ตำนานมือปราบพระกาฬ ชลอ เกิดเทศ โดย…กิตติพงศ์ นโรปการณ์
เช้าวันรุ่งขึ้น ที่กองปราบปราม สามยอด
ทั้งๆที่เป็นวันสุดท้ายของปี 2524 เป็นวันหยุดราชการ แต่ยังมีตำรวจหลายคนที่ต้องเข้าเวร เดินทางมาทำงาน และมานั่งกินข้าวที่ร้านอาหารที่อยู่ใต้อาคารห้องประชุม เปิดเป็นร้านก๋วยเตี๋ยว และร้านข้าวแกง ที่มีอาหารตามสั่ง
ดูไปแล้วเหมือนสโมสรกลายๆ เพราะเป็นสถานที่ฝากท้องตำรวจกองปราบฯ และประชาชนที่มีธุระปะปัง ไม่ว่าจะเป็นการซื้อข้าวซื้อน้ำเยี่ยมผู้ต้องหา หรือมาแจ้งเรื่องราวร้องทุกข์
บรรยากาศน่าจะอยู่ในความรื่นเริง แต่ตำรวจที่มานั่งกินอาหารเช้า ต่างพากันจับกลุ่มพูดคุยกันถึงข่าวร้ายที่เกิดขึ้นกับจ่าสิบตำรวจมนัส พึ่งดี และ สิบตำรวจเอกขรรค์ชัย อุ่นจิต
เพื่อนตำรวจสังกัดเดียวกัน ที่ถูกโจรปล้นรถทัวร์ยิงเสียชีวิต และบาดเจ็บ เมื่อคืนที่ผ่านมา
มีหลายคนออกความคิดเห็นวิพากษณ์วิจารณ์ว่า น่าจะเป็นฝีมือของโจรกลุ่มไหน ก๊กไหน ในเขตพื้นที่จังหวัดอ่างทอง หรือจังหวัดใกล้เคียง แต่ก็ยังไม่มีใครรู้จริง
“นายลอ น่าจะรู้นะ เพราะเคยเป็นผู้กองเมืองอ่างทองมาก่อน …”
สิบตำรวจเอกหนุ่มน้อยคนหน่ึง ที่นั่งฟังข่าวนี้จากเพื่อนๆและแม่ค้าในร้านที่อยู่ใต้ชั้นลอยที่ใช้เป็นห้องประชุม โพล่งออกมาบ้าง หลังเห็นรถเบนซ์สีน้ำเงินของพันตำรวจเอกชลอ รองผู้บังคับการกองปราบ วิ่งเข้ามาหยุดนิ่งในช่องจอดรถส่วนตัวของรองผู้บังคับการกองปราบปราม ที่อยู่ใกล้ๆ
“เออ…ใช่ นายลอ แกอยู่แถวนั้นมานาน น่าจะมีข้อมูลอยู่นะ…”
ใครอีกคนที่นั่งอยู่กับสิบตำรวจหนุ่มคนนั้นพูดสนับสนุนด้วยความเชื่อมั่นในฝีมือของรองผู้บังคับการมือปราบ
ขณะเดียวกันที่รถเบนซ์ของชลอ สายตาของคนในร้านอาหาร เห็น จ่าอ๋อย-จ่าสิบตำรวจรุ่งแสง ทองแท่งใหญ่ ตำรวจแผนก 1 กองกำกับการ 1 กองปราบปราม ตำรวจหนุ่มหุ่นสมาร์ทท่าทางเพลย์บอยก้าวลงมาจากรถพร้อมกับไอ้เหน่ ที่คนในกองปราบฯตอนนี้เริ่มคุ้นหน้าคุ้นตา แหล่งข่าวสายโจรคนสำคัญของชลอ ที่เริ่มติดสอยห้อยตามเข้ามาที่ทำงานของเจ้านายตำรวจบ่อยครั้ง
ทั้งค่เดินลิ่วๆตรงมาที่ร้าน พร้อมกับสายตาของตำรวจและแม่ค้าที่มองมาอย่างมีคำถาม
“ไหน..เจ๊เล็ก วันนี้มีอะไรกิน…..”
เสียงดังของจ่าอ๋อย แต่มีความร่าเริงแฝงอยู่ทักเจ้าของร้านขายข้าวแกงอย่างคุ้นเคย
ชายหนุ่มมองไปที่กับข้าวหลายชนิดที่วางเรียงราย ก่อนเลือกข้าวราดแกงง่ายๆมา 1 จาน เหมือนกับ เหน่ สายโจรของชลอ
“รีบกินก่อน เดี๋ยวไม่รู้นายจะไปไหนอีก…”
จ่าอ๋อย ตำรวจติดตามชลอ พูดขึ้นมาลอยๆ แต่ก็มีตำรวจในนั้นถามต่อ
“แล้วนาย อยู่ไหนล่ะ อ๋อย….”
“แกลงตรงทางเข้า เดินขึ้นไปหาผู้การกุศล ที่ห้องทำงาน คงจะประชุมด่วนเรื่องตำรวจเราถูกยิงเมื่อคืน เห็นแกพูดตอนอยู่บนรถ ให้ผมรีบขับเข้ามา เหยียบแทบจะชนคนอื่น….”
จ่าอ๋อยตอบ พร้อมกับตักข้าวใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ พร้อมพูดคุยกับเพื่อนในหน่วยงานเดียวกันถึงเรื่องที่ตำรวจกองปราบพลาดท่าถูกยิงเสียชีวิตและบาดเจ็บในครั้งนี้
——————————————————————————–
ขณะเดียวกันในห้องทำงานพลตำรวจตรีกุศล นาคศรีชุ่ม ผู้บังคับการกองปราบปราม มีนายตำรวจหลายคนนั่งอยู่ด้วยท่าทีที่เคร่งเครียด 1 ในนั้น มีพันตำรวจเอกชลอ รวมอยู่ด้วย
“ตอนนี้ ศพของจ่าสิบตำรวจมนัส พึ่งดี อยู่ที่นิติเวช ญาติๆรอรับศพ ตรงนี้ณรงค์วิช คุณทำเรื่องดูแลเรื่องสวัสดิการ เงินณาปนกิจศพ และดูแลให้สมเกียรติด้วย ติดขัดอะไรบอกผม……”
พลตำรวจตรีกุศล สั่งงานไปยังพันตำรวจเอกณรงค์วิช ไทยทอง ผู้กำกับการ 2 กองปราบปราม ผู้บังคับบัญชาโดยตรงของจ่าสิบตำรวจมนัส ผู้วายชนม์ ก่อนหันมาทางพันตำรวจเอกชลอ รองผู้บังคับการกองปราบปราม ที่นั่งอยู่อีกข้าง
“ ส่วนเรื่องคนร้าย ชลอ คุณอยู่แถวนั้นมาก่อน ไปไหนมาไหนตรงนั้น คงทะลุปรุโปร่ง คุณรับหน้าที่สืบสวนคดีนี้ไปเลยนะ เอาตัวมาให้ได้ เพราะรองณรงค์ สั่งการมาเมื่อเช้าให้เร่งรัดจับกุมคนร้าย สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนโดยเร็ว”
เสียงนุ่มๆของเจ้าของรหัส ป.1 ทิ้งช่วงเล็กน้อยก่อนสั่งการกับชลอต่อ
“อ้อ…. สำหรับ สิบตำรวจเอกขรรค์ชัย ถูกเอาตัวมารักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ ตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้ว กระสุนไม่ถูกอวัยวะสำคัญ
คุณลองไปคุยกับมันดู เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เผื่อจะได้ประโยชน์อะไรเกี่ยวกับข้อมูลของคนร้ายบ้าง….”
“ได้ครับพี่ ….”
ชลอตอบสั้นๆ พร้อมกับสบตาพลตำรวจตรีกุศล
จากแววตาของผู้บังคับบัญชาที่เขาเห็น ถึงแม้ผู้การกุศล จะเป็นคนนุ่มดูเรียบร้อยๆ แต่ในภาวะผู้นำหน่วย ที่ลูกน้องถูกโจรยิงตาย เขาเชื่อว่า ใต้ดวงตาที่ข่มความรู้สึกไว้นั้น มีคำสั่งอนุมัติให้เขาดำเนินการอะไรบางอย่างด้วย….
การประชุมสั่งการในห้องผู้บังคับการกองปราบปรามดำเนินไปอย่างเคร่งเครียดอีกระยะก่อนที่ทั้งหมดจะแยกย้ายกันไปปฎิบัติภารกิจตามที่ได้รับมอบหมาย
ส่วนชลอ ให้ตำรวจหน้าห้องผู้การกุศล วิ่งไปตามผู้กองคก-ร้อยตำรวจเอกเจตนากร นภีตะภัฎ ที่รอเขาอยู่ในห้องทำงานให้มาพบเขา และบอกให้ลูกน้องที่เหลือไม่ว่าจะเป็น รองแป๋ง-พันตำรวจโทอัมรินทร์ เนียมสกุล รองผู้กำกับการ 2 กองปราบปราม หมวดทองดำ จ่าจิ๋ว จ่าตั๋น จ่ายะ รอกันอยู่ที่ห้อง
ก่อนที่จะเดินทางไปที่โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อพูดคุยกับ สิบตำรวจเอกขรรค์ชัย ที่รอดตายหวุดหวิดจากการถูกโจรปล้นรถทัวร์ยิง
อีก 1 ชั่วโมงต่อมา ชลอ ผู้กองคก จ่าอ๋อย และไอ้เหน่ ก็ไปอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ
รองผู้บังคับการกองปราบ เปิดประตูเข้าไปภายในห้องที่ สิบตำรวจเอกขรรค์ชัย นอนพักรักษาตัว ภาพแรกที่เขาเห็นคือ ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ในชุดผู้ป่วยสีฟ้า กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงคนไข้ โดยมีสายน้ำเกลือระโยงระยาง ขณะที่บริเวณลำตัวมีผ้าก๊อตพันอยู่
ส่วนโต๊ะมุมห้องมีกระเช้าดอกไม้ของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ของกรมตำรวจ 2 -3 กระเช้าวาง โดย 1 ในนั้น เป็นของพลตำรวจตรีกุศล รวมอยู่ด้วย นอกจากนี้มีหญิงสาววัย20 ปีเศษ คาดว่าเป็นแฟนสาวของผู้ป่วยนั่งอยู่ข้างๆ
ทันทีที่คนเจ็บมองเห็นอาคันตุกะที่เปิดประตูเข้ามา สิบตำรวจเอกขรรค์ชัย รีบพยายามพยุงตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมยกมือไหว้ผู้บังคับบัญชา
“เฮ่ย…ไอ้ขัน มึงไม่ต้องลุก ทำตัวสบายๆเดี๋ยวจะเจ็บแผล”
ชลอเอ่ยปากทัก หลังยกมือรับไหว้ลูกน้อง
“ไหน…มึงโดนเข้าตรงไหน….”
“เข้าที่ชายโครงครับนาย นัดเดียว ดีกระสุนไม่ถูกอวัยวะสำคัญภายใน ไม่งั้นแย่เหมือนพี่มนัส…..”
ตำรวจหนุ่มคนเจ็บชี้บาดแผลให้รองผู้บังคับการกองปราบ ผู้บังคับบัญชาดู
“ไอ้ห่า…. แค่นี้จิ๊บจ๊อย กูโดนยิงพุงทะลุมาแล้ว สมัยเป็นผู้กองเมืองมวกเหล็ก สระบุรี….”
ไม่พูดเปล่า ชลอยังเลิกเสื้อซาฟารีสีน้ำเงินเข้มให้เห็นรอยแผลเป็นที่หน้าท้อง พร้อมกับเล่าเหตุการณ์ที่เขาถูก เสือดำ 1 ในแก๊งโจรปล้นควาย ใช้คาร์บินยิงเกือบตายเมื่อปีพุทธศักราช 2516 และเขาตามล่าเอาคืนได้ในอีก 1 ปีต่อมา
ด้วยการตามรอยไปจนเจอที่บ้านของไอ้เสือดำ เขตพื้นที่บ้านดงลาน อำเภอพัฒนานิคม ช่วงที่เขามาเป็นรองผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดลพบุรี เกิดการปะทะกันอีกครั้ง คราวนี้ เสือดำ เป็นฝ่ายพลาดจบชีิวิตคาบ้าน ขณะวกกลับไปดูเมียที่ท้องแก่ใกล้คลอด
สิบตำรวจเอกขรรค์ชัยยิ้มแหยๆ หลังฟังเรื่องจบ ขณะที่ผู้กองคก และจ่าอ๋อย ถึงกับอึ้งเพราะไม่เคยรู้เรื่องปะชระสบการณ์เฉียดตายของชลอมาก่อน
“เอ้า…..มึงเล่าให้กูฟังหน่อย วันนั้นมันเป็นยังไง มึงจำอะไรได้บ้าง โดยเฉพาะตำหนิรูปพรรณคนร้าย….”
รองผู้การผู้กว้างขวางแห่งยุคเริ่มขั้นตอนการซักถามพยาน ขณะที่ผู้กองคก หยิบปากกาและไดอารี่เล่มขนาดพอคเกตบุ๊ก เตรียมจดบันทึกข้อความสำคัญ
“วันนั้น ผมกับพี่มนัส นั่งรถทัวร์กลับจากสุพรรณบุรี จะมาเข้าเวรกองกำกับการที่กรุงเทพฯ ก็แต่งตัวนอกเครื่องแบบ ไปนั่งกันอยู่ตอนกลางของรถด้านซ้าย
ผมนั่งอยู่ริมหน้าต่าง พี่นัสนั่งด้านนอก แต่ขณะหลับๆตื่นๆ ผมตกใจเมื่อได้ยินเสียงปืนดังปังๆ เห็นอีกทีพี่มนัสถูกยิงร่วงลงไปกับพื้น ผมพยายามลุกเข้าไปช่วย เลยถูกมันยิงสวนเข้ามาอีกนัดจนล้มฟุบ…”
สิบตำรวจเอกขรรค์ชัยพยายามลำดับเรื่องราว
“ รู้สึกตัวอีกที ตอนที่เขากำลังช่วยผมไปขึ้นรถพยาบาล ถึงรู้่จากผู้โดยสารบนรถทัวร์ว่า มันเอาปืนผมกับปืนของพี่มนัสไปด้วย….”
“ปืนมึงกับปืนไอ้นัสปืนอะไรวะ….”
ชลอซักต่อ
“ผมใช้ปืนโคลท์ .38 ส่วนของพี่มนัส ผมไม่รู้ครับ…”
ตำรวจหนุ่มที่เฉียดตายจากฝีมือโจรบอก
“คนร้ายมีกี่คน จำได้ไหม ตำหนิรูปพรรณเป็นไง….”
พันตำรวจเอกหนุ่มนักบู๊ถามต่อในประเด็นสำคัญ
“ช่วงชุลมุน ผมเห็นแค่ 2 คน ครับ แต่ได้ยินว่าหลังจากมันยิงผมและพี่นัส แล้ว มันส่ังให้คนขับจอดรถ ก่อนมันลงไปขึ้นรถกระบะอีกคันที่ขับตามมาหนีไป….”
“มึงมันไม่ได้เรื่อง จำอะไรไม่ได้…
ชลอพูดเชิงตำหนิ
“แต่นายครับ ไอ้ 1 ใน 2 คนร้าย ถึงผมจะหลับๆตื่นๆ แต่ยังคุ้นหน้าคุ้นตาว่าเคยเห็นมันอยู่แถวๆบางกะปิ
ผมเคยไปเล่นไฮโลกับเพื่อนแถวๆนั้นครับ ไอ้นี่มันรูปร่างผอม สูง หน้าเสี้ยม คางยื่น ไว้ผมรองทรงอายุประมาณ 30 ปีเศษ …..”
ชลอขมวดคิ้วนึกภาพตาม ใจก็เริ่มคิดอย่างมีความหวัง ขณะที่ผู้กองคก จดรายละเอียดจากปากคำคนเจ็บ ผู้เสียหายที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาไว้ในไดอารี่ของเขาเป็นข้อมูลในการสืบสวน ส่วนจ่าอ๋อย และไอ้เหน่ ก็เก็บข้อมูลไว้ในสมอง
“ขอให้ความจำมึงจำแม่นๆนะไอ้ขัน ถ้าเป็นอย่างที่มึงว่า เดี๋ยวกูก็ได้ตัวมัน เอ้านี่เงินไว้ใช้ สงสัยอะไรกูจะกลับมาใหม่ หมดทุกข์หมดโศกปีเก่า โชคดีปีใหม่โว้ย….”
รองผู้บังคับการมือปราบกล่าวอำลา พร้อมกับควักเงินออกจากกระเป๋าประมาณ 5,000 บาทให้ลูกน้องที่โดนยิงนอนแบ่บอยู่บนเตียงเพื่อเป็นการบำรุงขวัญ ก่อนที่ชลอจะนำลูกน้องเดินทางกลับออกไป
สำหรับชลอ เขาไม่คิดว่าคดีนี้จะยากเย็นตรงไหน เขามีความรู้สึกว่าช่วงนี้ จะทำอะไร จะคดีไหน ก็ประสบความสำเร็จไปหมด คดีนี้ก็เช่นกัน
แล้วความคิดเก่าๆเมื่อปี 17 ก็หวลกลับมาอีกครั้ง
“ฆ่าตำรวจ เอาไว้ไม่ได้…..”