คอลัมน์ อาชญา (ลง) กลอน
โดย…ธนก บังผล
เชื่อว่าหลายท่านเป็นศิษย์เก่า “โรงเรียนเตรียมทหาร” ซึ่ง นายภัคพงค์ ตัญกาญจน์ หรือ น้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ตกเป็นข่าวเสียชีวิตปริศนา โดยเหตุเกิดตั้งแต่เมื่อวันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา ภายในโรงเรียนเตรียมทหาร จ.นครนายก
ทางครอบครัวของ “น้องเมย” ติดใจสาเหตุการเสียชีวิตของลูกชายอยู่หลายประเด็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นหัวใจล้มเหลว เนื่องจากที่ผ่านมาไม่เคยมีโรคประจำตัว นอกจากนี้การผ่าพิสูจน์ศพที่ลักลอบนำอวัยวะ หลายส่วนออกไป ทั้งนี้ ก่อนที่น้องเมยจะเสียชีวิต ก็ยังเคยถูกทำโทษที่เรียกกันว่า “ซ่อม” อย่างรุนแรงหลายครั้ง หลายวิธี จนทำให้ต้องเข้าไปพักรักษาตัวมาแล้วครั้งหนึ่ง
ก่อนอื่น ในฐานะที่ผมเองก็เคยสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารมาก่อน การเข้าไปเรียนโรงเรียนนี้ไม่ได้หมายความว่าจบมาแล้วจะต้องเป็นทหารทุกคน เพราะบางคนก็เลือกที่จะเข้าไปเรียนเหล่าตำรวจ ก่อนจะแยกไปเป็นโรงเรียนนายร้อยตำรวจ
เฟซบุ๊กของครูโรงเรียนกวดวิชาเตรียมทหารแห่งหนึ่งซึ่งน้องเมยเข้าไปเรียน ระบุสาเหตุเชิงโครงสร้างว่า เป็นเพราะระบบงานในโรงเรียนเตรียมทหารล้มเหลว ขาดการเอาใจใส่จากผู้บังคับบัญชา ปล่อยปละละเลยให้นักเรียนรุ่นพี่ปกครองรุ่นน้อง ซึ่งมีวุฒิภาวะเทียบเท่า นักเรียนชั้น ม.5 และ ม.6 ปกครองกันเองโดยไม่คำนึงถึงเหตุร้ายต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น
ขณะเดียวกัน วัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาอย่างผิดๆ ในส่วนของการสั่งโทษ ที่เรียกว่า “การแดก” กันจนเกินสมควร จนมีการบาดเจ็บ และสืบเนื่องมาจนถึงการที่มีผู้เสียชีวิต ซึ่งพบว่ามีนักเรียนเตรียมทหารเสียชีวิตทุกปี ในระยะ 3-4 ปีมานี้
ครูโรงเรียนกวดวิชา ยังตั้งข้อสังเกตได้อย่างน่าคิดว่า นักเรียนที่เข้าไปเรียนโดยมีความตั้งใจที่จะจบมา เพื่อทำงานรับใช้ประเทศชาติและแทนคุณแผ่นดิน กลายเป็นว่าเข้าไปเพื่อรับใช้ความบ้าคลั่งในใจของรุ่นพี่บางคน จนทำให้หมดโอกาสที่จะทำตามความตั้งใจที่ตั้งไว้แต่แรก หรืออาจจะมีข้อโต้แย้งว่าเป็นนักเรียนทหาร เป็นนักรบ ต้องฝึกหนัก ข้อนี้ผมเห็นด้วย แต่พวกท่านลืมไปหรือไม่ว่า น้องๆ ที่เข้าไปนั้น เป็นเพียงนักเรียนที่มีอายุเพียง 16-18 ปีเท่านั้น สมควรแล้วหรือไม่ที่จะทำการฝึกหรือลงโทษกันจนต้องบาดเจ็บ และเสียชีวิต
ในขณะที่ พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กล่าวว่า ปีนี้ครบรอบ 60 ปีของโรงเรียนเตรียมทหาร ซึ่งเราก็มีการพัฒนาหลักสูตรการฝึกระเบียบวินัยมาโดยตลอด เด็กเข้าไปเป็นทหาร เป็นผู้นำกองทัพในอนาคต พร้อมทั้งยืนยัน ระบบให้รุ่นพี่ ปกครองรุ่นน้อง ในโรงเรียนเตรียมทหาร ยังคงต้องมีอยู่ เพราะเด็กเหล่านี้จะต้องเข้าสู่การคัดเลือกเหล่า ว่าจะสังกัด ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ และ ตำรวจ ต่อไป
เอาละครับ สำหรับผมแล้ว คดีนี้ผมติดใจประเด็น “ใครฆ่า” น้องเมย มากที่สุด เพราะต้องนำฆาตกรมาเข้ากระบวนการยุติธรรม รับโทษทางกฎหมายให้ได้ เนื่องจากที่ผ่านมาการเสียชีวิตในค่ายทหารถูกปิดบัง ช่วยเหลือกันในระบบพี่น้องแบบทหารมาเสมอ จนไม่นึกถึงครอบครัวผู้เสียหาย
มาวันนี้ เป็นการฆาตกรรมในโรงเรียน ซึ่งง่ายกว่าในค่ายทหาร และผมไม่คิดว่ากรณีนี้คนระดับนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะมาเล่นตีฝีปากไปวันๆ
ตั้งแต่เป็นข่าวมา ต้นเหตุสำคัญนอกจากระบบของโรงเรียนเตรียมทหารแล้ว ก็ “ฆาตกร” นี่ละครับที่สำคัญที่สุด เพราะหากชิ้นส่วนของน้องเมย ถูกตรวจสอบจากนิติวิทยาศาสตร์แล้ว “ไม่พบ” ความผิดปกติในสาเหตุการตาย การหาฆาตกรจะเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่ทำให้คดีนี้คลี่คลายได้ในที่สุด
มาถึงนาทีนี้ ผมบอกตามตรงว่าหมดหวังกับรัฐบาลทหาร โดยมีนายกรัฐมนตรีชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นอย่างยิ่ง ทั้งจากการให้สัมภาษณ์ และท่าทีที่ไม่มีความเป็นคน พูดเหมือนไม่ลูกไม่มีหัวใจ มองไม่เห็นหนทางไหนเลยที่คดีนี้จะได้รับความยุติธรรม
ก่อนหน้านี้มีคนบอกว่ารัฐบาลทหารปัจจุบันอยู่ในช่วง “หวงอำนาจ” ผมคิดว่าถึงตอนนี้อาจจะไปไกลถึงคำว่า “ลุแก่อำนาจ” แล้วก็เป็นได้
ความรู้สึกของคนในชาติตอนนี้ เปรียบไปแล้วเหมือน “พี่ตูน” บอดี้สแลม ที่วิ่งไม่หยุด ไม่กิน ไม่นอน ไม่พักผ่อนมากว่า 3 ปี วิ่งไปวิ่งมาหาแสงสว่างหรือทางออกประเทศนี้ไม่เจอ บอกตรงๆครับว่าคดีน้องเมย ทำคนในชาติอคติกับทหารมาก และ…เหนื่อยมาก