อย่างแรกที่ต้องบอกก็คือ ถ้าอยากจะดู Avatar : Fire and Ash – “อวตาร : อัคนีและธุลีดิน” ให้รู้เรื่อง ก็สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องกลับไปหยิบเอา Avatar ภาคแรกที่ออกฉายในปี 2009 กลับมาดูก่อน
จากนั้นก็ตามด้วย Avatar : The Way of Water (2022) ซึ่งทั้งหมดเป็นงานกำกับฝีมือของ “เจมส์ คาเมรอน” ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวแคนาดา มีชื่อเสียงโด่งดังระดับแถวหน้าของฮอลลีวูด เจ้าของผลงานกำกับหนังดังขึ้นหิ้ง
อาทิ Titanic (1997), The Terminator (1984), Terminator 2 : Judgment Day (1991) รวมถึง Aliens (1986)
ใน Avatar ภาคปฐมบทนั้น เหตุการณ์เกิดขึ้นบนดวงจันทร์ “แพนโดรา” เป็นที่อยู่อาศัยของ “ชาวนาวี” ร่างกายสูงใหญ่ มีผิวสีฟ้า ดินแดนบนจันทร์ดวงนี้ มีภูเขาลอยได้ ป่าไม้เขียวชอุ่ม
พืชและสัตว์มีลักษณะแปลกตาเรืองแสง มีเอกลักษณ์
ดวงจันทร์แพนโดราโคจรรอบดาวเคราะห์ก๊าซยักษ์โพลีฟีมัส (Polyphemus) ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ในระบบดาวอัลฟา เซนทอรี อยู่ห่างจากโลกเพียง 4.37 ปีแสง
นั่นหมายความว่าแพนโดราเลยไม่ไกลจากโลกนัก มนุษย์จึงมุ่งเป้าเดินทางไปหาทรัพยากร
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ท้าทายก็คือชั้นบรรยากาศที่เป็นพิษของดาว ทำให้มนุษย์หายใจไม่ได้ ดังนั้น จึงมีการตั้งโครงการ “อวตาร”
กำกับดูแลโดยองค์กร Resources Development Administration (RDA) ปฏิบัติการออกแบบร่างกายลูกผสมระหว่างมนุษย์และชาวนาวี
ผู้ควบคุมร่างกายนี้จะใช้ร่างอวตารได้ราวกับเป็นร่างกายของตนเอง เพื่อช่วยให้มนุษย์สามารถสำรวจสภาพแวดล้อมที่ห่างไกลและไม่เอื้ออำนวยของแพนโดราได้ โดยไม่ทำให้ชีวิตมนุษย์ตกอยู่ในอันตราย
ความเดิมจากภาคแรกนั้น “เจค ซัลลี่” (แซม เวิร์ธธิงตัน) ได้รับสัญญาจาก RDA ต่อจากพี่ชายฝาแฝดที่วายชนม์ มาเป็นผู้ควบคุมร่างอวตารบนแพนโดรา
เขาได้รับมอบหมายจาก “ไมล์ส ควอริตช์” (สตีเฟ่น แลง) เจ้านายในหน่วย RDA ให้แทรกซึมเข้าไปในเผ่าโอมาติคายาของชาวนาวี เพื่อโน้มน้าวให้พวกเขาออกจากถิ่นที่อยู่
แต่แล้ว “เจค ซัลลี่” กลับไปตกหลุมรัก “เนย์ทิรี” (โซอี้ ซัลดาน่า) จนตัดสินใจแปรพักตร์ กลายเป็นปรปักษ์กับ RDA และทำหน้าที่ปกป้องชาวนาวีจากการถูกกดขี่ขับไล่จากแพนโดรา

ใน Avatar : The Way of Water หนังพาผู้ชมติดตามชีวิตของ “เจค ซัลลี่” และ “เนย์ทิรี” ที่หลายปีต่อมาพวกเขามีโซ่ทองคล้องใจ 3 คน คือ “เนเทยัม”, “โลอัค”, “ทุค” มีลูกสาวบุญธรรมชื่อ “คีรี” และ “สไปเดอร์” ลูกชายบุญธรรมมนุษย์ ที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
https://www.youtube.com/watch?v=PEMUqWvUTpU
ทั้งหมดเจอสถานการณ์บังคับให้ละทิ้งบ้านในป่า ลี้ภัยไปอาศัยอยู่กับเผ่า Metkayina ในมหาสมุทร แต่ศึกก็ยังไม่จบ เพราะ “ไมล์ส ควอริตช์” ได้ดัดแปลงพันธุกรรมมีร่างอวตารนำทัพ RDA ตามล่าหา “เจค ซัลลี่”
ในภาคนี้ครอบครัวซัลลี่ต้องสูญเสียลูกชายคนโตไปอย่างไม่มีวันกลับ
มาถึง Avatar : Fire and Ash ที่ถือเป็นงานปิดไตรภาคของ Avatar ก็คือความคืบหน้าต่อจากภาค 2 ซึ่ง “เจค ซัลลี่” และ “เนย์ทิรี” ยังคงโศกเศร้ากับการสูญเสีย “เนเทยัม” และ “โลอัค” ก็แบกรับความรู้สึกผิดที่รอดชีวิตมาได้

ขณะที่แพนโดรา ก็ยังถูก RDA คุกคาม เข่นฆ่า รีดเอาทรัพยากรจากสัตว์ดึกดำบรรพ์ในทะเล ซ้ำต้องรับมือกับศัตรูใหม่คือเผ่ามังควาน มีหัวหน้าคือ “วารัง” รับบทโดย “โอนา แชปลิน” ที่กระหายอำนาจเหี้ยมโหด
การพัฒนาเรื่องราวระหว่างภาคแรกและภาค 2 ที่ต่อเติมขยับขยายอย่างสนุก รวมถึงการงอกตัวละครออกมามากมาย ให้พวกเขาเผชิญเรื่องผจญภัยต่าง ๆ นานา ทำหน้าที่เป็นพื้นฐานสมบูรณ์แน่นหนาของเรื่อง ทำให้ทุกอย่างเริ่มต้นอย่างรวดเร็วในภาคล่าสุด
นอกจากบรรยากาศท่ามกลางสงครามปะทุ ตัวละครหลัก ๆ ยังได้โอกาสปลดเปลื้องปมในใจ ไขปริศนาที่มาของชีวิต พาไปสำรวจจิตวิญญาณของชาวนาวี พร้อม ๆกับสำรวจจิตวิญญาณสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่นในธรรมชาติ “แพนโดรา”
ที่ยังคงเสน่ห์ไม่เสื่อมคลายก็คือฉากธรรมชาติสุดงดงาม ที่คงความต่อเนื่องจากภาค 2 ซึ่งต้องบอกว่าใน Avatar : The Way of Water ได้แสดงให้เห็นการก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีอย่างน่าตื่นตะลึง

ฉากการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ตระการตาในภาค 2 นั้นพอมาถึงภาค 3 ก็ยังไม่แผ่วลงแต่อย่างใด
คงไม่เกินเลยไปนักถ้าจะบอกว่าทุกอณูของ Avatar : Fire and Ash เต็มไปด้วยประณีตในทุกรายละเอียด และความยาวของหนังที่ 3 ชั่วโมง 17 นาที
แม้จะลุ้นเหนื่อยไปหน่อยกับการสู้รบที่จัดมาแบบแน่น ๆ เน้น ๆ แต่ก็เป็นการจบไตรภาคที่อิ่มเอมเหลือเกิน!
Blue Bird21/12/68


























