป

    ที่ผ่านมา ได้รับความร่วมมือจากกงสุลประจำสถานทูตไทยในพนมเปญ โดยนายวรินทร ตันวิเชียร ประสานความร่วมมือระหว่างตำรวจกัมพูชา กับตำรวจไทย ในการช่วยเหลือคนไทย ทั้งที่เป็นเหยื่อถูกหลอกมาทำงาน และเป็นผู้ต้องหา โดยการจัดสวัสดิการที่พักและอาหารให้กับทุกคนในฐานะประชาชนคนไทย รอง ผบ.ตร.กล่าว

    ผอ.PCT ย้ำอีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความกังวลปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ปัจจุบันระบาดหนักและมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์หลากหลายรูปแบบ จึงสั่งการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งปราบปรามอย่างจริงจัง และหาแนวทางเสริมภูมิความรู้ให้กับประชาชน

    นับตั้งแต่เปิดศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ เมื่อวันที่ 1 มี.ค.65 จนถึงปัจจุบัน พบว่า มีผู้เสียหายแจ้งความออนไลน์ 4,649 ราย อันดับ 1 คือ คดีหลอกลวงด้านการเงิน 3,737 เรื่อง แบ่งเป็น
    – คอลเซ็นเตอร์ 460 เรื่อง
    – ปลอมโปรไฟล์คนหน้าตาดีหลอกให้ลงทุน (Hybrid Scam) 443 เรื่อง
    – ปลอมโปรไฟล์คนหน้าตาดีหลอกให้หลงรัก (Roman Scam) 70 เรื่อง
    – หลอกให้กู้เงิน 642 เรื่อง
    – แชร์ลูกโซ่ 251 เรื่อง
    – อื่นๆ 992 เรื่อง

    อันดับ 2 คือ “หลอกจำหน่ายสินค้าออนไลน์ 724 เรื่อง แบ่งเป็น
    – หลอกขายไม่ได้รับสินค้า 659 เรื่อง
    – หลอกขายสินค้าไม่ตรงกับที่สั่งซื้อ 105 เรื่อง
    – อื่นๆ 44 เรื่อง

    อันดับ 3 คือเฟคนิวส์ (Fake News) 87 เรื่อง จึงขอฝากเตือนว่าอย่าตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อง่ายๆ หากพบเบาะแสสามารถแจ้งข้อมูลได้ที่ศูนย์ PCT 081-8663000 หรือ สายด่วน บช.สอท. 1441 หรือ www.pct.police.go.th ตลอด 24 ชม. หรือผู้เสียหายสามารถแจ้งความผ่านระบบออนไลน์ได้ที่ www.thaipoliceonline.com

    RELATED ARTICLES
    - Advertisment -

    Most Popular

    Recent Comments