Sunday, May 19, 2024
More
    Homeบทความทั่วไปวรรณกรรมแปล “ผู้พิทักษ์ทุ่งข้าวไรย์” ตอน 6

    วรรณกรรมแปล “ผู้พิทักษ์ทุ่งข้าวไรย์” ตอน 6

    ตอน 6

    บางอย่างก็แทบจดจำไม่ได้

    ผมกำลังคิดถึงตอนที่เจ้าสแตรดเลเตอร์กลับจากเดทกับเจนมา ผมจำไม่ได้หรอกว่า ตอนนั้นผมกำลังทำอะไรอยู่ ตอนที่ได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำมาตามระเบียงทางเดิน บางทีผมคงจะมองออกไปนอกหน้าต่างกระมัง

    สาบานได้เลยผมจำอะไรไม่ได้จริง ๆ นั่นเองทำให้ผมรู้สึกกังวลใจมาก เมื่อรู้สึกเป็นกังวลกับอะไรบางอย่างผมไม่สามารถสลัดออกไปจากหัวได้เลยจนแทบไม่ยอมอาบน้ำ เพราะไม่อยากให้ขัดกับความรู้สึกวิตกกังวลนั้น

    ถ้าคุณรู้จักเจ้าสแตรดเลเตอร์ดี คุณก็จะมีความรู้สึกกังวลใจด้วยเหมือนกับผมแหละ ผมเคยไปกับเจ้าสแตรดเลเตอร์สักสองสามครั้ง ผมรู้ดีว่ากำลังพูดถึงอะไร มันเป็นคนไร้ศีลธรรมอย่างมาก

    แต่ว่าพื้นระเบียงปูพรมน้ำมันตลอด คุณต้องได้ยินเสียงฝีเท้าของมันกำลังตรงมายังห้องพัก ผมจำไม่ได้แม้กระทั่งว่าผมนั่งอยู่ตรงไหนขณะที่มันเข้ามาในห้อง เป็นที่หน้าต่างหรือที่เก้าอี้ของผมหรือของมันกันแน่นะ สาบานอีกล่ะว่าผมจำอะไรไม่ได้เลยในตอนนั้น

    มันเดินสั่นเป็นเจ้าเข้ามา เหมือนบอกให้รู้ว่าข้างนอกหนาวเหน็บปานใด แล้วมันก็เอ่ยถามว่า “เขาไปไหนกันหมด เหมือนกับโรงเก็บศพเลยแถวนี้”

    ผมไม่รู้สึกรำคาญหรอก แต่ก็ไม่อยากตอบ ถ้ามันจะไม่โง่เง่าขนาดที่ไม่รู้ว่านี่มันเป็นคืนวันเสาร์ ทุก ๆ คนออกไปข้างนอกหรือไม่ก็นอนหลับ หรือกลับบ้านไปช่วงสุดสัปดาห์ ผมไม่อยากคอเคล็ดเพราะเอี้ยวคอไปตอบมัน มันจัดแจงถอดเสื้อผ้า ไม่พูดอะไรสักคำถึงเจน ไม่เลยสักคำ เหมือนผมในขณะนั้น มันเพียงแค่ขอบใจที่ให้ยืมเสื้อคลุม แล้วก็หยิบขึ้นแขวนในตู้เสื้อผ้าเท่านั้นเอง

    จนเมื่อมันดึงผ้าพันคอออก มันถึงได้ถามผมเรื่องเรียงความ ผมบอกว่าวางอยู่บนเตียงนั่นไง มันจึงเดินข้ามไปหยิบขึ้นมาอ่าน มืออีกข้างก็ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตอยู่

    มันยืนอยู่ตรงนั้นอ่านเรียงความและทำท่าเบ่งหน้าอกเปลือยเปล่าและหน้าท้อง ด้วยท่าทางที่ดูงี่เง่าเหลือเกิน มันมักชอบเบ่งกล้ามท้องหรือหน้าอกเสมอ ช่างหลงตัวเองเหลือเกิน

    ทันใดมันก็โพล่งออกมาว่า “ให้ตายสิวะ โฮลเด้น นี่มันเรื่องถุงมือเบสบอลทั้งหมดเลยนี่หว่า”

    “อ้าว แล้วไงล่ะ” ผมตอบอย่างเย็นชา

    “ก็มันอะไรล่ะวะที่ว่าแล้วไง กูบอกมึงแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้เขียนเรื่องเกี่ยวกับห้องนอนหรือบ้านอะไรสักอย่างหนึ่ง”

    “ก็มึงบอกว่าต้องพรรณนาด้วย แล้วมันจะแตกต่างกันตรงไหนล่ะถ้ามันเกี่ยวกับถุงมือเบสบอล”

    “ไอ้ห่าเอ๊ย” มันทำท่าเหมือนโผล่จากขุมนรกอเวจี ท่าทางโกรธจัด“มึงนี่ ชอบทำอะไรตรงข้ามเสมอเลยว่ะ” มันจ้องหน้าผมเขม็ง

    “ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมมึงถึงสอบตก โดนไล่ออก” มันพูด “มึงไม่อยากทำอะไรอย่างที่มึงอยากทำ ไม่มีอะไรสักอย่างเลยว่ะ”

    “เออ ๆ งั้นคืนมาสิวะ” ผมตอบโต้ กระชากเรียงความจากมือของมัน แล้วฉีกทึ้งขาดเป็นชิ้น ๆ

    “เฮ้ย มึงทำอย่างน้้นทำไมวะ” มันตะโกนใส่

    ผมไม่อยากจะตอบอะไร โยนเศษกระดาษชิ้นเล็กใส่ตะกร้าขยะทันที แล้วก็ล้มตัวลงนอนกับเตียง ทุกอย่างเงียบสนิทเป็นช่วงเวลายาวนานพอสมควร มันไม่สวมเสื้อแล้วเอนลงนอนที่เตียงของมันผมนอนเตียงผม หยิบบุหรี่ขึ้นมา

    คุณไม่ได้รับอนุญาตให้สูบบุหรี่ในหอพัก แต่คุณจะสูบได้หลังเที่ยงคืนขณะที่คนอื่น ๆ นอนหลับ หรือออกไปข้างนอกกัน ซึ่งไม่มีใครจะมาดมกลิ่นบุหรี่ อีกอย่างผมทำให้ไอ้สแตรดเลเตอร์รำคาญ มันแทบคลั่ง เมื่อคุณแหกกฎต่าง ๆ มันไม่สูบบุหรี่ในหอพัก มีแต่ผมเท่านั้นที่ทำ

    มันยังคงไม่เอ่ยถึงเจนสักคำ ดังนั้นผมเป็นฝ่ายถามขึ้นก่อนว่า “มึงกลับดึกเกินไปรึเปล่า เธอได้รับอนุญาตให้กลับได้ไม่เกินสามทุ่มครึ่งเท่านั้น มึงไม่ทำให้เธอกลับบ้านดึกเกินไปเหรอ”

    มันลุกนั่งตรงขอบเตียง ตัดเล็บเท้า ขณะที่ผมถามอยู่น้้น “สองสามนาทีแค่นั้น” มันตอบ “ใครบ้างวะที่จะออกไปเที่ยวคืนวันเสาร์แค่สามทุ่มครึ่ง”

    โธ่เว้ย ผมรู้สึกเกลียดไอ้เวรนี่อย่างเหลือเกิน

    “มึงไปนิวยอร์กหรือเปล่า” ผมถาม

    “บ้าสิวะ เราจะไปนิวยอร์กได้ยังไง เธอมีเวลาแค่สามทุ่มครึ่ง”

    “แย่นะพวก”

    มันเงยหน้าจ้องผมสักพัก “ฟังนะ” มันพูด

    “ถ้ามึงอยากสูบในห้องนอน ออกไปที่ห้องน้ำไม่ดีกว่าเหรอวะ มึงควรออกจากห้องไปซะ กูต้องอยู่ที่นี่อีกนานกว่าจะเรียนจบนะ”

    ผมรำคาญมันจริง ๆ ผมออกไปอัดบุหรี่อย่างกับคนตายอดตายอยาก ทั้งหมดที่ผมทำเหมือนกับหันหน้าหนี แล้วกลับมาดูมันตัดเล็บเท้าเท่านั้นเอง โรงเรียนอะไรวะนี่ เห็นมีแต่พวกชอบตัดเล็บเท้าหรือไม่ก็บีบหัวสิวทั้งนั้น

    “มึงฝากความคิดถึงของกูไปให้เธอบ้างหรือเปล่า” ผมถามมัน

    “เออ”

    มันก็แค่ไอ้เลวคนหนึ่งหรอกวะ

    “เธอพูดยังไงบ้างล่ะ” ผมถาม “ได้ถามเธอว่ายังเก็บตัวขุนไว้ตรงท้ายกระดานหมากรุกหรือเปล่าวะ”

    “เปล่าว่ะ กูไม่ได้ถาม มึงคิดว่าเราทำอะไรกันตลอดคืน เล่นหมากรุกอย่างน้้นเหรอ ไอ้ห่า”

    ผมไม่พูดอะไรอีก เกลียดแม่งฉิบหาย

    “แล้วถ้าไม่ได้ไปนิวยอร์ก มึงไปไหนกับเธอล่ะ”

    ผมถามอีก หลังหยุดชะงักไปชั่วครู่ ผมแทบควบคุมอาการเสียงสั่นพร่าไม่ได้ ไอ้หนูเอ๊ย ประสาทแดกจัง ผมรู้สึกว่าอะไรมันชักเป็นเรื่องเล่น ๆ ไปหมดแล้ว

    มันตัดเล็บเท้าเสร็จ ลุกพรวดจากเตียงในชุดขาสั้นเต่อ แล้วเริ่มหาเรื่องสนุกเล่น มันลุกมาที่เตียงผม เอนมาฟังผมแล้วตบไหล่ผม“เฮ้ยอย่านะมึง” ผมพูด “มึงไปไหนกับเธอวะ ถ้าไม่ได้ไปนิวยอร์ก”

    “เปล่าเลย เราขลุกอยู่แต่ในรถว่ะ”

    มันยังทำเล่นตบหัวไหล่ผมอีกทั้งยังถอดถุงเท้าวางพาดไหล่ผมอีกด้วย

    “เฮ้ย บอกให้หยุด” ผมตวาด “รถของใครวะ”

    “เอ็ด แบงกี้”

    เอ็ด แบงกี้ เป็นโค้ชทีมบาสเกตบอลของเพนซี่ เจ้าสแตรดเลเตอร์เป็นเด็กโปรดคนหนึ่งของโค้ชเอ็ด เพราะมันเป็นเซ็นเตอร์ของทีมและเอ็ด แบงกี้ มักให้ยืมรถไปใช้เสมอทุกเมื่อ ถ้าต้องการจะใช้

    มันเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับนักเรียนยืมรถของอาจารย์ได้ แต่พวกนักกีฬามักรู้เห็นเป็นใจกันเสมอ ไม่ว่าที่โรงเรียนไหนก็ตาม ไอ้พวกนักกีฬาจะสามัคคีกลมเกลียวกันเสมอล่ะ

    ไอ้สแตรดเลเตอร์ยังทำท่าตบบ่าผม มันถือแปรงอยู่แล้วก็เอาอมไว้ในปาก “มึงทำอะไรน่ะ” ผมถาม “ใช้เวลาอยู่กับเธอในรถของเอ็ดแบงกี้ เท่านั้นเองเหรอ” ผมเสียงสั่น

    “มึงยังจะถามห่าอะไรอีก อยากให้กูเอาสบู่ล้างปากมึงรึไงวะ”

    “ใช่หรือเปล่า”

    “เฮ้ย มันเป็นความลับโว้ย”

    อีกส่วนที่ผมจำได้ แต่เรื่องมันน่าสนใจดี

    ผมลุกจากเตียงเหมือนอยากจะลงไปที่โรงอาบน้ำ แต่แล้วผมก็ชกต้นแขนมันอย่างสุดแรงพุ่งตรงเข้าที่ด้ามแปรงสีฟันพอดี แทบจะฉีกคอทะลุ เพียงแต่คลาดไปฉิวเฉียด ผมหยุดชะงัก สิ่งที่ผมก็เพียงอยากชกตรงด้านข้างศีรษะ มันคงทำให้เจ็บพอสมควร ผมใช้หมัดขวาที่ค่อยถนัดนักเรื่องบาดเจ็บทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็อย่างที่ผมเล่าให้ฟังนั้นแหละ

    ถึงอย่างไรสิ่งที่ผมรู้ต่อมา ผมล้มคว่ำไปกองกับพื้นห้อง แล้วมันนั่งคร่อมทับบนหน้าอก ใบหน้าแดงก่ำ มันใช้เข่ายันยอดอกผม น้ำหนักตัวเป็นตัน มันรัดแน่นที่บั้นเอวผมด้วย จนผมไม่สามารถขยับชกมันได้อีอก ผมอยากจะฆ่ามันฉิบหาย

    “มันเรื่องห่าอะไรวะเนี่ย” มันตะคอกใส่ผมด้วยใบหน้าแดงขึ้น ๆ

    “เอาเข่าออกจากอกกูเดี๋ยวนี้นะ” ผมสวนกลับ ขณะที่รู้สึกเหมือนเป็นลูกโบว์ลิ่งเลยทีเดียว “ปล่อยกูนะ ไอ้ห่าเอ๊ย”

    มันยังไม่ยอมปล่อยผม รัดตัวผมแน่น ขณะที่ผมด่ามันว่าไอ้ลูกอีดอก นานนับสิบชั่วโมง จนแทบจำไม่ได้เลยว่าด่ากราดมันไปยังไงบ้าง

    อย่างที่ผมบอกมันว่า มันคิดจะทำยังไงกับใครก็ได้ มันไม่สนใจเรื่องผู้หญิงเก็บตัวขุนของเธอไว้ตรงแถวหลังหรือไม่ และที่มันไม่สนอะไรก็เพราะมันเป็นแค่ไอ้ทึ่มคนหนึ่งเหมือนเด็กอมมือ

    มันเลยรู้สึกเป็นเดือดเป็นแค้นมากถ้าเรียกมันว่าไอ้ทึ่มเด็กอมมือ ซึ่งไอ้พวกทึ่มนี่มันโคตรเกลียดเลยถ้าเรียกพวกมันว่า เด็กอมมือ

    “หุบปากนะ โฮลเด้น” มันพูดด้วยความโมโหฉุนขาด “หยุดเลยเดี๋ยวนี้นะ”

    “มึงน่ะ ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าเธอชื่อ เจน หรือจูน โธ่เอ๊ย ไอ้ทึ่ม”

    “หยุดนะ ไอ้โฮลเด้น ไอ้เหี้ย กูเตือนแล้วนะ เดี๋ยวมึงโดน” มันยังคงแค้นเคือง “ถ้ามึงไม่หุบปาก กูจะหักข้อมึงเลยล่ะนะ”

    “เอาหัวเข่าเน่า ๆ ของไอ้ทึ่มออกจากอกกูนะ”

    “ก็ได้ ถ้ากูปล่อยมึง จะเลิกพูดได้มั้ยวะ”

    ผมไม่ตอบ

    มันพร่ำต่อไป “ไอ้โฮลเด้น ถ้ากูปล่อยมึง จะหุบปากหรือเปล่าวะ”

    “ก้อได้”

    มันลุกขึ้น พร้อมกับผมลุกตาม เจ็บหน้าอกเหลือเกิน “มึง ไอ้งี่เง่าไอ้งั่งเอ๊ย” ผมสบถใส่มัน

    นั่นยิ่งทำให้มันแทบคลั่ง มันกางนิ้วจะฉีกหน้าผม “ไอ้โฮลเด้น ไอ้เวรเอ๊ย กูเตือนมึงแล้วนะ ครั้งสุดท้าย ถ้ายังไม่หุบปากละก้อกูจะ__”

    “ทำไมกูจะต้องหุบปากวะ” ผมถามกลับ ยังตะโกนใส่มันอีก

    “นั่นเป็นเพราะความงี่เง่าของมึงต่างหากล่ะ มึงไม่เคยอยากจะถกปัญหาอะไรเลย นั่นแหละถึงเรียกว่า ไอ้ทึ่มล่ะ ไม่ต้องการจะถกอะไรอย่างมีเหตุผลเลย”

    จากนั้นมันก็อัดเปรี้ยงเข้าที่หน้าผม สิ่งที่ผมรู้ตัวต่อมาก็คือ ผมลงไปกองกับพื้นอีกหน ผมจำไม่ได้หรอกว่าถูกคว่ำทันทีหรือเปล่า มันยากมากที่จะคว่ำใครง่าย ๆ มีแต่ที่เห็นในหนังเท่านั้น แต่ผมก็จมูกแตกเลือดเปรอะใบหน้า

    เมื่อเงยขึ้นดูก็เห็นภาพไอ้สแตรดเลเตอร์ยืนตระหง่านค้ำผม ในมือถือผ้าขนหนู

    “ทำไมมึงไม่หุบปากซะตอนที่กูบอกมึง” มันพูดด้วยน้ำเสียงฟังดูประสาท ๆ มันคงรู้สึกกลัวว่าจะทำให้ผมกะโหลกร้าวหรือยังไงมั้ง ตอนล้มกระแทกพื้นห้อง มันแย่เอามาก ๆ “มึงแส่หาเรื่องเองนี่หว่า ไอ้เหี้ยเอ๊ย” มันพูดไปเรื่อย ไอ้หนูเอ๊ย มันกลุ้มมากนักหรือยังไง

    ผมไม่อยากจะลุกขึ้นเลย ผมนอนเหยียดบนพื้นห้องอีกสักพักหนึ่งและยังคงด่ามันว่าไอ้งั่ง ไอ้ลูกหมา ผมเหมือนคนบ้าเหมือนเป็นลูกโบว์ลิ่ง

    “นี่ฟังนะ ไปล้างหน้าไป๊” ไอ้สเตรดเลเตอร์พูด “ได้ยินมั้ย”

    ผมย้อนกลับว่าไปล้างหน้างั่ง ๆ ของมันจะดีกว่า เหมือนกับเด็กทะเลาะกันเลย แต่ผมรู้สึกบ้าฉิบ ผมบอกมันหยุดระหว่างเดินไปโรงอาบน้ำให้ทันเวลาของคุณนายชมิดท์ คุณนายชมิดท์ภรรยาของภารโรง อายุนางประมาณหกสิบห้า

    ผมยังคงนั่งอยู่กับพื้น กระทั่งได้ยินเจ้าสแตรดเลเตอร์ปิดประตูและลงไปที่ระเบียงทางเดินไปยังโรงอาบน้ำ จากนั้นผมจึงลุกขึ้น ผมมองหาหมวกล่าสัตว์ไม่เจอ ไม่รู้ว่ามันหล่นตรงไหน ที่สุดก็หาจนเจอ มันอยู่ใต้เตียงนั่นเอง

    ผมหยิบมันขึ้นมาสวม หันปีกหมวกกลับไปด้านหลังเหมือนเคย ถัดจากนั้นก็เดินไปส่องกระจกดูใบหน้าที่เละเทะ เลือดแห้งกรังอะไรอย่างนั้น เต็มไปทั่วปากและคาง รวมท้้งชุดคลุมอาบน้ำ มันทำให้รู้สึกทั้งน่ากลัวและดูเท่ดี

    ทั้งหมดโดยรวมแล้วมันทำให้ดูแย่เต็มทน ผมเคยผ่านการชกต่อยมาเพียงแค่สองหนในชีวิต แล้วก็พ่ายแพ้ท้ั้งสองหน ผมไม่ค่อยแกร่งนัก ซึ่งที่จริงแล้วผมรักสงบมากกว่า

    ผมมีความรู้สึกคล้ายกับเจ้าแอคลี่ย์ มันเป็นพวกขี้ตื่น ดังนั้นผมจึงแหวกฉากกั้นห้องน้ำไปในห้องของมัน ดูสิว่ามันทำอะไรของม้นอยู่

    ผมแทบไม่เคยย่างกรายเข้าไปในห้องของมัน มันมีกลิ่นพิลึกเพราะมันชอบกินอะไรทิ้งเศษเกลื่อนไปทั่วห้อง

    RELATED ARTICLES
    - Advertisment -

    Most Popular

    Recent Comments