แฟ้ม(ไม่)ลับสีกากี โดย สมถวิล
หน้าที่ 14 ตอน “ว่าที่สารวัตรหนุ่มไฟแรงชายแดนใต้ มุมมองตำรวจเยี่ยงวีรบุรุษมีแรงบันดาลใจจากตำรวจรุ่นพี่”
พันตำรวจตรีวิรชา สนั่นศิลป์ หรือสารวัตรชา สารวัตรป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจภูธรกรงปินัง จังหวัดยะลา ในวัย 29 ปี พื้นเพเป็นคนกรุงเทพมหานคร จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาจากโรงเรียนเซนต์คาเบรียล และชั้นมัธยมศึกษาจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยรุ่นที่ 124 ก่อนเบนเข็มเข้าสู่รั้วสีกากีโดยเริ่มจากโรงเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 47 ก่อนแยกเหล่าต่อที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 63
มีเพื่อนร่วมรุ่น อาทิเช่น ว่าที่ พ.ต.ต.ฏการ เข็มพิลา สว.ฝ่ายตรวจฯขาเข้า ด่าน ตม.ทอ.สุวรรณภูมิ ว่าที่ พ.ต.ต.กันต์กวี อดุลยาศักดิ์ สว.กก.1 บก.ป. ว่าที่ พ.ต.ต.กรณรงค์ ศุภนันทนานนท์ สว.ส.ทล.4 กก.4 บก.ทล. ว่าที่ พ.ต.ต.สหัสวรรษ พันธุ์เกตุ สว.ฝ่ายแต่งตั้ง ทพ. โดยในชั้นปีที่ 1-3 ได้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าตอนเรียน และในชั้นปีที่ 4 ก็ได้รับไว้วางใจให้ทำหน้าที่เป็นนักเรียนบังคับบัญชา สารวัตรชาจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ด้วยคะแนนเป็นลำดับที่ 1 ได้รับรางวัลเกียรตินิยมอันดับ 1 โดยในระหว่างเรียน สารวัตรชายังได้ศึกษาปริญญาตรีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหงควบคู่ไปด้วย จนกระทั่งจบการศึกษาในปีถัดมา
เส้นทางบนสีกากีของสารวัตรปราบปรามหนุ่มเริ่มจากการเลือกลงตำแหน่งรองสารวัตรสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลสำเหร่ ซึ่งทางสารวัตรหนุ่มคนนี้ได้เปิดเผยว่า ตั้งใจเลือกลงที่นี่เพราะ อยากจะสานฝันของตนเองที่จะเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศ ซึ่งเป็นความตั้งใจตั้งแต่ยังเป็นเด็กที่อยากจะได้ไปเปิดมุมมองในต่างแดน ประกอบกับในขณะนั้น ทางทางมูลนิธิบุณยะจินดา ได้มีการมอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนนายร้อยตำรวจที่จบการศึกษาด้วยคะแนนเรียนดีเยี่ยม เพื่อไปศึกษาต่อต่างประเทศ ทางสารวัตรชาจึงได้มีโอกาสเดินตามฝันตนเอง ด้วยการไปศึกษาต่อระดับปริญญาโท สาขา International Laws with International Relations ที่ University of Kent หนึ่งในมหาวิทยาลัยชื่อดังด้านกฎหมายของประเทศอังกฤษ ซึ่งมีนายตำรวจของไทยไปเรียนมากมาย อาทิ เช่น พ.ต.ต.นพรัตน์ บุญถนอม สว.กก.ดส. และ พ.ต.ต.ธีรภัทร คุปตานนท์ สว.สส.สน.ห้วยขวาง
หลังจากได้มีโอกาสไปศึกษาต่อควบคู่ไปกับการไปหาประสบการณ์ในต่างแดน สารวัตรชาก็จบการศึกษาด้วยคะแนนระดับ Merit (เทียบเท่า เกียรตินิยมอันดับ 2 ของไทย) และกลับมาดำรงตำแหน่ง รองสารวัตรสถานีตำรวจท่องเที่ยว 2 กองกำกับการ 1 ซึ่งรับผิดชอบดูแลพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยสารวัตรชายังมีไฟ ตั้งใจศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก สาขาอาชญาวิทยา กระบวนการยุติธรรม และสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ควบคู่ไปกับการทำงานด้วย จากนั้นได้มีโอกาสไปเสริมสร้างวิสัยทัศน์และประสบการณ์ด้านงานสืบสวนที่กองกำกับการ 6 กองบังคับการปราบปราม ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง กับหนึ่งในบรมจารย์สืบสวนชั้นครู อย่าง พันตำรวจเอกธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้กำกับกอง 6 ในขณะนั้น
ในระหว่างนี้ได้มีโอกาสร่วมงานกับพี่น้องทีมงานกองปราบปรามในการสืบสวนคดีต่างๆ เช่น คดีลักทรัพย์บนรถไฟสายใต้ที่มีผู้เสียหายจำนวนมาก ทีมสืบสวนต้องไล่สืบสวนตั้งแต่กรุงเทพฯไล่ไปจนถึงนราธิวาส ซึ่งถือเป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่ได้ลงไปทำงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ต่อมาได้รับความไว้วางใจจากทางพล.ต.ต.ภาณุรัตน์ หลักบุญ หรือ พี่หลวง ผบก.สปพ. ในขณะนั้นให้เข้ามาทำงานที่สายตรวจ 191 และในเวลาต่อมาจึงได้เลือกให้มาเป็นนายเวรฯ มาทำงานอยู่ข้างกาย เรียกได้ว่า สารวัตรชาได้มีโอกาสดีที่ได้สัมผัสมุมมองในภาพรวมของนายตำรวจระดับสูงที่มีต่อการทำงานหลังจากได้มีมุมมองของผู้ปฏิบัติมาตลอด
จนกระทั่งเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา สารวัตรชาได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้น โดยข้ามห้วยจากนครบาล มารับตำแหน่ง สวป.สภ.กรงปินัง จ.ยะลา ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นพื้นที่สีแดง ได้เกิดเหตุโจมตีตำรวจรุนแรงบ่อยครั้งตามที่ปรากฏในหน้าข่าวที่ผ่านมา เจ้าตัวบอกว่า ไม่มีปัญหาอะไร เป็นคนพร้อมที่จะปฏิบัติในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอยู่แล้ว และถือเป็นโอกาสอันดีที่จะได้เรียนรู้การทำงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยตนเอง ส่วนความเป็นอยู่ก็ลำบากบ้าง ต้องคอยระมัดระวังตัว ไม่ประมาทตลอดเวลา แต่ยังดีที่พี่น้องตำรวจที่นี่น่ารักมาก คอยช่วยเหลือกันตลอดเวลา พี่น้องตำรวจที่อยู่ด้วยสมัยอยู่กองปราบก็คอยถามไถ่เสมอ
หนึ่งในงานที่สารวัตรชามักได้ความไว้วางใจ มอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่อยู่เป็นประจำ คือ การทำงานประสานกับหน่วยงานต่างชาติ หรือ ในการทำงานที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษ เนื่องจากเรียนจบจากต่างประเทศ โดยเคยไปทำหน้าที่เป็นนายตำรวจประสานงาน (Police Liaison) ในงานประชุมตำรวจอาเซียน ทำหน้าที่คอยประสานงานกับเจ้าหน้าที่จากประเทศอังกฤษ ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น และยังเป็นตัวแทนเข้ารับการอบรมในหลักสูตรต่างประเทศด้วย ล่าสุดนี้ ก็กำลังเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการต่อต้านการก่อการร้ายจากผู้ก่อการร้ายต่างชาติ ที่ประเทศอินโดนีเซีย โดยมีรองหลวงเป็นหัวหน้าคณะ
“อาชีพตำรวจเป็นหนึ่งในอาชีพที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบต่อสังคมสูง และยังต้องเสียสละตนเองเพื่อส่วนรวมอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่ออย่างยิ่งผมได้มีโอกาสลงมาทำงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผมเห็นถึงความเสียสละของพี่น้องตำรวจในพื้นที่นี้ด้วยตาของตนเอง ตำรวจที่นี่ทุกคนรู้ว่าตัวเองมีความเสี่ยง รู้ว่าตัวเองอาจตกเป็นเป้าหมายของการโจมตี ซึ่งอาจทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บหรือถึงแก่ชีวิตได้ แต่พวกเขาก็ยังไม่ละทิ้งหน้าที่ที่เขาได้รับมอบหมาย เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายและอำนวยความยุติธรรมยังคงมีอยู่ได้ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ บางคนอาจมองว่ามันเป็นหน้าที่ที่พวกคุณได้รับมอบหมาย ทำงานก็ได้เงินเดือนตอบแทน แต่ผมอยากบอกว่า จากที่ผมได้พูดคุยสัมผัสกับลูกน้องหลายๆ คน พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้มาอยู่ตรงนี้เพราะเงินเดือน หรือเพราะอยากรับราชการ แต่เพราะว่าพวกเขามีอุดมการณ์อยากให้พื้นที่ตรงนี้มีความสงบสุข อยากให้ประชาชนทุกคนสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องหวาดกลัวภยันตราย ในสายตาของผมพวกเขาคือวีรบุรุษ” สารวัตรชาพูดถึงมุมองกับสีกากี
นอกจากนี้สารวัตรชายังมีต้นแบบที่ถือได้ว่าเป็นนายตำรวจน้ำดีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติอีกด้วย “นายตำรวจที่เป็นแบบอย่างสำหรับผม มีหลายท่านด้วยกันซึ่งผู้ใหญ่แต่ละท่านนั้นต่างมีจุดเด่นที่เป็นแรงบันดาลใจในการปฏิบัติงานให้กับผม อาทิเช่น พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา อดีต รอง ผบ.ตร. ที่เป็นแบบอย่างในด้านการทำงาน ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมตั้งใจอยู่ทำงานในสายปฏิบัติการ พ.ต.อ.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ “พี่จ๋อ” ที่เป็นแบบอย่างของการปกครองคน
แต่นายตำรวจที่ถือได้ว่าเป็นแบบอย่างทั้งการทำงาน การปกครองคน และหลักการใช้ชีวิตสำหรับผมคือ พล.ต.ต.ภาณุรัตน์ หลักบุญ รอง ผบช.น. ไม่ได้เป็นเพียงแต่ผู้บังคับบัญชา หากแต่ยังเป็นผู้ใหญ่ที่เคารพ และเป็นพี่ที่รักของน้องคนนี้ ผมโชคดีมากที่ได้มีโอกาสรู้จักกับท่านมาตั้งแต่สมัยผมยังเรียนอยู่ที่ประเทศอังกฤษ หลังจากนั้นก็ได้เรียนรู้จากท่านมาโดยตลอด ท่านเป็นแบบอย่างในเรื่องความมุ่งมั่นในการทำงาน และการทำงานเพื่อประโยชน์ของสังคมอย่างแท้จริง ท่านคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะต้องทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม และตั้งใจผลักดันให้สำเร็จ โดยไม่กังวลว่าตัวเองจะเหนื่อยยากเพียงใด รวมไปถึงตัวอย่างของความนอบน้อมถ่อมตน ไม่ถือยศถืออย่าง ไม่ว่าจะกับตำรวจชั้นไหนๆ หรือกับประชาชนก็ตาม นอกจากนี้ท่านยังเป็นผู้ใหญ่ที่ให้การสนับสนุน ให้เกียรติ และชื่นชมผู้อื่นด้วยความจริงใจ ด้วยเหตุนี้ ในวันที่ท่านเอ่ยปากชวนผมมาเป็นนายเวรของท่าน ผมจึงไม่รีรอที่จะตอบรับในโอกาสที่ท่านหยิบยื่นให้ เพราะ ท่านเป็นนายตำรวจที่ผมตั้งใจอย่างยิ่งที่จะมาติดตามและเรียนรู้จากท่านอย่างใกล้ชิด แม้ว่าจะต้องละความตั้งใจที่อยากจะทำงานในสายปฏิบัติการไปก็ตาม
คติประจำใจ : จงมุ่งมั่นที่จะทำตามความฝันของตนเอง และ จงอย่าสูญเสียอุดมคติและจุดยืนของตนเอง