ห่างหายไปนาน บอกเลยว่าวงการตำรวจมีเรื่องให้เราตามแทบไม่เว้นแต่ละอาทิตย์ ทำเอาสังคมอดสงสัยการทำงานของตำรวจไม่ได้
สัปดาห์นี้เลยถือโอกาสสัมภาษณ์กับ อาจารย์ต้อม-พันตำรวจตรี เชี่ยวชาญ โชติรัตน์ อาจารย์ (สบ 2) กลุ่มงานคณาจารย์ คณะตำรวจศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ สอนวิชากฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา การป้องกันและปราบอาชญากรรม
เรียกได้เต็มปากเลยว่า นี่แหละจิตวิญญาณความเป็นครู ผู้มีความรัก ด้วยศรัทธาในหน้าที่ตำรวจ มุ่งมั่นอยากเปลี่ยนแปลงวงการตำรวจให้ได้รับความศรัทธาดั่งเดิม
เวลาผ่านหมุนเวียนกันไปน้อง ๆ ตำรวจรุ่นสู่รุ่นที่ พี่ต้อม คอยผลักดันส่งเสริมจนประสบความสำเร็จ ทั้งได้ทุนเรียนต่างประเทศ ด้านภาษา หรือหน้าที่การงานที่คอยให้คำแนะนำต่างๆ
วันนี้เราจะมาย้อนถึงหนทางกว่าจะพบว่าท้ายที่สุดแล้ว ความสุขของการทำงานคืออะไร กว่าจะสั่งสมประสบการณ์จนได้รับความเคารพเชื่อถือในบรรดาลูกศิษย์ขนาดนี้ ย้อนไปที่จุดเริ่มต้น
เริ่มจากการสานฝันของคุณพ่อคุณแม่ที่สนับสนุนในเส้นทางข้าราชการตำรวจอย่างเต็มที่ เริ่มจากสอบเข้าเตรียมทหาร 50 นรต.66 จนจบหลักสูตร บรรจุรับราชการอยู่ที่ สน.พญาไท
ด้วยความมุ่งมั่นว่าจะต้องไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมที่ต่างประเทศ ได้เตรียมตัวอย่างดี ตัดสินใจสมัครสอบทุนรัฐบาลไทย
ได้รับคัดเลือกเพื่อรับทุนรัฐบาล (ก.พ.) ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้าน อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ และ ความปลอดภัยทางไซเบอร์ ณ มหาวิทยาลัยบอสตัน (Boston University) และ มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด (Harvard Kennedy School, Harvard University)
สมัยที่เรียนก็ได้ลองใช้ชีวิตปล่อยให้ความคิดค่อยๆ ตกตะกอนว่าชอบทำงานในสายอะไร พอกลับมาประจำที่ไทยได้สักพัก เริ่มมีความรู้สึกสนใจในงานด้านกฎหมาย
ลองสมัครทุนของรัฐบาลของออสเตรเลีย จบปริญญาโทด้านกฎหมาย 2 ใบ (Double Master Degree) คือ กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา และ กฎหมายการค้าระหว่างประเทศเทศ ณ เมืองเมลเบิร์น ด้วยทุนรัฐบาลออสเตรเลีย (Australia Awards Scholarships)
ต้องคารวะในความสามารถของพี่ต้อมมาก ๆ ที่ประสบความสำเร็จในการเรียนทุกครั้ง
ครั้นเรียนจบจากออสเตรเลีย เป็นช่วงหาความต้องการของชีวิตว่าชอบทำงานแบบไหน
พี่ต้อมเลยสมัครส่งทั้งออสเตรเลีย สิงค์โปร ฮ่องกง แต่ดั้นพอไปถึงช่วงสัมภาษณ์ซึ่งห้วงเวลานั้นประจวบกับโควิดแพร่ระบาดพอดี
ความคิดเริ่มเปลี่ยน เริ่มถามตัวเองจริงๆ แล้วว่า “ความสุขในการทำงานจริง ๆ คืออะไร” เลยตัดสินใจกลับมาปักหลักทำงานที่ไทยอีกครั้ง
เมื่อกลับมาอยู่ที่ไทยได้ผู้ใหญ่เล็งเห็นถึงความสามารถ ได้กลับมาประจำสำนักงาน พล.ต.ท.ดร.เสนิต สำราญสำรวจกิจ ผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยตำรวจ https://policenewsvarieties.com/พล-ต-ท-ดร-เสนิต-สำราญสำรวจ/(ขณะนั้นเป็นผู้บังคับการตำรวจนครบาล1 ) ก่อนที่จะย้ายมาเป็นอาจารย์ประจำโรงเรียนนายร้อย
พอได้มาทำหน้าที่สอนน้อง ๆ นักเรียนตำรวจ ทั้งที่มาจากสามจังหวัดชายแดนใต้ กอส. กอน. ทำให้พี่ต้อมเห็นถึงความแตกต่างของนักเรียนที่มีพื้นฐานชีวิตต่างกัน บวกกับประสบการณ์การันตีด้วยนักเรียนทุนป.โท 3 ใบ
การได้ถ่ายทอดความรู้ แนวคิดดี ๆ ให้แก่นักเรียนที่กำลังจะโตไปเป็นข้าราชการตำรวจในภายภาคหน้า คือสิ่งที่พี่ต้อมได้ค้นหาตัวเองเจอ
ระหว่างที่พี่ต้อมเล่าไป ทำให้เราเข้าใจได้ว่า การที่คนจะดีหรือมีความคิดในการทำงานอย่างไร อยู่ที่ความคิด ประสบการณ์ที่ถูกปลูกฝังกันมา
พี่ต้อมจึงเหมือนต้นน้ำที่คอยผลิต คัดสรร บ่มความคิดให้นักเรียนในสังกัดคอยยึดมั่นในหน้าที่ สร้าง impact ต่อวงการตำรวจ
เมื่อนักเรียนต่างเข้ารับราชการ ณ เวลานั้นการทำงานที่เป็นกลางน้ำจะหล่อหลอมสั่งสอนเขาเอง ถ้าที่สุดปลายน้ำที่ออกมา ก็คือ ตำรวจคุณภาพน้ำดีที่จะเข้ามาพัฒนาวงการนี้ได้
สิ่งนี้การันตีผลงานได้จากน้อง ๆ ที่พี่ต้อมคอยผลักดันจนมีโอกาสไปเรียนต่างประเทศ กลับมาทำหน้าที่สร้างผลประโยชน์ให้กับองค์กร นี่คงเป็นหนึ่งในความประทับของคนเป็นครูที่อบรมศิษย์จนได้ดี
ย้อนดูสังคมปัจจุบันที่มีข่าวโจมตีวงการตำรวจมากมาย มีตำรวจหลายรูปแบบ ทั้งเป็นแบบอย่างที่ดี แบบอย่างที่ไม่ควรกระทำ
ท้ายที่สุดยังไงก็แล้วแต่ตำรวจส่วนใหญ่ทุกคนมีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย ตามวินัยตัวเอง ทุกคนมีหน้าที่ตามบริบทของตนเองไป ดังนั้น ความภาคภูมิใจของแต่ละคนเลยต่างกัน แม้ภาพข่าวในสังคมจะสะท้อนวงการตำรวจที่ดูถดถอยลง แต่พี่ต้อมเชื่อประเทศเรา
“คนเก่งมีเยอะแล้ว อยากให้ช่วยกันส่งเสริมให้โอกาสคนดีมีจุดยืนในสังคมมากขึ้น”
เอาจริง ๆ เรื่องนี้พอพี่ต้อมพูด ก็เหมือนสะกิดความรู้สึกด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยน คนหลายวงการก็หากินบนหน้าที่ของตนเองจนกลายเป็นดูไม่ศักดิ์ศรี
คงเพราะอยู่ในยุคที่คนโอ้อวดผ่านสังคมออนไลน์กันง่ายเกินไป สร้างกิเลสในใจความอยากได้อยากมี ใครโชคดีวางแผนการเงินได้ รู้จักการวางแผนก็เอาตัวรอดได้หน่อย
แต่ใครที่ไม่ทันเหลี่ยม กิเลสมากกว่าความยั้งคิดก็ตกกลายเป็นทาสวังวนของคนหมดตัวไม่รู้จบ
พี่ต้อมเลยสอนปลูกฝังนักเรียนตำรวจทั้งหลายให้รู้จักการเงิน การวางแผน เพื่อให้ทุกคนไม่หลงผิดอยู่บนหลักของความเป็นจริง ไม่หากินบนหน้าที่การงานของตนเอง
ความเป็นครูของพี่ต้อมถ่ายทอดออกมาได้ทุกแทบประโยคในการสัมภาษณ์ จนอดสงสัยไม่ได้ว่า นอกจากพาร์ทหน้าที่ของครูแล้ว มีงานอดิเรกอะไร
พี่ต้อมบอกว่าด้วยอายุที่มากขึ้นทุกปี ช่วงนี้เลยให้ความสำคัญกับการออกกำลังกาย ว่างเมื่อไหร่ต้องพอได้ออกให้ชุ่มฉ่ำ แต่ก็ยังไม่วายแบ่งพาร์ทที่เหลือไปเป็นกูรูด้านการศึกษา คอยให้คำแนะนำน้อง ๆ ที่สนใจทุนต่างประเทศ การวางแผนการเงิน
ล่าสุดเครือข่ายขยายไปไม่ว่าจะสายอาชีพอื่นอย่าง หมอ ก็มีมาปรึกษานะ นี่แหละ ผู้อยู่เบื้องหลังของความสำเร็จอนาคตเด็กไทย
ความรักบ้างซักหน่อยก่อนจบลง
คงเพราะพี่ต้อมสายท่องเที่ยวต่างประเทศ ชื่นชอบและมีความสุขทุกครั้งได้พักผ่อน ดังนั้นโลกความรักจึงเปิดกว้าง
ขอแค่คนอยู่กับตัวเองได้แล้วมีความสุขก็พอแล้ว ช่วยกันทำมาหากิน ต่างคนต่างเลี้ยงดูตัวเองได้ มีทัศนคติตรงกัน มีความคิดที่ดี มองโลกในแง่บวก
ถ้าถามว่าเวลารู้สึกแย่ มีวิธีฮีลใจตัวเองยังไง
พี่ต้อมบอกแค่กลับมารักตัวเองมากขึ้น เพื่อที่เราจะได้ส่งต่อความรักความคิดดีๆให้คนอื่นได้
วันนี้ก็ครบเต็มอรรถรสเลยค้าบบบบบ
“ศุพิต พ.” บันทึก 15/4/66